สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลคิดอย่างไรกับเรื่องยูเครน

บทความนี้มาจาก facebook  Atthasit Muangin
 
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล มหาศาสดาผู้ลี้ภัยอยู่ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ในฐานะเป็นเอตทัคคะหรือผู้เป็นเลิศในเรื่องเจ้า (The royal affairs expert)  พบกับการวิพากษ์วิจารณ์และโจมตีอย่างมากมายจากบรรดาแฟนคลับหรือคนที่แวะเข้ามาในเพจของเขา ในจุดยืนเกี่ยวกับยูเครน  นั่นคือเขาเลี่ยงที่จะประณามการบุกยูเครนของรัสเซียโดยเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวของคนไทย ดังนั้นควรวางตัวเป็น กลาง โดยจุดนี้เหมือนสว.คนหนึ่ง คือนายสมชาย แสวงการ ทำให้ดูตลกว่าคนที่มีจุดยืนทางการเมืองต่างกันคนละขั้วก็สามารถมาเห็นร่วมกันได้ในที่สุด
 
นอกจากนี้สมศักดิ์ยังเห็นว่าถ้าจะประณามสงครามในครั้งนี้ก็ควรจะเน้นไปที่บทบาทของสหรัฐฯ ทั่วโลกในเวลาที่ผ่านมาเสียมากว่า เช่นเขาได้แสดงภาพของรถถังของอิสราเอลกำลังขับอยู่หน้าเด็กปาเลสไตน์ อันสะท้อนถึงการกดขี่ของอิสราเอลซึ่งมีพันธมิตรตัวฉกาจคือสหรัฐฯ (แต่ความจริงอิสราเอลยังมีความสัมพันธ์อันดีและมีผลประโยชน์ทางทหารกับรัสเซียด้วย)  ล่าสุดสมศักดิ์ยังได้แปลบทความเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และแผนการของสหรัฐฯ นั่นคือการเล่นเกมทางอำนาจกับรัสเซียในยุโรปอีกด้วย 
 
สมศักดิ์น่าจะมีความคิดเห็นคล้ายคลึงกับนอม ชอมสกี นักภาษาศาสตร์และนักวิพากษ์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ หรือจอห์น เมสแฮมเมอร์ นักวิชาการคนสำคัญของแนวคิดนวสัจนิยม  (ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) หรือแม้แต่ผู้ดำเนินรายการของ Voice TV คือหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือคุณปลื้ม พวกเขาจะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การโจมตีรัสเซีย เพราะเห็นว่าแท้ที่จริงสงครามในปัจจุบันเกิดจากเกมการเมืองของสหรัฐฯ และนาโต และเป็นความผิดของทั้งสองฝ่ายที่เข้าไปรุกในพื้นที่ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของรัสเซีย อันทำให้รัสเซียดำเนินนโยบายแบบแข็งกร้าวและรุกรานยูเครนในที่สุด นอกจากนี้สมศักดิ์น่าจะเห็นว่าสหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่ทำตัวเหมือนรัสเซียอย่างในอดีตคือได้ทำการบุกรุกทั้งอัฟกานิสถานและอิรัก ทำให้กฎหมายระหว่างประเทศวุ่นวาย ขาดความศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับสื่อของตะวันตกก็ล้างสมองชาวโลกทำให้ชาวโลกให้การสนับสนุนสงครามดังกล่าว หรือเพิกเฉยต่อชะตากรรมของประชาชนผู้เดือดร้อนจากนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ รวมถึงผู้อพยพของประเทศโลกที่ 3 ในเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ชาวโลกกลับรู้สึกเสียใจและเห็นอกเห็นใจชาวยูเครนเพราะถูกชี้นำโดยสื่อตะวันตก (ปัญหาคือสื่อทั่วโลกแม้แต่ Ajazeera ของการ์ต้าหรือ South Morning China Post ของฮ่องกงที่แอบประจบจีน ก็เสนอในหลายแง่มุมไม่ต่างจาก CNN หรือ ABC เท่าไรนัก) ฯลฯ
 
ไม่ว่าสมศักดิ์จะมีความคิดเห็นดังกล่าวมากน้อยเพียงใด แต่ที่แน่นอนที่สุดเขาย่อมไม่เห็นด้วยกับการรุกรานของรัสเซีย และน่าจะเห็นอกเห็นใจชะตากรรมของชาวยูเครนซึ่งบัดนี้อพยพลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้านกว่า 3 ล้านคน ซึ่งก็มีส่วนใกล้เคียงกับชีวิตเขา (ที่ต่างกันคือเขาหนีจากการกดขี่ของเผด็จการทหาร ไม่ใช่ภัยคุกคามจากต่างประเทศ)  แต่การจะแสดงจุดยืนเหมือนคนทั่วไปก็ดูตื้นเขินเหมือนเล่นตามเกมของสหรัฐฯ  ทำให้พลเมืองชาวเน็ตหลงเข้าใจว่าสมศักดิ์เป็นติ่งของปูติน (Putin's apologist)  ซึ่งก็ใช้เหตุผลหรือตรรกะแบบเดียวกันในการสร้างความถูกต้องของการบุกรุกครั้งนี้ กระนั้นคนโจมตีสมศักดิ์ก็มีเหตุผลของตัวเองเช่นกัน เช่นเมื่อมีภาพนำเสนอคนยูเครนเสียชีวิตหรือบ้านแตกสาแหรกขาด แต่สมศักดิ์กลับไปประณามความชั่วของสหรัฐฯ หรืออิสราเอลในตะวันออกกลาง อันเป็นพฤติกรรมที่ดูแปลกประหลาดถึงแม้จะจริงตามทฤษฎี แต่คนโจมตีสมศักดิ์หลายคนสามารถอ้างได้ว่าพวกเขาก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของสหรัฐฯ และรัสเซียซึ่งก็ชั่วเหมือนกัน 
 
อนึ่งเป็นที่น่าสนใจว่าการรุกรานของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนครั้งสุดท้ายคืออิรัก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2003 ก็นานเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว ทำให้คนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับรัสเซียได้ชัดเจนเท่าไรนัก หรือแม้แต่การเข้าแทรกแซงทางการทหารของนาโตต่อลิเบียในปี 2011 ผู้ถูกโค่นคือมูฮัมมาร์ กัดดาฟี ก็เป็นทรราชที่รู้จักกันดีในความโหดร้าย ซึ่งดูแตกต่างจากนายวอโลดิมีร์ เซเลนสกีประธานาธิบดีของยูเครน ทำให้นาโต้ดูเป็นวีรบุรุษเสียมากกว่ารัสเซีย หรือการแทรกแซงทางทหารในซีเรียจนถึงปัจจุบัน นั้นสหรัฐฯ มีบทบาทไม่สูงมากในการสนับสนุนฝ่ายขบถ ถ้าเทียบกับรัสเซียซึ่งสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการของนายบัลชาร์ อัลอัดซัด  ส่วนกรณีของอิสราเอลนั้น สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนมายาวนานหลายทศวรรษ หาใช่ผู้บุกรุกปาเลสไตน์โดยตรงเหมือนกับรัสเซียต่อยูเครนไม่ ทำให้การแก้ตัวของติ่งรัสเซียหรือแม้แต่คนวิพากษ์สหรัฐฯ ในกรณีสงครามยูเครนดูขาดพลัง แม้ว่ากระทำของสหรัฐ ฯ จะชั่วร้ายไปอีกแบบ
 
อย่างไรก็ตาม ตามมุมมองของผม ผมมองว่าสมศักดิ์มองข้ามปัญหาทางการเมืองในยูเครนที่ถูก undermine หรือบั่นทอนโดยรัสเซียมากว่า 2 ทศวรรษ จากบทความที่เขาแปลมานั้นลดทอนคุณค่าของการปฏิวัติไมเดน ในปี 2014 ให้เป็นเพียง รัฐประหาร (coup) ที่สนับสนุนโดยกรุงวอชิงตัน นั่นคือสหรัฐฯ ชักใยให้คนยูเครนโค่นล้มประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานุชโควิชซึ่งเป็นพันธมิตร (หรือหุ่นเชิดของปูติน) นอกจากนี้ในบทความที่แปลโดยสมศักดิ์ยังกล่าวหาโดยขาดความรับผิดชอบว่าผู้นำคนใหม่ นั่นคือประธานาธิบดีคนมาแทนที่คือนายเปรโตร โปโรเช็งโกถูกเลือกโดยสหรัฐฯ ทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนและนายโปโรเช็งโกมาจากการเลือกตั้งที่ค่อนข้างเป็นประชาธิปไตยโดยได้รับคะแนนเสียงจากชาวยูเครนเกือบ 10 ล้านเสียง 
 
นอกจากนี้การคิดว่าสหรัฐฯ ชักใยอยู่เบื้องหลังยูเครนเพื่อรุกฆาตรัสเซียเช่นการเข้าสมัครเป็นสมาชิกของนาโต้ ทำให้เราพลาดปัจจัยสำคัญที่จะอธิบายว่าเหตุใดเดือนกว่าแล้ว รัสเซียซึ่งมีกำลังทางทหารและอาวุธยิ่งใหญ่กว่ามากยังไม่สามารถยึดครองยูเครนได้เสียที ซึ่งคือการต่อต้านอย่างเหนียวแน่นและเลือดรักชาติของชาวยูเครนที่สหรัฐฯ คงไม่สามารถปลุกระดมได้ อันตรงกันข้ามกับตอนที่เวียดนามใต้ต้องตกเป็นของเวียดนามเหนืออย่างง่ายดายในปี 1975

The Raindrops

นวนิยายภาษาอังกฤษเกี่ยวกับนักเขียนวัยกลางคนที่มีความหลังอันดำมืดและความสัมพันธ์กับดาราสาวผู้มีพลังจิต

 

                                1

 

                    August 9, 1974 , New York City

 

เรื่องสั้นภาษาอังกฤษ The Security Guard and the Haunted Building

เรื่องของรปภ.หนุ่มผู้ค้นหาภูติผีปีศาจในตึกที่ลือกันว่าเฮี้ยนที่สุด  เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากรายการ The Ghost Radio

(the altered version)

                                                       1

                                      Bangkok, December 1995

เรื่องสั้นภาษาอังกฤษขนาดยาว 'สามเกลอปะทะผีร้าย'

เรื่องของผู้ชาย 3 คนที่ขับรถบรรทุกแล้วต้องเผชิญกับผีดูดเลือด

 

3 Friends and The Ghosts

                                                (1)

นวนิยายขนาดสั้น 'The Spook Radio'

This short novel is about a guy who works as a DJ for the radio program 'The Spook Radio', famous for its allowing audience to share their thrilling experiences or tales about the superstitious stuffs, especially the ghosts, via telephones.