นายยืนยง
ชีวประวัติของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นเพียงภาพร่างของนักเขียนในอุดมคติ ผู้ซึ่งอุทิศวันเวลาของชีวิตให้กับงานเขียนอย่างเคร่งครัด ไม่มีสีสันอื่นใดให้ฉันจดจำได้อีกมากนัก แม้กระทั่งวันที่เขาหมดลมหายใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันจำได้เพียงว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์...
\\/--break--\>
ผลงานของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นดั่งภาพอันคมชัดของวรรณกรรมในอุดมคติ เป็นเนื้อหาของชีวิตอันเข้มข้น มีร่องรอยของย่างก้าวที่พยายามจะก้าวไปข้างหน้าอยู่ทุกตัวอักษร ผลงานของเขาบ่งบอกเสมอว่า วรรณกรรมของเขามีความปรารถนาอย่างรุนแรงที่จะก้าวไปให้พ้นจากพรมแดนทางวรรณกรรม จากกรอบเกณฑ์ใดใด จากพันธะที่นักเขียนมีต่อรูปแบบการเล่าเรื่อง จากพันธะที่นักเขียนมีต่อเทคนิคการจัดวางองค์ประกอบของเรื่อง
ผลงานของเขาปราศจากเทคนิคใดใดที่แสดงให้เห็นว่า "รูปแบบ" สำคัญกว่า "เนื้อหา"
ผลงานของเขาปฏิเสธการอ่านอย่างฉาบฉวย
ผลงานของเขาเรียกร้องเวลาอันเงียบสงบ เรียกร้องความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการจากคนอ่าน เสมือนว่าเขาได้จัดสรรห้วงยามแห่งวรรณกรรมชั้นดีไว้สำหรับคนอ่านในอุดมคติของเขา
ผลงานที่เคี่ยวกรำมาอย่างหนัก เคี่ยวเค้นมาจนเต็มพลังของนักเขียน
เป็นภาพในอุดมคติที่ชัดเจนเหลือเกิน ทั้งตัวตนของนักเขียนและผลงานของเขา
กนกพงศ์กับซัลมาน
ซัลมาน คือ ภาพชัดเจนที่แสดงถึงตัวตนของนักเขียนที่บรรจุอยู่ในตัวละครของเขา
"โลกใบเล็ก ซึ่งใกล้จะพังทลายของตน..."
เมื่อซัลมานเกรี้ยวกราดเอากับเมียและลูกทุกครั้งที่เขารู้สึกถูกรุกราน กนกพงศ์ก็จะยิ่งเคี่ยวเค้นเอากับผลงานของตัวเอง ดั้นด้นสัญจรหาแรงบันดาลใจอันสดใหม่ เพื่อจะก้าวพ้นไปจากเดิม เมื่อเขารับรู้ว่าคนอ่านในอุดมคติของเขาลดจำนวนลง
กนกพงศ์ทิ้งซัลมานเอาไว้กับโลกใบเล็กของเขาด้วยมุมมองแบบนักวิชาการเมื่อปัญหากัดกินตัวเองจนเกินจะเยียวยาได้ กนกพงศ์เพียงแต่สะท้อนภาพด้วยสายตาของนักเขียนที่พยายามทำความเข้าใจต่อโลกเท่านั้น เขาไม่เข้าไปก้าวก่าย ไม่เข้าไปกำหนดชะตากรรมของตัวละครเพื่อสร้างโศกนาฏกรรมเรียกน้ำตาจากคนอ่าน เป็นไปได้ไหมว่า กนกพงศ์ไม่ศรัทธาน้ำตาแห่งความเศร้าโศกอีกต่อไปแล้ว วิธีการจบเรื่องของเขาจึงไม่สรุปชะตากรรมของตัวละครให้ชัดเจนลงไป โลกใบเล็กของซัลมานจึงมีตอนจบเรื่องที่ต่างออกไปจาก สะพานขาด
กนกพงศ์กับพื้นที่ของความไร้เหตุผล
ผลงานของกนกพงศ์หลายเรื่อง โดยเฉพาะในยุคแรกมาถึงยุคแผ่นดินอื่น ชะตากรรมของตัวละครของเขาล้วนอยู่ในเงื้อมมือของนักเขียนแทบทั้งสิ้น นักเขียนเป็นดั่งสัพพัญญู ผู้รู้แจ้งแทงตลอด แต่หลังจากนั้น ก้าวย่างในผลงานของเขาได้บ่งบอกชัดเจนว่า เขาไม่อาจแบกรับสภาวะของผู้รู้แจ้งแทงตลอดต่อไปได้อีกแล้ว ดังนั้น ในยุคนี้ตัวละครของเขาจึงมีพื้นที่ของความไร้เหตุผลเพิ่มเข้ามา ตัวนักเขียนจึงไม่สามารถกำหนดชะตากรรมของตัวละครได้ทั้งหมด และจุดหักเหสำคัญของเรื่องจึงเกี่ยวพันเข้ากับพื้นที่และภาวะของความไร้เหตุผล เป็นสภาวะที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผล (Absurd) ราวกับตัวกนกพงศ์เองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสภาวะดังกล่าวด้วยเช่นกัน
จุดนี้เองที่ฉันเชื่อว่า กนกพงศ์ได้ก้าวข้ามพรมแดนความคร่ำครึของนักเขียนไปได้ (ความคร่ำครึของนักเขียนที่ว่านั้น คือความเชื่อที่ความเข้าใจว่านักเขียนเป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดต่อสรรพสิ่งและความเป็นไปของโลก ราวกับนักเขียนได้รับสมญาของพระเจ้า) และเขาได้ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของวรรณกรรมไทย
กนกพงศ์กับผลงานที่ปรากฎออกมาหลังจากที่เขาได้ตายไปแล้ว
มีแต่นักเขียนที่ตายไปแล้วเท่านั้น ที่จะสร้างสรรค์ผลงานอันทรงพลังได้ คำกล่าวนี้มีนัยยะให้ตีความหลายด้าน ด้านหนึ่งอาจเป็นการปลุกกระตุ้นให้นักเขียนมีพลังสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และเป็นการตั้งเป้าหมายของผลงานเอาไว้จนสูงส่ง ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นว่า ภายหลังจากที่นักเขียนตายลง ผลงานของเขาเหล่านั้นก็ได้โอกาสทยอยตีพิมพ์เผยแพร่อย่างต่อเนื่อง ในปริมาณความถี่ที่มากกว่าเมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตเสียอีก กรณีของกนกพงศ์ก็ไม่ต่างกัน
หลังจากกนกพงศ์ตายลง ผลงานของเขาทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย และกวีนิพนธ์ ต่างทยอยตีพิมพ์ออกมาในนามของสำนักพิมพ์นาคร รวมถึงในนิตยสารเรื่องสั้น "ราหูอมจันทร์" ที่ก่อตั้งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจของกนกพงศ์เอง รวมพลังกับกลุ่มนาคร ราหูอมจันทร์ Vol.6 (กรกฎาคม-กันยายน 2552) มีเรื่องสั้น "มูลค่า" ของกนกพงศ์ตีพิมพ์อยู่ด้วย
กนกพงศ์กับมูลค่าทางสังคม
ในเรื่องสั้น "มูลค่า" นี้ นับว่าเป็นเรื่องสั้นที่กนกพงศ์ได้ทอดอารมณ์อ้อยอิ่งอยู่ในสภาวะอารมณ์เพียงหนึ่งเดียว เป็นเรื่องสั้นที่เขาได้โยกย้ายมุมมองออกจากเรื่องสั้นอื่น ๆ ที่ตีพิมพ์มาก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
กนกพงศ์มีมุมมองเฉพาะตัวที่มุ่งเน้นนำเสนอเรื่องราวที่ฝังลึกอยู่ในสังคม ผ่านสายตาที่กลั่นกรองมาแล้วเป็นอย่างดี อย่างคนที่พยายามจะเข้าใจโลกทุกแง่มุม ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานทางความคิดที่นักเขียนต้องเคี่ยวกรำอย่างหนัก ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนของการลงมือเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกนกพงศ์
เพราะเขามีความปรารถนาอย่างไม่ลดราวาศอก ที่จะเขียนเรื่องสั้นให้ได้สมบูรณ์แบบมากที่สุด ครบถ้วนทุกใจ เพื่อขับเน้นประเด็นของเนื้อหาให้แจ่มชัดขึ้น โดยที่ไม่ด่วนสรุปให้เป็นประเด็นของแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งเป็นการเฉพาะ
ฉะนั้น หลายครั้งหลายคนที่เมื่อได้อ่านเรื่องสั้นของกนกพงศ์ พวกเขามักจะพบว่า ข้อมูลจากหลายแง่มุมได้ทบท่วมเข้ามา เพื่อนำพาเราไปสู่ใจกลางของประเด็นอันใหญ่หลวงที่กนกพงศ์นำเสนอนั้น ขณะเดียวกัน พวกเขากลับรู้สึกราวกับถูกเทศนาจากศาสดาแห่งโลกวรรณกรรม เป็นความรู้สึกราวกับถูกยัดเยียดให้มองโลกด้วยสายตาคนอื่น นั่นคือสายตาของกนกพงศ์นั่นเอง
หากจะกล่าวว่า กระบวนการสื่อสารเช่นนี้ เป็นการสื่อสารที่ไร้ประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์คงไม่ผิดนัก
เนื่องจากมันไม่ได้ก่อให้เกิดกระบวนการ "คิดต่อ" มากกว่า "คิดตาม"
ถ้าเป็นเช่นนั้น ย่อมต้องถือว่า กนกพงศ์ล้มเหลวในแง่ของการสื่อสาร
สภาวะเช่นนี้ อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการทำงานอันเคร่งครัดของกนกพงศ์เอง...เป็นไปได้ไหมก็ไม่อาจทราบได้ เพียงแต่คาดเดาเท่านั้น เนื่องจากฉันไม่รู้จักกับกนกพงศ์เป็นการส่วนตัว และฉันคิดว่าจุดนี้ต่างหากที่กนกพงศ์พยายามจะมองไม่เห็น
และเป็นไปได้ไหมว่า คนรอบข้างเขาเองต่างก็มองไม่เห็นว่าจุดนี้เป็นจุดที่จะหักเหก้าวย่างของเขาได้ชัดเจนที่สุด รวมไปถึงมีส่วนให้ผลงานของกนกพงศ์สลัดคราบของสัพพัญญูไปสู่พรมแดนใหม่ที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น และเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างใหม่
ในจุดนั้นเอง สภาวะของการยัดเยียดก็จะหมดไป และผลงานของเขาจะถูกอ่านอย่างกว้างขวางมากขึ้น
เหมือนกับเรื่องสั้น "มูลค่า" ดังจะกล่าวถึงต่อไปนี้
เรื่องสั้นนี้ (แม้จะเป็นเรื่องแต่ง) ฉันอ่านด้วยความรู้สึกเศร้าลึกและเต็มตื้นไปด้วยความเสียดาย เนื่องจากหากเรื่องสั้น "มูลค่า" เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ออกมาก่อนที่เขาจะตาย ฉันเชื่อว่าบางทีกนกพงศ์อาจจะยังมีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ และผลงานของเขาจะสามารถก้าวพ้นออกมาจากพรมแดนของความเป็นกนกพงศ์อย่างแท้จริง
มูลค่า เป็นเรื่องสั้นที่กล่าวถึง "มูลค่า" ของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันเพียงส่วนเสี้ยวเดียว การทำตัวให้เป็นบุคคลสำคัญ กับการทำตัวให้เป็นบุคคลไร้ความสำคัญ นั้น ถือเป็นกระบวนการสร้างความเหนือชั้นให้แก่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้อยู่เหนือกว่าสิ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าในโลกธุรกิจ
ในเรื่องนี้ กนกพงศ์ได้แสดงให้เห็นถึงการแปรสภาพของอุดมคติเรื่องมูลค่ากับคุณค่า การย้ายมูลค่าออกจากสิ่งที่มีคุณค่า หรือเรียกว่า การย้ายอุดมคติเรื่องของคุณค่า
โดยเปลี่ยนจาก
สิ่งหนึ่งจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมันได้มีคุณค่าอยู่ในตัวเอง หาได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของมูลค่า
มาเป็น
สิ่งหนึ่งจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมันมีมูลค่า โดยมูลค่านั้นถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นกระบวนการ
ยกตัวอย่าง ภาพปกหนังสือรวมเรื่องสั้นของ "ผม" ที่เมื่อก่อนเคยว่าไหว้วานเพื่อนผู้มีฝีมือด้านศิลปะออกแบบภาพปกให้ ในราคาไม่เกินห้าพันบาท แต่เมื่อ "ผม" ได้ตัดสินใจว่าจ้างให้ "เขา" นักเขียนหนุ่มเจ้าของรางวัลวรรณกรรมระดับประเทศที่หนุ่มที่สุด เป็นลูกชายเจ้าพ่อสื่อสิ่งพิมพ์และมัลติมีเดีย เป็นคนที่มีชื่อเสียงกว้างขวางในวงการบันเทิง "เขา" ตกลงรับออกแบบปกหนังสือให้ผม ในราคาหลักหมื่นบาท ซึ่งผลงานที่เขาส่งมาให้นั้น เป็นเพียงวงกลมง่าย ๆ กับเส้นสายไม่กี่เส้น ผิดกันลิบลับกับผลงานศิลปะของเพื่อนผม ที่ใช้สีสันและสายเส้นอย่างงดงาม
แต่ในเมื่อ "เขา" คนนั้น เป็นบุคคลที่มีมูลค่าทางสังคม ทุกสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป มันช่างดูน่าชื่นชมไปทั้งหมด แม้แต่เสียงที่เขาใช้คุยโทรศัพท์ กติกาการรับเงินค่าจ้าง ท่วงท่ากิริยาในร้านน้ำชาที่เขาและผมได้พบกัน มันช่างสง่างามอย่างล้นเหลือ นอกจากนั้น ผมที่ได้ปฏิสัมพันธ์กันเขา ยังรู้สึกหัวใจพองคับอก เมื่อได้รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว และเมื่อได้นึกถึงห้วงยามของการพบปะครั้งนั้น
"ดูมันจะเป็นมูลค่าที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง" เหมือนกนกพงศ์จะมีน้ำเสียงเยาะหยันอยู่ในที แต่เป็นน้ำเสียงแบบทีเล่นทีจริงมากกว่าจะจริงจัง นอกเสียจากคนอ่านจะรู้สึกต่อไปได้เอง
นอกจากนี้เรื่องสั้น "เด็กหญิงทั้งสาม" ของกนกพงศ์ที่ลงพิมพ์ในราหูอมจันทร์ Vol.7 (มกราคม-เมษายน 2553) ยังเป็นเรื่องสั้นที่ส่งสัญญาณบอกว่า กนกพงศ์ได้ก้าวมาสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่งจุดหนี่งในชีวิตนักเขียนของเขา เนื่องจากเรื่องสั้นนี้ ได้กล่าวถึงการเคลื่อนย้ายอุดมคติของคนที่ต่อต้านวัตถุนิยมออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากกว่าจะเยาะหยัน ดูราวกับเขาเองสามารถเปิดใจยอมรับสิ่งที่เป็นปราการอันหนึ่งในสังคมได้
แม้ว่าเรื่องสั้น "เด็กหญิงทั้งสาม" นี้จะเขียนไม่จบ และฉันก็ไม่อาจจะคาดเดาตอนจบเรื่องได้ แต่ฉันก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้อ่านเรื่องสั้นของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เนื่องจากมันเป็นเรื่องสั้นที่ได้ก้าวพ้นไปจากพรมแดนของความล้มเหลวในตัวตนของเขา
มูลค่าที่เขาสร้างขึ้นมันเป็นสิ่งเดียวกับคณค่าที่เขาเข้าใจ.