Skip to main content

นายยืนยง

24_8_01


ชื่อหนังสือ : แม่ใหม่ที่รัก ( Sarah, Plain and Tall )

ผู้เขียน : แพทริเซีย แมคลาแคลน

ผู้แปล : เพชรรัตน์

ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2544

จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน


หากใครเคยพยายามบ่มเพาะให้เด็กมีนิสัยรักหนังสือ รักการอ่าน ย่อมเคยประสบคำถามจากเด็ก ๆ ของท่านทำนองว่า หนังสือจำเป็นกับชีวิตมากปานนั้นหรือ? เราจะตายไหมถ้าไม่อ่านหนังสือ? หรือเราจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยที่ไม่อ่านหนังสือจะได้ไหม? กระทั่งบ่อยครั้งผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็อาจหาคำตอบที่สมเหตุสมผลมาตอบอย่างซื่อสัตย์ได้ไม่ง่ายนัก


เป็นที่แน่นอนอยู่ว่า ผู้ใหญ่บางคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ต่างแต่ว่า ใครจะตอบไปทางใด

สำหรับคนชอบอ่าน เป็นหนอนหนังสือ รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ การได้อ่านหนังสือโดยไม่จำกัดเวลาย่อมเป็นสุดยอดปรารถนา และย่อมตอบเด็ก ๆ ไปได้ตามสะดวก เพราะจะไม่ต้องประสบข้อโต้แย้งต่อไปว่า

ทำไมหนูไม่เห็นพ่อแม่จะตายเลยถ้าไม่ได้อ่านหนังสือ เพราะสิ่งที่เด็ก ๆ เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นต่างหากเล่า คือคำสอนที่เป็นจริงที่สุด บางคนอาจไม่ต้องเคี่ยวเข็ญให้ลูกอ่านอะไรเลยก็ได้ เพราะเด็กส่วนใหญ่จะถอดนิสัยมาจากพ่อแม่ คนใกล้ตัว ไม่มากก็น้อย ถ้าพ่อแม่อ่าน ลูกก็ย่อมอ่านด้วย

ขณะสำหรับผู้ใหญ่บางคนที่รักการอ่านอยู่เหมือนกันแต่ไม่ใช่หนอนตัวยง และปรารถนาให้เด็ก ๆ รักการอ่าน ต้องค่อย ๆ ปลูกฝังเขาด้วยความเมตตา ไม่ว่าจะคิดเห็นเช่นไรก็คงไม่มีใครถูกทั้งหมด ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “หนังสือคือชีวิต” จะหมายความว่า หนังสือคือเรื่องราวของชีวิต หรืออีกทำนองหนึ่งอาจหมายถึง ชีวิตของบางคนเปรียบดั่งหนังสือที่มีไว้อ่านไว้ศึกษา ประดุจหนังสือเล่มหนึ่ง


หากคุณคิดว่า ชีวิตนี้ขาดหนังสือไม่ได้ และเมื่อมีหนังสือ เราก็ควรจะอ่านมันเสีย พร้อมกันนั้นเราก็ควรหว่านเมล็ดพันธุ์การอ่านไปถึงเยาวชน เด็ก ๆ ของเราด้วย จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ


ทุกวันนี้โลกการสื่อสารมีหลายรูปแบบ หนังสือเป็นเพียงตัวเลือกหนึ่ง โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ที่เหมือนถูกผลักให้ห่างไกลจากหนังสือที่ไม่ใช่ตำราเรียนไปทุกที เพราะเขามีกิจกรรมอื่นเยอะ ทั้งกีฬา ทั้งศิลปะ โทรทัศน์ การ์ตูน หรือเกมคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าทุกสิ่งล้วนมีทั้งคุณและโทษในตัว เกมคอมพิวเตอร์ก็ดี การ์ตูนก็เช่นกัน ล้วนช่วยให้เด็กได้ผ่อนคลาย สนุกบันเทิง แต่ถ้ามากไปก็แย่หน่อย ที่หนักหนาคือ อาการเสพติดความบันเทิง ที่ทำเอาผู้ใหญ่ตามแก้ปัญหาจนหน้ามืด บ่อยครั้งอาการเสพติดเกมคอมพิวเตอร์ก็ส่งผลกระทบร้ายแรงเกินกว่าผู้ใหญ่จะคาดคิดได้ทัน ดังนั้น หากเราได้ตั้งความหวังไว้ว่า ลูกหลานจะไม่ติดเกมงอมแงมจนไม่เป็นอันทำอะไรก็เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก ๆ ของเรา


บรรดาหนังสือสำหรับเด็ก ทั้งวรรณกรรมเยาวชน หนังสือการ์ตูนที่มีสาระความรู้แทรกเข้ามาด้วยนั้น น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี และหนังสือสำหรับเด็กทุกวันนี้มีให้เลือกเยอะแยะทีเดียว รูปภาพก็มีสีสันสะดุดตา ชวนอ่าน แต่เด็กส่วนใหญ่ก็ยังเมินอยู่ดี โดยให้เหตุผลว่า ตัวหนังสือเยอะบ้างล่ะ หรือยาวเกินไปบ้างล่ะ คนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองก็อย่าด่วนตำหนิเขาจนเสียกำลังใจไปก่อน เราต้องมีเมตตาให้มากและมีเวลาให้ด้วย


คราวนี้ขอเสนอวิธีการจูงใจเด็ก ๆ ของเราก่อน แรกเลยต้องชวนเข้าร้านหนังสือ หรือหอสมุด จะเห็นชัดเลยว่าหนังสือสำหรับเด็กมีหลายหลากจริง ๆ ทั้งเล่มเล็กไปถึงเล่มหนา ทั้งของนักเขียนคนไทยและของนักเขียนต่างประเทศที่แปลเป็นภาษาไทย เมื่อเขาได้เห็นแล้ว ก็ให้โอกาสเขาเป็นผู้เลือกเอง ชอบเล่มไหนก็เลือกมาเถิดลูก อย่างที่บอกอย่างไรว่าต้องเมตตา อีกทั้งเป็นการให้เกียรติ (และกดดันไปในตัว) ถ้าเขาเลือกหยิบมาแล้ว จำเป็นต้องรับผิดชอบอ่าน ถ้าไม่ยอมอ่านหรืออิดออด เราก็บอกได้ว่า ลูกไม่รักเคารพความคิด การตัดสินใจของตัวเอง แล้วอย่างไรนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไรเล่า ฉะนั้นทางที่ดี หากแนะนำได้ควรเลือกเล่มบาง ๆ ก่อน


ลำดับต่อไปเป็นของเรื่องเวลาและการเอาใจใส่ เลือกช่วงที่ว่างยาวสักหน่อย หากเป็นได้เราควรอ่านพร้อมไปด้วย จะสลับกันอ่านออกเสียงคนละย่อหน้า เพื่อทดสอบว่าเขาอ่านได้ถูกต้องหรือไม่ เหนื่อยก็พักไม่ต้องเร่งร้อน พอถึงตอนตื่นเต้นประเภทตัวเอกจะตาย หรือตอนสำคัญก็แกล้งขอพักสักหน่อย ดูว่าเขาจะโวยวายไหม ถ้าเอะอะขึ้นมาไม่ยอมให้พัก แสดงว่าประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว สำหรับเด็กเล็กที่ยังอ่านเองไม่ได้ ก็เป็นที่แน่นอนว่าพ่อแม่ต้องอ่านให้ฟัง สวมบทบาทเป็นตัวละคร เลียนเสียงให้ฟังสนุกสนานตามแต่จะทำได้ อย่างนี้ไม่เพียงลูกจะสนุกแล้ว คุณเองอาจมีความสุขสดใสขึ้นมาด้วยก็ได้ เพิ่มเติมไว้นิดหนึ่งว่า หนังสือสำหรับเด็กนั้น ไม่ใช่อ่านแล้วก็จบไป ส่วนใหญ่เด็ก ๆ มักจะอ่านซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นเอง ห้ารอบสิบรอบก็ไม่เบื่อง่าย ๆ เหมือนเรา


วรรณกรรมเยาวชนไม่ว่าจะของนักเขียนไทยหรือต่างประเทศล้วนมีข้อดีน่าสนใจ ถ้าหากเป็นวรรณกรรมแปลอาจมีชื่อตัวละครที่จำยากบ้าง แต่ขณะเดียวกันเราจะได้อ่านเรื่องราวของคนที่อยู่ไกลจากเรา ได้อ่านวัฒนธรรม วิถีชีวิต รวมถึงสภาพภูมิศาสตร์ด้วย อย่างเรื่องที่นำมากล่าวถึงนี้ เป็นวรรณกรรมแปลของนักเขียนหญิงชาวอเมริกัน ชื่อ แพทริเซีย แมคลาแคลน


งานเขียนสำหรับเด็กของเธอหลายเรื่องได้รับรางวัลจากสมาคมและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่แนะนำและคัดเลือกหนังสือดีให้เด็กและผู้ใหญ่ เธอได้รับคำชื่นชมมากจากนักวิจารณ์และเด็ก ๆ โดยเฉพาะเด็ก ๆ มักจะเขียนจดหมายมาคุยและปรึกษาปัญหาต่าง ๆ อยู่เสมอ สำหรับเด็ก ๆ อเมริกันจำนวนหนึ่ง เธอคือคุณป้าใจดีผู้เข้าใจพวกเขาอย่างลึกซึ้ง (จากปกในของหนังสือ)


เรื่องแม่ใหม่ที่รัก ( Sarah, Plain and Tall )เล่มนี้ มีขนาดพอเหมาะด้วยจำนวน 60 หน้า ตัวละครหลักมี 4 คน เด็กเล็กที่อ่านออกแล้วก็อ่านเองได้ ด้วยการเลือกใช้คำง่าย รูปประโยคสั้น อ่านสนุกมีชีวิตชีวาและมีความหวัง ความฝัน เข้าใจว่า วรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ผู้เขียนคือ แพทริเซีย แมคลาแคลน น่าจะได้แรงบันดาลใจปัญหาครอบครัวหรือมีจุดมุ่งหมายในเชิงสังคมอันเนื่องมาจากปัญหาการหย่าร้าง หรือครอบครัวที่ขาดพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเพิ่มมากขึ้นในสังคมอเมริกัน ปัญหาเหล่านั้นทำให้คนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็ก ๆ ขาดความอบอุ่น โหยหาส่วนเติมเต็มในด้านที่ขาดหายนั้น วรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนออกมาได้ลึกซึ้งหมดจด แม้หลายคนอาจจะคิดเห็นว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไม่ได้หวือหวาอะไร วรรณกรรมเล่มไหนก็เขียนแบบนี้ทั้งนั้น แต่ส่วนพิเศษหนึ่งที่สำคัญซึ่งเด็กจะได้รับจากวรรณกรรมเรื่องนี้คือ การทำให้เขาได้มองเห็น ได้รู้สึกรู้สาในความทุกข์ของผู้อื่น ยังมีเด็ก ๆ ที่เป็นทุกข์อีกมาก ไม่ใช่มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น ทุกข์ของเด็กคนอื่นอาจจะหนักหนากว่าเราด้วยซ้ำ ฉันเชื่อว่าบทเรียนที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งของชีวิตวัยเด็ก คือ การได้มองเห็น และร่วมรู้สึกไปกับความทุกข์ของผู้อื่น อย่างน้อยที่สุด เราก็จะได้มองชีวิตที่กว้างไกลออกไป ไม่จมอยู่แค่มองเห็นแต่เงาของตัวเอง และทำให้เห็นแก่ตัวน้อยลงบ้างก็ได้


แม่ใหม่ที่รัก เป็นเรื่องราวของคาเลบและแอนนา สองพี่น้องที่ต้องสูญเสียแม่ไป เมื่อแม่คลอดคาเลบน้องชายได้คืนเดียว แม้แอนนาจะรักคาเลบเพียงใด แต่เธอก็เป็นเด็ก ความรู้สึกที่ฝังอยู่ว่า คาเลบเป็นคนทำให้แม่ต้องตาย นั่นก็กัดกินใจเธออยู่นาน


(หน้า 11) เป็นเรื่องยากที่จะคิดว่าเคเลบเป็นสิ่งสวยงาม ฉันใช้เวลาถึงสามวันเต็ม ๆ เพื่อจะรักเขา ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตาผิง พ่อกำลังล้างจาน มือน้อย ๆ ของคาเลบเปะปะอยู่ข้างแก้มฉัน แล้วเขาก็ยิ้ม ฉันรู้ว่านั่นเป็นรอยยิ้ม


ขณะที่แอนนาต้องรับผิดชอบงานบ้านและดูแลน้อง คาเลบก็เฝ้าเพียรถามถึงตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วพยายามสร้างเรื่องราวจากคำบอกเล่าของพี่สาวเป็นประวัติศาสตร์ส่วนตัวของเขา ขอยกมาให้อ่านตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยดีกว่า


แม่ร้องเพลงทุกวันใช่ไหม” คาเลบถาม “ทุก ๆ วันเลยใช่ไหม” เขานั่งอยู่ข้างเตาผิง มือเท้าคาง ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ มีหมา ๆ นอนหมอบอยู่ข้าง ๆ บนพื้นหินอันอบอุ่น

ทุก ๆ วันเลยจ๊ะ” ฉันบอกเขาเป็นครั้งที่สองของอาทิตย์นี้ ครั้งที่ยี่สิบสำหรับเดือนนี้ และนับเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้วมั้ง ถ้าจะเอากันทั้งปี แล้วยังปีที่ผ่าน ๆ มานั่นอีกล่ะ

แล้วพ่อเราก็ร้องด้วยใช่มะ”

ใช่แล้วจ๊ะ พ่อก็ร้องด้วย อย่าเข้าไปใกล้ขนาดนั้นสิ คาเลบ เดี๋ยวก็ได้ร้อนแย่หรอก”


เขากระเถิบเก้าอี้ออกมา เสียงครูดพื้นหินดังเอี๊ยด พวกหมา ๆ ถึงกับผวาสุดตัว เจ้าล๊อตตี้สีดำตัวกะเปี๊ยกทำกระดิกหาง ยกหัวขึ้นมอง ส่วนเจ้านิคคงนอนเฉยอยู่อย่างนั้น


ฉันพลิกแป้งที่นวดไว้สำหรับทำขนมปังไปมาบนแผ่นไม้สี่เหลี่ยมบนโต๊ะในครัว

เอ! ไม่ยักเห็นพ่อร้องเพลงอีกเลยเนอะ” คาเลบพูดเสียงเบา ท่อนฟืนในเตาผิงปะทุลั่นเปรียะ ๆ ก่อนจะหักลง เขาเงยหน้าขึ้นมองฉัน “ตอนเกิดใหม่ ๆ ฉันเป็นไงบ้างนะ”

เก๊าะล่อนจ้อนน่ะสิ” ฉันบอกเขา

ฉันรู้น่า” เขาตอบ

...ฯลฯ...

แล้วแม่ก็ตั้งชื่อฉันว่าคาเลบ” เขายังคงเติมต่อเรื่องราวเก่า ๆ ที่แสนจะเคยคุ้นนั้นไม่เลิก

เป็นฉันจะตั้งชื่อเธอว่าเจ้าตัวปัญหา” ฉันว่า ทำเอาคาเลบถึงกับฉีกยิ้มออกมานั่นเชียว

แล้วแม่ก็ห่อฉันด้วยผ้าอ้อมสีเหลืองส่งให้พี่ แล้วพูดว่า...” เขารอให้ฉันเป็นคนพูดต่อ “แล้วพูดว่าอะไรน้า...?”

ฉันถอนใจ “แล้วแม่ก็พูดว่า เขาสวยงามมากใช่ไหมจ๊ะแอนนา”

แล้วฉันก็เป็นยังงั้นจริง ๆ ” คาเลบต่อให้เสร็จสรรพ


ตลอดทั้งเรื่องที่เล่าผ่านมุมมอง “ฉัน” คือ แอนนา พี่สาวของคาเลบ โดยผู้เขียนไม่ได้บอกลักษณะนิสัยของตัวละครโดยการบรรยายเลยสักครั้ง แพทริเซียใช้วิธีการเขียนที่มีชั้นเชิง ซับซ้อนแต่งดงาม ราวกับเรากำลังดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งผ่านภาษาเขียน ที่ตัวละครต่างเป็นตัวของเขาเองอย่างธรรมชาติที่สุด

จากที่ยกมาให้อ่านข้างต้นนั้น เราจะจินตนาการได้เลยว่า แอนนา คาเลบมีนิสัยอย่างไร อายุประมาณเท่าไหร่ และเหงาเศร้าจนไม่รู้สึกทุกข์ทรมานกับมันเลย ภาษาที่ใช้ในเรื่องนี้เป็นภาษาที่ให้ภาพพจน์ประณีตมากเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญมันเหมาะกับเด็ก ๆ อย่างไร้ข้อกังขา นอกจากได้ร่วมลุ้นระทึกไปกับตัวละครแล้ว ภาษายังช่วยกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้ใช้จินตนาการ ฝึกใช้สมองครุ่นคิด ยกมาพิจารณาอีกนิดหนึ่งในตอนที่พ่อคุยกับลูกเรื่องหาแม่ใหม่บนโต๊ะอาหาร ในตอนแรกเด็ก ๆ คิดว่า พ่อจะหาแม่บ้านคนใหม่ ก็พากันหัวเราะ เพราะแม่บ้านคนเก่านั้นใช้ไม่ได้ ชอบนอนกรนแล้วก็อ้วนตุ๊ต๊ะ ฝ่ายพ่อเองก็มีท่าทีจะเขินลูกอยู่เหมือนกัน แต่ผู้เขียนไม่บรรยายตรง ๆ แต่เลือกให้ตัวละคร “พ่อ” แสดงกิริยาอาการแก้เขินด้วยการเกาหูเจ้านิค สุนัขประจำบ้าน เป็นตัวอย่างง่าย ๆ เช่น หน้า 14


ไม่หรอก” พ่อพูดช้า ๆ “ไม่ใช่แม่บ้าน” หยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อว่า “เป็นภรรยา”

คาเลบมองจ้องหน้าพ่อ “ภรรยา? พ่อหมายถึงแม่?”

เจ้านิคเลื่อนคางวางลงบนตักพ่อ พ่อเกาหูให้มันเบา ๆ


ทีแรกเราก็สงสัยขึ้นมาว่า ลูก ๆ จะมีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อพ่อจะมีแม่ใหม่ แต่แล้วแอนนาก็ถามขึ้นว่า เธอร้องเพลงเป็นไหม? จากนั้นเด็ก ๆ ก็ตื่นเต้นเป็นการใหญ่ เขียนจดหมายถามไถ่ ซาร่าห์ เอลิซาเบ็ธ วีตัน ผู้หญิงที่จะมา “ทดลอง” เป็นแม่ใหม่ 1 เดือนก่อนจะตัดสินอยู่ต่อหรือไม่ กระทั่งเธอเดินทางมาถึงบ้านพร้อมของฝากจากทะเล ซาร่าห์เดินทางจากบ้านที่อยู่ติดทะเลมายังดินแดนที่เธอไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย

ทั้งภูเขา เนินดิน ดอกไม้ใบหญ้า และหิมะ ตลอดเวลาเธอเฝ้าโหยหาถึงแต่ทะเล จนทำให้คาเลบและ

แอนนาใจคอไม่ดี และพยายามแสดงออกถึงความรักที่มีต่อเธอ อยากให้เธออยู่ที่นี่ตลอดไป แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าสักวันหนึ่งเธอจะจากพวกเขาไปสู่ทะเลที่เธอรัก


แม่ใหม่ที่รัก ที่ชวนให้อ่านเล่มนี้ เป็นเรื่องราวที่ไม่ได้ฟูมฟายในความเศร้าโศก และแม้จะสะท้อนปัญหาเชิงสังคม ปัญหาครอบครัว แต่ผู้เขียนกลับทำให้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งกินใจกว่า เพราะเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ของเรา หากจะปลูกฝัง บ่มเพาะนิสัยรักการอ่านให้เด็ก ๆ แล้ว (แม้บางคนจะบอกว่า อ่านไปเถอะ อ่านอะไรก็ได้ ขอให้อ่านก็ดีถมไปแล้ว) สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของการอ่านนั้น ย่อมมีความสำคัญ ควรพิถีพิถันอย่างยิ่งด้วย เพราะการอ่านนอกจากจะได้เกร็ดความรู้และได้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวสนุกสนานแล้ว หากได้ชุบชูจิตใจด้วยแล้ว ก็เท่ากับว่าหนังสือเล่มนั้นได้มอบพรอันวิเศษประการหนึ่งแก่เราด้วย.


บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…