Skip to main content

 

หน้าร้อนใคร ๆ ก็ไม่อยากมาเชียงใหม่ อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย คนที่อยู่เชียงใหม่ที่พอออกจากเมืองได้ก็จะพากันออกจากเมืองไปพักผ่อนที่อื่น

ฉันเป็นคนหนึ่งที่หนีออกจากเมืองเชียงใหม่ในช่วงหน้าร้อนเสมอ ให้เหตุผลกับตัวเองว่า ถือโอกาสกลับใต้ เป็นการกลับบ้านปีละครั้ง

จำได้ว่าในปี 2550 เป็นปีที่อากาศร้อนมาก และมีหมอกควันแน่นหนา คล้าย ๆ กับว่า อยู่ในหนังวิทยาศาสตร์ ผู้คนต่างสวมหน้ากาก คาดที่ปิดปากจมูกออกจากบ้าน ชีวิตหม่นมัวคล้าย ๆ เปิดตากว้างไม่ได้ต้องหยีตาอยู่ตลอดเวลายามออกนอกบ้าน ไม่สดชื่นเอาเลย มองไปทางไหนก็หม่นเศร้า ฟ้าไม่เปิดคือมองไม่เห็นเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า หม่นมัวไปทั่ว อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ปีนั้นฉันตัดสินใจกลับใต้ ทันทีที่รถไปถึงสุราษฎร์ธานีมีฝนปรอย ๆ ฟ้าสดใสมาก ๆ ฉันเผลอพูดออกไปว่า ฟ้าเป็นฟ้า ฉันบอกเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันว่า "ถ้าเราไม่รู้จักหมอกควันที่หนาทึบ ไม่พบกับฟ้าหม่นทั้งวัน เราก็ไม่รู้คุณค่าของฟ้าสว่างที่ว่าฟ้าเป็นฟ้าเช่นนี้ มันสดชื่นและปลอดโปร่งขึ้นมาทันใด"

ปีนั้นฉันทิ้งคนในครอบครัวไว้ข้างหลังท่ามกลางหมอกควันหนา เพราะเขาไม่คิดที่จะทิ้งบ้านไปไหน นอกจากภาวะหมอกควันแล้วเรายังต้องพบกับไฟไหม้ป่าข้างบ้านอยู่ตลอดในช่วงหน้าแล้ง พื้นที่สวนร้างซึ่งเป็นที่หาอยู่หากินในช่วงหนาวแต่เมื่อถึงช่วงแล้งก็ไม่ได้มีใครดูแล ไผ่ซึ่งให้หน่อไม้ในหน้าฝนมันจะเป็นเชื้อเพลงชั้นดี ยามเมื่อโดนไฟมันจะแตกเสียงดังโป้ง โป้ง น่ากลัวมาก พอได้ยินเสียงไม้ไผ่แตกเราก็จะต้องโทรศัพท์ไปแจ้งดับเพลิง ส่วนใหญ่จะเป็นกลางคืนเที่ยงคืนตีหนึ่งตีสอง ไฟไม่ได้เกิดขึ้นเองหรอกเกิดขึ้นจากคนจุดและไม่ได้จุดเอาผักหวานหรือเห็ดอะไรด้วย แต่เป็นการจุดแบบคึกคะนองหรือที่เรียกกันเล่น ๆ ว่า วัยรุ่นเซ็ง หลังจากเรียกดับเพลิงมาดับไฟแล้ว กลิ่นเหม็นไหม้และควันไฟเป็นของเราที่ต้องนอนดมกลิ่นต่อไปจนหลับไปนั่นแหละ

 

ปีแรกที่ฉันย้ายมาอยู่บ้านทุ่งเสี้ยวคือปี 2550 เป็นปีที่มีหมอกควันและมีไฟไหม้ที่สวนร้างมาก ฉันจำได้ว่าโทรศัพท์เรียกดับเพลิงสี่ห้าครั้ง คนอื่นในละแวกนั้นเรียกอีกกี่ครั้งไม่รู้ ส่งสารพนักงานดับไฟ หลังจากนั้นฉันกลับไปใต้ก็ไม่ได้สนใจแล้วว่าใครจะเรียกพนักงานดับไฟอีกกี่ครั้ง


นี่คือความต่างของเจ้าของบ้านและคนอาศัยหรือคนที่มาท่องเที่ยวที่หวังแต่ความสุข ความสวยงาม


เพื่อนฉันคนหนึ่ง เคยพูดว่า คนที่ไม่ได้มาอยู่จริง ๆ มีบ้านหลังที่สองไว้พักผ่อน ปีหนึ่งมาพักสามสี่เดือนมาแต่ช่วงหนาว เขาไม่ได้ฝ่าฟันไปด้วยกัน

 

‘คนที่มาอาศัย' ‘คนไม่ได้ฝ่าฟันไปด้วยกัน" ฉันยังเป็นหนึ่งในประเภทนี้ แม้ว่าจะมาอยู่ที่นี่เป็นปีที่สิบ ซึ่งเท่า ๆ กับอาศัยอยู่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ และเมื่อจากมาฉันก็ไม่คิดที่จะกลับไปอยู่ที่นั่นอีก การเป็นบ้านไม่ได้หมายความว่า เรามีบ้านหรือเป็นเจ้าของบ้านเท่านั้น เพราะบ้านเป็นของที่ซื้อขายได้ ตัวเราเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าที่ไหนเป็นบ้าน กรุงเทพสำหรับฉันเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ ของคนแสวงหา เมืองที่ตื่นเต้นที่สุด แต่เพื่อนฉันบอกว่า เป็นเมืองที่เหมาะสมสำหรับการหนี เพราะเป็นเมืองที่ไม่ต้องรู้จักใครก็ได้ บ้านติดกันก็ไม่รู้ต้องรู้จักกัน เธอว่าอย่างนั้นและเธอรักกรุงเทพฯมาก เธอว่าเป็นเมืองที่เหมาะสมกับเธอที่สุดแม้ไม่รู้สึกเป็นบ้านแต่เธอก็รักมาก

 

ผ่านมาถึงร้อนในปี 2552 ปีนี้หมอกควันมากเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ปีนี้ฉันไม่ได้ออกไปไหน นั่งจับเจ่าอยู่ที่บ้านไม่ทำงานใด ๆ หยุดการออกไปประชุมหรือไปงานพบปะใด ๆ ไม่ว่างานจะน่าสนใจเช่นไร สัปดาห์ก่อนมีเพื่อนโทรศัพท์มาบอกว่า ชมรมเพื่อดอยสุเทพขอนัดประชุม ซึ่งฉันไปร่วมประชุมนั่งฟังเขาพูดคุยกันเสมอ มีหัวหน้าอุทยาน ชาวบ้านที่อยู่บริเวณดอยสุเทพ พ่อค้าแม่ค้า นักวิชาการ มาร่วมพูดคุยเพื่อหาแนวทางในการดูแลดอยสุเทพ เพราะสำหรับเชียงใหม่แล้วดอยสุเทพมีความสำคัญมากในหลาย ๆ ด้าน ทั้งศาสนามีพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นศรัทธา เรียกกันว่าป่าวิเศษดอยศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว เป็นป่าใกล้เมืองแห่งสุดท้าย ฉันตอบน้องผู้ประสานงานไปว่า ไปไม่ได้ไม่ว่าง


หลังจากนั้นมีงานพูดคุยเรื่องทำคุกเป็นสวน มีโครงการย้ายคุกออกจากเมือง และระดมความคิดว่าจะเปลี่ยนคุกเป็นอะไรดี ฉันไปฟังมาครั้งหนึ่งเขาถกเถียงกันอยู่ บางพวกว่าทำเป็นสวนสาธารณะ แต่มีคนคัดค้านว่า สวนสาธารณะในเชียงใหม่ส่วนใหญ่มักถูกทอดทิ้งปล่อยไปตามมีตามเกิดและไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง บางกลุ่มเสนอว่า ทำเป็นข่วงหรือลานที่ผู้คนมาใช้ได้หลากหลาย เป็นของส่วนรวม มีทั้งส่วนที่เป็นสวน ส่วนที่เป็นหอศิลปวัฒนธรรม มีอาคารอเนกประสงค์หอประชุมขนาดใหญ่ และมีห้องสมุดด้วย แต่บางกลุ่มเสนอว่าอนุรักษ์ไว้ให้เป็นคุกเหมือนเดิมแต่ไม่ต้องขังคนเพื่อเป็นประวัติศาสตร์ กลุ่มนี้ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุน ฉันตอบน้องที่โทร.มาชวนด้วยคำพูดเดิมคือ ไปไม่ได้ไม่ว่าง


เมื่อวานนี้มีเพื่อนมาบอกว่า โรงพิมพ์แห่งหนึ่งในเชียงใหม่ขอนัดพบนักเขียนเพื่อคุยเรื่องการทำงานร่วมกันของนักเขียนในเมืองเชียงใหม่กับโรงพิมพ์ ทำเป็นสำนักพิมพ์เพื่อสันติภาพ ให้พวกนักเขียนมีส่วนร่วมในการก่อตั้งสำนักพิมพ์อาจจะเป็นรูปแบบสหกรณ์ก็ได้


เป็นงานที่ฟังดูแล้วเหนื่อย ฉันจึงบอกไปว่า ไปไม่ได้ไม่ว่าง เขาถามว่า ตอนนี้ทำอะไรอยู่ถึงไม่ว่างตลอด ฉันตัดสินใจตอบไปตามความจริงว่า "ขี้คร้าน"


การขี้คร้านหรือขี้เกียจอยากอยู่เฉย ๆ นั่งนิ่ง ๆ ไม่ทำอะไร

เขาถามต่อว่า ทำไมถึงขี้คร้าน พี่ขี้คร้านเองหรือว่ามีอะไรมาทำเกิดอาการนี้ พี่คิดดู

"ไม่คิด ขี้คร้าน ขี้คร้านคิดด้วย"

เธอตอบว่า "เข้าใจแล้ว พี่คงขี้คร้านจริง"

 

 

ในระหว่างนั่งขี้คร้านอยู่นิ่ง ๆ ดูใบมะขามที่ร่วงหล่นลงมาทุกวัน บ้านเรามะขามนับสิบต้น ล้อมรอบบ้านล้วนเป็นมะขามเปรี้ยวสุด ๆ

 

หลานชายบอกว่า ถ้าป้าอยู่บ้านจนผ่านหน้าแล้งไปได้ป้าจะเห็นใบมะขามร่วงหมดต้น มันร่วงจนไม่มีสักใบเดียวกิ่งก้านจะเหมือนมือปีศาจ หลานชายเปรียบเทียบเช่นนั้น ฉันคิดว่า เขาคงหมายถึงสีดำของกิ่งก้าน และเขาเล่าต่อว่า หลังจากนั้นมันจะค่อย ๆ แตกใบใหม่สวยมากเลยป้า


ฉันถามหลานชายว่า ยอดอ่อนที่แตกใหม่สวยเหมือนอะไร เหมือนนางฟ้าหรือเปล่า เขาหัวเราะ และว่าป้าต้องดูเอง


หลานชายอายุ 14 ปี เริ่มได้ดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์จากเพื่อนหญิงที่โรงเรียนแล้ว ในปีที่เขาเรียนม.1 ปีนี้ฉันบอกหลานว่า จะอยู่หน้าร้อนด้วยเพื่อดูใบมะขามออกยอดอ่อน ๆ ทั้งต้นอยากดูว่ามันสวยงามขนาดไหน


เขาหัวเราะและบอกว่า ป้าต้องอยู่ให้ผ่านพ้นช่วงหน้าร้อนที่ใบร่วงหมดไปก่อนนะ

ฉันบอกหลานว่าตกลงเพราะป้าขี้คร้านที่จะไปไหน ๆ ในปีนี้

 

ถ้าเพื่อนรู้ เธอคงคิดว่า ‘ฉันฝ่าฟันไปด้วยกัน' คือไม่หนีไปไหน แต่เพื่อนไม่รู้ว่าความจริงแล้ว ฉันขี้คร้านที่จะไปไหนๆ ต่างหาก

 

 

 

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
  แล้วฉันก็คิดว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิน ฉันเดินทางไปหาเพื่อนที่กรุงเทพฯ  และบอกเธอว่า ฉันอยากจะไปเยี่ยมนักเขียนผู้ใหญ่รุ่นพี่คนหนึ่ง  เพื่อนบอกว่า ไม่ได้ไปนานแล้ว ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยมีใครไปหาใครกัน  เมื่อถามว่าทำไม
แพร จารุ
ป่าสนวัดจันทร์   หลังจากที่เขียนเรื่องป่าสนวัดจันทร์ถูกโฆษณาว่าเป็นผืนป่าสนแห่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีชนเผ่าใช้วิถีชีวิตแบบเดิม ๆ
แพร จารุ
เมื่อเขียนเรื่อง “ป่าสนวัดจันทร์ถูกโฆษณาว่าเป็นที่สุด”  ฉันก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เขียนถึงเรื่องอำเภอใหม่ส่งเข้ามา วันนี้จึงนำจดหมายฉบับนี้มาให้อ่านกันค่ะ  เธอเขียนมาว่า ลองเขียนเรื่องอำเภอใหม่มาให้อ่าน
แพร จารุ
ป่าสนผืนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มองขึ้นบนต้นสนเหมือนหนึ่งว่ามีนกเกาะอยู่บนนั้นเต็มไปหมด จนใครบางคนเผลอถามว่า นั่นนกอะไรเกาะอยู่เต็มไปหมด หลายคนหัวเราะ ไม่ใช่นกหรอกมันคือลูกสน ที่นี่มีชื่อว่า ป่าสนวัดจันทร์ เป็นครั้งที่สองที่ฉันเดินทางมาที่นี้ห่างจากครั้งแรกเกือบยี่สิบปี ฉันไม่กล้าเดินทางไปที่นั่นเพราะรู้สึกว่ามันลำบากยากเย็นเหลือเกิน เป็นการเดินทางที่โหด ๆ ในช่วงวัยเยาว์ เพราะต้องนั่งรถไฟชั้นสามมาจากกรุงเทพฯ นานกว่าสิบสองชั่วโมง ก็รู้กันอยู่ว่ารถไฟไทยเสียเวลาเสมอ ๆ ลงจากรถไฟมีนักเขียนจากเมืองเหนือรอรับอยู่
แพร จารุ
มุสโต๊ะ (มุส-สะ-โต๊ะ) อาหารมื้อไหน ๆ ก็ต้องมีมุสโต๊ะ มุสโต๊ะก็คือน้ำพริกนั่นเอง ฉันรู้จักมุสโต๊ะครั้งแรกเมื่อเที่ยวบ้านปกาเกอญอ และนับจากวันนั้นก็ชอบมุสโต๊ะแบบปกาเกอญอทันที่
แพร จารุ
คุณทำอะไรเมื่อเช้านี้  ส่วนฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับหยิบหนังสือเล่มเล็ก ๆ จากโต๊ะกินข้าวติดมือไปนอนอ่านในเปลใต้ต้นมะขามเล็ก  หนังสือชื่อ ไม่รักไม่บอก 5 เป็นของกลุ่มภาคีคนฮักเจียงใหม่  ฉันเป็นอาสาสมัครในกลุ่มนี้กับเขาด้วย แต่ฉันไม่ได้ทำหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นฉันจึงเพิ่งได้อ่านจริง ๆ ครูโรงเรียนอนุบาลเพิ่งให้มาสิบเอ็ดเล่ม วันนั้นมีน้อง ๆ หนุ่ม ๆ จากไหนก็ไม่รู้มาช่วยกันขนหนังสือหลายกล่องที่นำมาขายในงานอำลา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์  ฉันไม่มีของอะไรตอบแทนน้องจึงแจกพวกเขาไปคนละเล่มเหลือเก็บไว้เล่มหนึ่ง ภาพปกเป็นแม่มดหน้าตาน่ารักถือไม้เท้าวิเศษ มีข้อเขียนว่า จงสุภาพกับโลกใบนี้ (คำจากสาร…
แพร จารุ
  เล่าเรื่องงาน อำลา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เปิดงานไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม ยามแดดร่มลมตก หน้าที่ของฉันในงานนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลงานขายหนังสือ ฉันรับปากไปว่า “ได้ค่ะ” ทั้งที่ไม่มีความชำนาญเรื่องการขาย หรือเรียกว่าไม่มีทักษะสักนิดเดียว และมักจะคิดตัวเลขผิด วิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่บวกลบคูณหารไม่เก่งเลย ยิ่งวิชาเลขคณิตคิดในใจนี้ไม่ได้เลย แต่ เพราะว่าในช่วงที่เขาประชุมเรื่องการดำเนินการจัดงานฉันไมได้เข้าร่วมประชุม…
แพร จารุ
ฤดูร้อนในเมืองเชียงใหม่ค่อนข้างน่าสยองค่ะ เพราะนอกจากความแห้งแล้งที่เริ่มขึ้นในปลายฤดูหนาวนี้แล้ว เมื่อฤดูร้อนมาถึงเราก็จะพบกับกลุ่มหมอกควันที่มีทั่วเมือง สำหรับประชาชนในชนชั้นเรา ๆ นั้น เตรียมอะไรได้บ้างคะ
แพร จารุ
สวัสดีนักท่องเที่ยว ระหว่างทางนักท่องเที่ยวเจออะไรมาบ้าง ฉันมาอยู่เชียงใหม่สิบกว่าปี แต่บ่อยครั้งที่รู้สึกว่า ตัวเองเหมือนนักท่องเที่ยว
แพร จารุ
  หญิงสาวมักจะกลัวอ้วนเพราะอยากสวย เราถูกทำให้เชื่อกันว่าคนอ้วนจะไม่สวย เป็นสาวเป็นนางต้องผอมเข้าไว้ ใครไม่ผอมเหมือนนางแบบ หรือนักแสดงหน้าจอโทรทัศน์ก็จะไมได้มาตรฐาน ซึ่งความจริงแล้วบางคนผอมจนเกินไป เรียกว่าแห้งแรงน้อยไม่แข็งแรง ขาแขนมีแต่กระดูก คอโปน ไหปลาร้าลึกขนาดน้ำขังยามเมื่ออาบน้ำ
แพร จารุ
ชวนมากินกันต่อค่ะ เพื่อนนักเขียนรุ่นน้องที่เชียงดาว เล่าว่าเธอปลูกข้าวไร่ที่บ้านของเธอ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ฉันคิดว่าแค่เธอเริ่มต้นปลูกข้าวความมั่นคงทางอาหารก็เริ่มมีแล้ว ต่อมาน้องนักเขียนที่เพิ่งรู้จักยังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย เขียนมาบอกว่า เธอปลูกข้าวได้เจ็ดกระสอบ ฉันชื่นชมยินดีกับเธออย่างจริงจังและจริงใจยิ่ง เพราะฉันมีความฝันที่จะปลูกข้าวปลูกผักไว้กินเอง แต่ไม่ได้ทำ และคิดว่าคงไม่ได้ทำ เพราะอายุปูนนี้แล้ว กล้ามเนื้อเป็นไขมัน เรี่ยวแรงหมดไปแล้ว ที่ทำได้ก็คือปลูกกล้วย ซึ่งก็เหมาะสมอยู่เพราะกล้วยเป็นอาหารนิ่ม ๆ กินง่าย…
แพร จารุ
ชวนมากินกันต่อดีกว่า   คราวนี้กินถั่วงอกผัดเห็ดสามอย่างค่ะ ดูเป็นอาหารธรรมดา ๆ นะคะ แต่พิเศษก็ตรงที่ เป็นอาหารที่ประกอบด้วยเห็ดสามอย่างนะคะ ความจริงแล้วอาหารเห็ดสามอย่างที่กินเป็นยานี้ เขาว่าหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันเป็นดีค่ะ แต่ไม่เป็นไรใช้น้อย ๆ เราเน้นความอร่อยด้วยค่ะ