Skip to main content


นายยืนยง



ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง

ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์

ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545

จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ


การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง

ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย

หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ


นักเขียนตายแล้ว” เราชินเสียแล้วกับแรงสะเทือนของถ้อยคำนี้

ประโยคนี้ถือเป็นการขานรับบทความชิ้นสำคัญชื่อ อวสานของนักประพันธ์ (The Death of the Author) เขียนโดย โรล็องด์ บาร์ตส์ นักวิจารณ์สำนักโครงสร้างนิยมชาวฝรั่งเศส ซึ่งเผยแพร่ตั้งปีค.. 1968


บาร์ตส์พูดถึงความตายของนักประพันธ์ ในแง่ที่หมายถึงการสิ้นสุดของแนวคิดเกี่ยวกับความเป็น

นักประพันธ์ ในความเห็นของบาร์ตส์ ความเป็นนักประพันธ์มิใช่สิ่งที่มีคู่กันมากับวรรณกรรมดังที่เราเข้าใจ แต่เป็นความเป็นนักประพันธ์ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม และยังเสนอว่า แท้จริงแล้ว แนวคิดเรื่องความเป็นนักประพันธ์ คือผลผลิตของอุดมการณ์ที่อิงอยู่กับการเชิดชูปัจเจกชนนิยม โดยเฉพาะการเชิดชูอัจฉริยภาพของผู้แต่งในฐาน ผู้สร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรม

ตัวบท คือ พื้นที่หลากหลายมิติ ที่เปิดให้ข้อเขียนจากแหล่งต่าง ๆ ได้มาปะทะสังสรรค์กัน

ทั้งนี้ไม่มีข้อเขียนใด ๆ ที่เป็นของแท้ดั้งเดิม แม้สักชิ้นเดียว (หน้า 14)


ฉันได้อ่านหนังสือ อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ของ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ผู้เขียนเกริ่นนำไว้ว่า

การอ่าน (ไม่) เอาเรื่อง เป็นหนทางของการอ่านที่ล้ำลึกกว่าการอ่านเอาเรื่อง สำหรับฉันกลับมองว่า

การอ่านอย่างไม่เอาเรื่องนั้น เป็นคำยั่วล้อส่วนหนึ่ง แต่ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ แสดงความเห็นว่าเป็นการอ่าน อ่านจาก “คำ” อ่านถึงความเจตนา และความไม่เจตนาของนักเขียนที่ปรากฏและเร้นตัวอยู่ใน “คำ” ที่เรียงร้อยเหล่านั้น ซึ่งทำให้การวินิจฉัย ตีความวรรณกรรม มี “เนื้อหา” ให้ “เล่น” มากกว่าพื้นที่เดิม


การการอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้ได้ “วิชา” อันจะนำมาใช้ในการอ่านอีกหลายเล่มเกวียน ขณะเดียวกัน กลับรู้สึกเหมือนกำลังหลงทางอยู่ในวังวนแห่งความล้ำลึกทางวิชาการวิจารณ์วรรณกรรมของสำนักคิดทางโลกซีกตะวันตก


ต้องยอมรับอย่างจริงจังเสียแล้วว่า เงาดำที่ครอบคลุมทัศนวิสัยในโลกวรรณกรรม ทั้งงานสร้างโดยตัวบทวรรณกรรมเอง และการวิจารณ์วรรณกรรม เป็นเงาที่เกิดจากแสงสว่างอันรุ่งโรจน์จากโลกซีกตะวันตก โดยเฉพาะภาคพื้นยุโรป และมันตกกระทบมายัง “เรา” ตามประสานักวิชาการคารมจัดเคยกล่าวไว้

โลกตะวันออกเหลียวมองโลกตะวันตกจนคอแทบหักปลิ้น”


ทัศนคติอันเกิดจากการยอมรับนี้ กระตุ้นให้ฉันคิดหลงบ้าไปเอง ด่วนจับแพะชนแกะไปเอง รีบสรุปไปเองว่า บรรณาธิการแห่งโลกวรรณกรรมไทยร่วมสมัยอย่าง สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นผู้ทรงอิทธิพลทางวรรณกรรมไทย โดยเขาได้เป็นโรคเหลียวตะวันตกจนคอเคล็ด แล้วหันกลับมาป่าวประกาศ “ใบหน้า” ของเรื่องสั้นว่าควรเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ ถือเป็นมรดกตกทอดมาถึงนักเขียนไทยยุคปัจจุบัน รวมทั้งเมื่อ 20 – 30 ปีก่อน หนำซ้ำยังคิดเหมารวมไปอีกว่าบรรณาธิการนามสุชาตินี้เองแหละยื่นมือเข้ามา “คลุก” วรรณกรรมไทยให้มาอยู่ใน

หล่ม” ต่าง ๆ บรรดามีเช่นทุกวันนี้


ถ้ากระโดดถีบตัวเองจากข้างหลังได้ ฉันควรทำใช่ไหม และน่าจะทำมันไปตั้งนานแล้ว

เพราะไอ้ข้อสรุปแคบตื้นเหล่านี้ล้วนผิดพลาดทั้งเพ เมื่อฉันได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จากบทที่ชื่อว่า

บทบาทของรางวัลวรรณกรรมต่อการสร้างและเสพวรรณกรรม (หน้า 30) เขาเขียนอย่างนี้


รางวัลมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างบรรทัดฐานทางวรรณกรรมอันมีผลต่อเนื่องไปถึงการสร้าง เสพ และตีความวรรณกรรม


ยกตัวอย่าง สุชาติ สวัสดิ์ศรี ได้เสนอว่า เรื่องสั้นของไทยในยุคแรกเริ่มนั้นมี 2 แนว คือ

แนวเลียนแบบตะวันตก อย่าง สนุกนิ์นึก ของกรมหลวงพิชิตปรีชากร และ

แนวที่อิงอยู่กับตำนานพื้นบ้าน เช่น คนหาปลาทั้งสี่

จาก (“ภาพรวมเรื่องสั้นไทย” สรรค์สร้างจากเรื่องสั้น กรุงเทพฯ : นาคะเพรส, 2537 หน้า 24 - 25)


การที่สถาบันทางวรรณกรรมหันไปยกย่องให้ สนุกนิ์นึก เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของไทย มีส่วนสำคัญทำให้การเขียน การผลิต และการพูดถึงเรื่องสั้นของไทยในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ ดำเนินไปในแนวที่ใช้เรื่องสั้นตะวันตกเป็นต้นแบบ และทำให้เรื่องสั้นของไทยแนวอิงตำนานพื้นบ้าน ซึ่งสุชาติมองว่ามีลักษณะคล้ายแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ (Magic realism) ของละตินอเมริกา ถูกมองข้ามและละเลยไป


กรณีที่สุชาตินำเสนอนี้ แสดงให้เห็นว่า คำนิยามว่าอะไรคือเรื่องสั้น มีส่วนสำคัญอย่างมากในการกำหนดทิศทางของเรื่องสั้นไทย


แน่นอน กระบวนการสร้างคำนิยมที่มีมาตรฐานมีลักษณะเป็นพลวัต เป็นไปในสองทิศทาง งานเขียนที่ “แหกคอก” ไปจากคำนิยาม ท้ายสุดจะส่งผลให้นิยามต้องปรับเปลี่ยน ยืดหยุ่นมากขึ้น

เช่น เมื่อ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ได้รางวัลโนเบล วรรณกรรมไทยจึงหันมาสนใจเรื่องสั้นไทยแนวอิงตำนานพื้นบ้าน และเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น


คุณอาจรู้สึกว่า ฉันไปหลงเชื่ออะไรง่าย ๆ จากหนังสือเล่มเดียว

เออ... เป็นเรื่องน่าคิด

ฉันควรเชื่อ ชูศักดิ์ ผู้แต่ง สักกี่เปอร์เซ็นต์

แต่จะทำยังไงได้ คนมันหลงและเชื่อไปแล้ว

คนที่ควรพิจารณาตัวเองอย่างหนักคือฉัน แน่นอนที่สุด

แม้นจะเคยเข้าใจคุณสุชาติ อย่างผิดพลาดมหาศาล แต่ฉันยังให้ความเคารพนับถือท่านตลอดมา


กลับมาสู่หนังสือ อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง พระเอกตัวจริงของเรา

คนที่เป็นนักอ่านทั้งหลายล้วนมีรสนิยมเป็นเอกอยู่ในตัว จะอ่านนิยาย เรื่องสั้น กวีนิพนธ์ สารคดี อะไรก็ตาม แต่การจะเลือกอ่านบทความวิจารณ์หนังสือ ฉันเห็นว่าอาจมีคนกลุ่มนี้ไม่มากนัก เนื่องจากบางครั้ง อดรู้สึกไม่ได้ว่าเป็นการมากเรื่องสำหรับการอ่านเกินไปหรือเปล่า อ่านก็อ่านไปซี ตามใจฉัน จะมาวิจารณ์หาญหักใจกันไปทำไมนักหนา เสียเวล่ำเวลา


ฉันกลับเห็นว่ายิ่งเราพิถีพิถันกับการอ่านเท่าไร มรรคผลย่อมตกอยู่แก่ตัวเรา และอาจแผ่ขยายไปสู่วงการอ่าน-เขียนอีกทางหนึ่งด้วย ลองขยับข่ายรสนิยมของเราให้กว้างอีกนิด เปิดอ่านหนังสือว่าด้วยการวิจารณ์วรรณกรรม อ่านเล่น ๆ ดู สักบท สองบท ก็เป็นเรื่องท้าทายอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน


ขอยกตัวอย่างอีกเล็กน้อย เกี่ยวกับการอ่าน (ไม่) เอาเรื่อง เผื่อเก็บไว้เป็นเทคนิคในยามต้องเลือกหนังสือหลายเล่ม เผื่อเก็บไว้เป็นนิยามประจำตัว ไม่ให้หลงเชื่อนักวิจารณ์วรรณกรรมง่าย ๆ อย่างฉัน ไม่ใหลหลงรางวัลทางวรรณกรรมตามฤดูกาลอย่างง่าย ๆ ต่อให้คณะกรรมการจะเป็นผู้เปี่ยมดีกรีปริญญามหาบัณฑิต รวมทั้งอิทธิพลจากซีกโลกตะวันตกด้วย เมื่อเรามีหลักเกณฑ์ในใจเสียอย่าง ใครก็มาเย้ายั่วไม่ได้ อาจถึงขั้นมองกรรมการซีไรต์เป็นเพียงมายา มาคอยยั่วเย้ารายปีก็เป็นได้นะเออ


การตีความวรรณกรรมนั้นมีหลายกลวิธี การแยกแยะงานชั้นดีกับชั้นดาษดื่นนั้นก็มีหลายกลเช่นเดียวกัน

ฉันขอยืมหลักการเล็กน้อยจากหนังสือเล่มนี้มาให้อ่าน ใครที่ “รู้” แล้ว ก็เพิ่มเติมได้นะ


ว่าด้วยเรื่องของ “มุมมอง” และ “เสียงเล่า” ในวรรณกรรม

มุมมอง focalization

เสียงเล่า narrative voice

สองคำนี้ต่างกันอย่างไร

วรรณกรรมบางเรื่องผู้แต่งใช้มุมมองของตัวละครคนเดียว โดยอาศัยเสียงเล่าของตัวละครนั้น แต่บางเรื่องมุมมองของตัวละครไม่ได้เล่าผ่านเสียงเล่าของตัวละครดังกล่าว แต่เป็นเสียงเล่าแบบสัพพัญญู ดังนั้นเราต้อง “ฟัง” ให้ดีกว่า เสียงเล่าอย่างนี้ ใครน่าจะเป็นคนเล่า แล้วเป็นไปเพื่ออะไร จะเสียดเย้ย เยาะหยัน หรือเปรียบเปรย เปรียบเทียบ น้ำหนักของแนวคิดน่าจะมีจุดพร่องตรงไหน ผู้แต่งท่านใดจริงใจต่อแนวคิดในตัวบทวรรณกรรมมากกว่ากัน และเราควรอุดหนุนใคร


เขายกตัวอย่างนวนิยายเรื่อง มิสซิสดัลโลเวย์ (Mrs. Dalloway) ที่ดลสิทธิ์ บางคมบาง ได้แปลไว้และออกวางแผงเมื่อปีที่แล้ว

เป็นการเล่าเหตุการณ์เดียวกันจะมีการเปลี่ยนมุมมองระหว่างตัวละครหนึ่ง ไปสู่อีกตัวละครหนึ่ง เช่น การเล่าถึงบรรยากาศบนถนนออกซ์ฟอร์ด จะเริ่มจากมุมมองของ Dalloway และเปลี่ยนไปสู่มุมมองของ Septimus เพื่อสื่อถึงสภาวะจิตใจของตัวละครสองตัวที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงต่อเหตุการณ์เดียวกัน


ในฝรั่งเศส มุมมอง มีความหมายมากกว่า การมองเห็น และครอบคลุมไปถึงนามธรรมด้วย ดังนั้น Genette จึงบัญญัติคำว่า focalization แทน point of view หมายถึง การเห็น การคิด การรับรู้ รู้สึกของตัวละคร และผู้เล่าเรื่อง


มุมมองมีทั้งเชิงคิด (cognitive) เชิงรู้สึก (emotion)

มีทั้งมองจากภายในตัวละคร และมองจากภายนอกสู่ตัวละคร

เราควร “มอง” หาให้ละเอียดเพื่อจะซึมซับตัวบทวรรณกรรม

สำหรับนักเขียนผู้สร้าง รายละเอียดเหล่านั้นเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้สร้างความลุ่มลึกให้ตัวละคร เพิ่มความแยบคายใน “ใส่” รายละเอียดเชิงลึกด้วย


แม้มุมมองเหล่านี้จะสาดส่องมาจากซีกโลกตะวันตก เพื่อวินิจฉัยซีกโลกตะวันออก เช่นงานวรรณกรรมไทยอย่างที่เรียกได้ว่าเกือบผูกขาดแล้ว แต่หากไม่มีพื้นฐานในบริบทที่ละเอียดลออมากพอ การตีความ

นัยยะย่อมไม่ได้สำแดงให้อะไรกระจ่างขึ้นจนมากมาย ขณะเดียวกัน หากมัวมานั่งแบ่งแยกว่านั่นตะวันตก นี่ตะวันออก มรรคผลที่ได้อาจไม่มีอะไรมากไปกว่าได้สนองตอบตัณหาตัวเอง เชียร์ชาติพันธุ์ตัวเองอย่างปิดหูปิดตาตัวเอง หรือวิ่งเผ่นตามกระแสตอนนี้ที่ โลกซีกตะวันตกได้เหลียวมองตะวันออกอย่างตื่นตาตาใจไปแล้ว


เราจะเหลียวมองตัวเราเองด้วยสายตาของใคร เป็นความประณีตอย่างหนึ่งก็ว่าได้ และบทสรุปอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวเราอีกด้วย แต่บางขณะ บทสรุปก็ไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป มุมมองว่าด้วยวรรณกรรมจึงเปรียบได้กับเนื้อเยื่ออ่อนบาง ที่พร้อมเปิดรับและปิดผนึก “เชื้อ” บางอย่างจากทั่วสากลทิศ สุดแท้แต่ “ผู้ป้ายเชื้อ” จะแต้มให้เป็นอย่างไร


สำหรับฉัน เชื้อที่งดงามเสมอคือเชื้อพันธุ์แห่งความซื่อสัตย์ต่อตัวเองของนักเขียน.

 

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 
สวนหนังสือ
นายยืนยง   พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง
สวนหนังสือ
นายยืนยง บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง “กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์”
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา                  Ageless Body, Timeless Mind เขียน : โชปรา ดีปัก แปล : เรืองชัย รักศรีอักษร พิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2551   แสนกว่าปีมาแล้วที่มนุษย์พัฒนากายภาพมาถึงขีดสุด ต่อนี้ไปการพัฒนาทางจิตจะต้องก้าวล้ำ มีหนังสือมากมายที่กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะทางจิต เพื่อให้อำนาจของจิตนั้นบันดาลถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต หนึ่งในนั้นมีหนังสือที่กล่าวอย่างจริงจังถึงอายุขัยของมนุษย์ ว่าด้วยกระบวนการรังสรรค์ชีวิตให้ยืนยาว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชีวประวัติของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นเพียงภาพร่างของนักเขียนในอุดมคติ ผู้ซึ่งอุทิศวันเวลาของชีวิตให้กับงานเขียนอย่างเคร่งครัด ไม่มีสีสันอื่นใดให้ฉันจดจำได้อีกมากนัก แม้กระทั่งวันที่เขาหมดลมหายใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันจำได้เพียงว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์...
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : แสงแรกของจักรวาล ผู้เขียน : นิวัต พุทธประสาท ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2551   ชื่อของนิวัต พุทธประสาท ปรากฎขึ้นในความประทับใจของฉันเมื่อหลายปีก่อน ในฐานะนักเขียนที่มีผลงานเรื่องสั้นสมัยใหม่ เหตุที่เรียกว่า เรื่องสั้นสมัยใหม่ เพราะเรื่องสั้นที่สร้างความประทับใจดังกล่าวมีเสียงชัดเจนบ่งบอกไว้ว่า นี่ไม่ใช่วรรณกรรมเพื่อชีวิต... เป็นเหตุผลที่มักง่ายที่สุดเลยว่าไหม
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : คนรักผู้โชคร้าย ผู้แต่ง : อัลแบร์โต โมราเวีย ผู้แปล : ธนพัฒน์ ประเภท : เรื่องสั้นแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2535  
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : คุณนายดัลโลเวย์ (Mrs. Dalloway) ผู้แต่ง : เวอร์จิเนีย วูล์ฟ ผู้แปล : ดลสิทธิ์ บางคมบาง ประเภท : นวนิยายแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ชมนาด พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2550
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : จำปาขาว ลาวหอม (ลาวใต้,ลาวเหนือ) ผู้แต่ง : รวงทอง จันดา ประเภท : สารคดี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทางช้างเผือก พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2552 ยินดีต้อนรับสู่พุทธศักราช 2553 ถึงวันนี้อารมณ์ชื่นมื่นแบบงานฉลองปีใหม่ยังทอดอาลัยอยู่ อีกไม่ช้าคงค่อยจางหายไปเมื่อต้องกลับสู่ภาวะของการทำงาน
สวนหนังสือ
“อารมณ์เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง” อาจารย์ชา สุภัทโท ฝากข้อความสั้น กินใจ ไว้ในหนังสือธรรมะ ซึ่งข้อความว่าด้วยอารมณ์นี้ เป็นหนึ่งในหลายหัวข้อในหนังสือ “พระโพธิญาณเถร” ท่านอธิบายข้อความดังกล่าวในทำนองว่า “ถ้าเราวิ่งกับอารมณ์เสีย... ปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ จิต – ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว คือ ความมีจิตต์แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว ได้แก่ สมาธิ ”
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ขบวนรถไฟสายตาสั้น ขึ้นชื่อว่า “วรรณกรรม” อาจเติมวงเล็บคล้องท้ายว่า “แนวสร้างสรรค์” เรามักได้ยินเสียงบ่นฮึมฮัม ๆ ในทำนอง วรรณกรรมขายไม่ออก ขายยาก ขาดทุน เป็นเสียงจากนักเขียนบ้าง บรรณาธิการบ้าง สำนักพิมพ์บ้าง ผสมงึมงำกัน เป็นเหมือนคลื่นคำบ่นอันเข้มข้นที่กังวานอยู่ในก้นบึ้งของตลาดหนังสือ แต่ก็ช่างเป็นคลื่นอันไร้พลังเสียจนราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สวนหนังสือ
  นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 50 บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน จัดพิมพ์โดย : สำนักช่างวรรณกรรม