กวีกับอุดมคติ

นายยืนยง


บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง
กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์

กวีนิพนธ์ในยุคเพื่อชีวิต ถูกทำให้สาธารณชนจดจำได้เป็นภาพชัดเจนทั้งตัวกวีและผลงาน เพราะส่วนหนึ่งเนื่องมาจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการทางประวัติศาสตร์การเมืองในพ.ศ.2516 , พ.ศ. 2519 และ พ.ศ.2535 และสถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างให้สาธารณชนรู้จักกวีในภาพของ กลุ่มคนที่ยึดมั่นในอุดมคติซึ่งกล่าวได้ว่า กวีนิพนธ์ในยุคนั้นได้สร้างกระแสความคิด สร้างอุดมการณ์ทางการเมืองให้กับสาธารณชน ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการปลุกกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์การเมือง

จะเห็นได้ว่า ทั้งตัวกวีและผลงานต่างก็ถูกจดจำในภาพของ กลุ่มคนที่ยึดมั่นในอุดมคติ และ กวีนิพนธ์ในอุดมคติ ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ตัวกวีและผลงานต่างถูกมองเป็นสัญลักษณ์ในทางเดียวกัน ซึ่งมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้สาธารณชนถือว่า ตัวกวีและผลงานเป็นกลุ่มคนที่มีอุดมคติซึ่งสร้างสรรค์ผลงานกวีนิพนธ์อันเปี่ยมด้วยอุดมคติ

ข้อเท็จจริงที่กวีสมมุติขึ้นในการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์

ในยุคเพื่อชีวิต กวีนิพนธ์ที่อยู่ในกระแสส่วนใหญ่เป็นกวีนิพนธ์ที่มองโลกอย่างที่เป็นข้อเท็จจริง ตามสถานการณ์จริงที่กำลังดำเนินอยู่ บริบทอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือกวีนิพนธ์จึงถูกอ่านไปพร้อมกับกวีนิพนธ์ด้วย ทำให้สาธารณชนไม่รีรอที่จะสรุปว่า ตัวกวีกับผลงานไม่อาจแยกแยะออกจากกันได้ ยกเว้นบางกรณีเท่านั้น 

ดังนั้นเราจึงได้เห็นว่า บางครั้ง บทกวีการเมืองที่เราไปรู้มาว่ากวีตั้งใจเขียนเพื่อส่งเสริมอุดมการณ์ทางเมืองที่เขาศรัทธา จะเป็นบทกวีที่ดีขึ้นมาได้

ปัจจุบันนักวิจารณ์ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า ผู้เล่า ในวรรณกรรมนั้นไม่อาจที่จะถือว่าเป็นคนเดียวกับผู้แต่งจริง กวีคือคน ๆ หนึ่งที่สื่อสารกับหลายคน แต่สื่อสารโดยใช้เรื่องสมมุติ บทกวีประเภทลำนำทั้งหลายเขียนเป็นบทรำพึงความในใจทั้ง ๆ ที่ต้องการให้คนจำนวนมากรับรู้ เราสงวนคำว่า ผู้เล่า นี้ไว้ใช้ในกรณีที่เห็นชัดว่าผู้เล่าไม่ใช่คนเดียวกับผู้แต่ง (จากย่อหน้าที่ขีดเส้นใต้ คัดลอกมาจากหนังสือ ว่าด้วยหลักวรรณคดีวิจารณ์ แปลจาก An Essay on Criticism by Graham Hough,1973 แปลโดย นฤมล กาญจนทัต และ อุบลวรรณ โชติวิสิทธิ์)

จากย่อหน้าข้างต้น จะเห็นได้ว่า กวีมองโลกอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงตามสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เพื่อสร้างสรรค์บทกวีขึ้นมา แต่จะเป็นไปได้หรือที่กวีจะมองเห็นข้อเท็จจริงในทุกด้านทุกแง่มุมตามข้อเท็จจริงที่กำลังดำเนินอยู่ ฉะนั้นกวีนินพนธ์ในยุคนี้แม้จะถูกขึ้นในสถานการณ์ที่เป็นจริง แต่กวีนิพนธ์ย่อมตกอยู่ในขอบเขตของ เรื่องสมมุติ อยู่นั่นเอง ทั้งนี้ เรื่องสมมุติ ดังกล่าวที่กวีสร้างสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์จริงหรือจากโอกาสของตนเองนั้น ก็หาใช่ชีวประวัติของกวีเองทั้งหมด

จึงกล่าวได้ว่า การอ่านกวีนิพนธ์ในยุคเพื่อชีวิต เราจะต้องสงวนบูรณภาพของบทกวีเพื่อไม่ให้บทกวีกลายเป็นชีวประวัติของกวี แต่การอ่านกวีนิพนธ์โดยไม่คำนึงถึงกวีเลยก็ไม่อาจเป็นไปได้ด้วยเช่นกัน 

และอาจกล่าวได้อีกว่า สถานการณ์ทางการเมืองในยุคที่ผ่านมา ไม่อาจสร้างวีรบุรุษกวีหรือวีรสตรีกวีได้ นอกเสียจากมันได้สร้างอุดมคติของกวีนิพนธ์ไว้ให้กวีรุ่นหลังต่อมา

ดังนั้นความรู้สึกที่จะเรียกร้องให้บรรดากวีเดือนตุลาในอดีตทั้งหลาย ก้าวออกมามีส่วนร่วมในขบวนการทางเมืองของวันนี้ จึงเป็นการกระทำที่ไร้วุฒิภาวะ

อุดมคติอันเป็นมรดกตกทอด

ในยุคเพื่อชีวิต เป็นยุคที่กวีนิพนธ์มองโลกอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงตามสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เพื่อแสดงศีลธรรมชุดหนึ่งในปรากฎขึ้น ในการที่จะสร้างสรรค์สังคมอุดมคติ กลวิธีนี้ถูกเรียกว่า สัจจะนิยมหรืออัตนิยม

สังคมในอุดมคติดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในความรู้สึกของผู้อ่านผ่านวรรณกรรมหลายประเภท ทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย รวมทั้งกวีนิพนธ์ด้วย เนื่องจากวรรณกรรมเหล่านั้นได้แสดงถึงศีลธรรมชุดดังกล่าว

ขณะเดียวกัน มันก็ได้ส่งทอดอุดมคติมาสู่วรรณกรรมด้วย กล่าวคือ วรรณกรรมจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมันกล่าวถึงอุดมคติ

เท่ากับเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการอ่านกวีนิพนธ์ให้กับสาธารณชน เช่น กวีนิพนธ์ที่แสดงออกถึงความคิดทางการเมืองในการจะล้มล้างรัฐทหารนั้นมีคุณค่าควรแก่การอ่านมากกว่า กวีนิพนธ์ที่แสดงออกถึงพลังของประชาชนนั้นมีคุณค่าแก่การอ่านมากกว่าเนื่องจากมันได้สร้างพื้นที่ของประชาธิปไตยลงในประชาชน และเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า อุดมคติดังกล่าวได้แปรสภาพเป็นอุดมคติของชนชั้นกลางไปด้วย

อาจกล่าวได้ว่า กวีนิพนธ์ยุคเพื่อชีวิตได้สถาปนาศีลธรรมชุดหนึ่งให้กับกวีนิพนธ์ คือ กวีนิพนธ์ที่แท้นั้นต้องแสดงออกถึงทัศนะทางการสังคมการเมืองในอุดมคติ หรือชี้ให้เห็นหนทางของชีวิตที่ดีงาม หรือชีวิตจะดีได้สังคมต้องดีควบคู่กันไปด้วย เท่ากับว่าอุดมคติดังกล่าวได้สร้างเส้นแบ่งระหว่างกวีนิพนธ์ที่ทรงคุณค่ากับกวีนิพนธ์ที่ไร้คุณค่าออกจากกัน

และศีลธรรมชุดนี้ก็เป็นมรดกตกทอดอันหนึ่งของสังคมกวีนิพนธ์ในยุคต่อมา

ท่าทีต่อต้านที่เป็นมรดกอีกกองหนึ่ง

ในยุคหลังเพื่อชีวิตมาแล้ว นอกจากกวีนิพนธ์จะมีเนื้อหาในทางสังคมการเมืองแล้ว เราจะเห็นว่ากวีนิพนธ์ในยุคดังกล่าวได้แสดงบทบาทการวิพากษ์วิจารณ์ปรากฎการณ์ต่าง ๆ ในสังคมด้วยท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น ศัตรูของประชาชนคือเผด็จการทหาร รวมไปถึงการต่อต้านลัทธิบริโภคนิยม และจักรวรรดิอเมริกา ทำให้กวีนิพนธ์ในยุคนี้ต่างตั้งตัวเป็นศัตรูกับชาติตะวันตกอย่างอเมริกา 

มีบทกวีที่วิพากษ์วิจารณ์ และมีปฏิกิริยาต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิบริโภคนิยม อเมริกา รวมถึงสัญลักษณ์ของการล่าอาณานิคมรูปแบบใหม่ ที่แผ่ขยายอิทธิพลมาทางกระแสวัฒนธรรม

อุดมคติของกวีนิพนธ์อันเป็นมรดกตกทอดจากยุคเพื่อชีวิต ที่มีศัตรูเป็นเผด็จการหรืออำนาจปกครองจึงได้แปรสภาพมาเป็นลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งตอนนั้นค่านิยมของชนชั้นกลางที่ยึดถืออุดมคติของกวีนิพนธ์ในยุคเพื่อชีวิตได้หันมาต้อนรับโลกเสรีนิยมแบบอเมริกากันอย่างแพร่หลาย กวีนิพนธ์ที่มีเนื้อหาต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมจึงไม่ได้ทำหน้าที่สร้างอุดมคติใหม่สนองชนชั้นกลางอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่ต่อต้านสิ่งที่ชนชั้นกลางแสวงหา

เช่นนี้เท่ากับว่า อุดมคติของกวีนิพนธ์ยุคเพื่อชีวิตที่เทศนาให้ชนชั้นกลางมุ่งสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้น มุ่งไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า และมีความเป็นเสรีประชาธิปไตยมากขึ้น กลับมาขัดแย้งกับอุดมคติของกวีนิพนธ์ในยุคหลังเพื่อชีวิต ที่วิพากษ์วิจารณ์ค่านิยมของชนชั้นกลางซึ่งดำเนินชีวิตตามเงื่อนไขของอุดมคติในยุคเพื่อชีวิตอย่างว่านอนสอนง่าย

ท่าทีต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมของกวีนิพนธ์ในยุคหลังนี้ มักถูกสร้างขึ้นด้วยมุมมองแบบข้อเท็จจริงผสมผสานกับการใช้ อำนาจพิเศษบางอย่าง ที่เสมือนหนึ่งว่ามันดำรงอยู่ในตัวตนของกวีมาช้านาน ตรงนี้น่าสังเกตว่า นอกจากกวีจะถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษกวีหรือวีรสตรีกวีอย่างหลงงมงายจากสาธารณชนแล้ว กวียังถูกยกย่องให้เป็นชนชั้นพิเศษแบบหนึ่ง ที่ไม่เพียงมี ปมพลังอิสระ (autonomous complex) อย่างที่ยุง (Jung) อธิบายไว้ แต่กวียังมีญาณทัศน์ที่พิเศษว่า ยังมีการกล่าวอย่างกว้างขวางด้วยว่า กวีมีนัยน์ตาพิเศษ อีกด้วย ดังนั้นแล้วกวีนิพนธ์ในยุคนี้จึงแสดงออกอย่างชัดเจนในการที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือทำนายทายทักเหตุการณ์ในอนาคตว่าบริโภคนิยมอันชั่วร้ายนั้นจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาได้ชี้ถูกชี้ผิด แม้กระทั่งพิพากษาชะตากรรมของลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งกวีมองว่าชนชั้นกลางกำลังลุ่มหลงมัวเมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของลัทธิดังกล่าว

กวีนิพนธ์ในยุคนี้อาจถูกมองอย่างหมางเมินจากชนชั้นกลางไประยะหนึ่ง แต่เมื่อญาณทัศน์ของกวีที่มองเห็นผลร้ายของปีศาจบริโภคนิยม เริ่มปรากฎเป็นขึ้นเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม โดยเฉพาะสังคมเมืองหลวง ซึ่งก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำอีกว่า กวีเป็นชนชั้นพิเศษอยู่ไม่เปลี่ยนนั่นเอง ชนชั้นกลางที่หมางเมินกวีนิพนธ์ก่อนหน้านี้น่าจะกลับมาสนใจกวีนิพนธ์อย่างว่านอนสอนง่ายเหมือนในอดีต ซึ่งชนชั้นกลางก็ยังเป็นกลุ่มคนที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนเดิม แต่พวกเขาย่อมไม่อาจแสร้งตาบอดได้ เมื่อชนบทในฝันได้เปลี่ยนไปแล้ว

เนื่องจากกวีนิพนธ์ในยุคนี้ส่วนใหญ่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้าน รวมถึงพิพากษา โดยพยายามโน้มน้าวผู้อ่านให้คล้อยตามอุดมคติของกวีนิพนธ์ แต่กวีคงหลงคิดไปว่า การมองโลกด้วยมุมมองแบบข้อเท็จจริงที่นำมาสร้างสรรค์เป็น เรื่องสมุมติเพื่อเทศนาให้สาธารณชนคล้อยตาม และนำมาใช้จริงในชีวิตนั้น เป็นการกระทำที่เลินเล่ออย่างยิ่ง และงมงายอย่างยิ่ง

เพราะขณะที่กวีโน้มน้าวชนชั้นกลางในเมืองกรุงให้หันกลับมาใช้ชีวิตแบบธรรมชาตินิยม ให้โหยหาและกลับมาสู่ชีวิตแบบเงียบสงบในชนบท ผ่านกระบวนการสร้างภาพพจน์ของชนบทที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ต่าง ๆ นานาในกวีนิพนธ์นั้น กวีคงมองโลกชนบทผ่านญาณทัศน์ที่ผิดพลาดว่า ขณะเมืองกรุงคลั่งลัทธิบริโภคนิยม ชนบทจะยังงดงามผุดผาดดั่งในอดีตอันแสนหวาน

เมื่อกวีนิพนธ์ไร้ทางออก หนทางใหม่คือ เดินทางเข้าสู่ข้างใน

หลังจากยุคที่กวีนิพนธ์ต่างมุ่งเน้นในการต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมแล้วแต่ประสบปัญหาคือ ไร้ทางออก  แต่พื้นที่สร้างสรรค์กวีนิพนธ์หาได้แช่ค้างไว้ เราจะเห็นว่ามีกวีนิพนธ์ที่ได้กล่าวถึงและแสดงออกถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต ซึ่งก็เท่ากับว่า กวีนิพนธ์ยังคงดำรงไว้ซึ่งอุดมคติ ในการที่จะแสดงออกถึงความดีงามสูงส่งเหมือนในยุคก่อน ๆ

สังเกตว่า กวีนิพนธ์ในยุคนี้ได้แตกย่อยออกมาอย่างหลากหลายมากขึ้น มีทั้งแนวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แนวแสวงหาความสุขทางจิตวิญญาณ รวมถึงแนวธรรมะ และน่าสนใจตรงนี้ว่า เนื้อหาของกวีนิพนธ์ในแนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ต่างก็เป็น สาร ที่มีคุณค่าอันดีงามอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว กล่าวคือ แนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นแนวคิดที่ดีอยู่ในตัวเอง หากไม่มีการเขียนบทกวีกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์ ก็ยังมีกลุ่มคนที่มีแนวคิดเช่นนี้อยู่ มีการดำเนินการที่เป็นกระบวนการอยู่แล้ว หากไม่มีบทกวีที่แสดงออกถึงแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แนวคิดนี้ก็ดำเนินอยู่ได้ รวมไปถึงแนวธรรมะ หรือข้อคิดปรัชญา ซึ่งล้วนดำรงอยู่ได้โดยปราศจากวีนิพนธ์

การที่กวีนิพนธ์ไปจับ สาร เหล่านั้นมาแสดงออกนั้น จะถือเป็นการกระทำตามความเคยชิน หรือเป็นท่าทีของกวีในอุดมคติที่จำเป็นต้อง สร้างสรรค์กวีนิพนธ์เพื่อแสดงออกถึงความดีงามสูงส่ง ถ้ากล่าวเช่นนี้ จะถือเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของกวีนิพนธ์ได้หรือไม่

สรุป

จะเห็นได้ว่า ในยุคเพื่อชีวิตและหลังเพื่อชีวิตมานั้น กวีนิพนธ์ถูกเขียนขึ้นเพื่อแสดงออกถึงความดีงามสูงส่งเป็นสำคัญ ดังนั้น กวีจึงมีความสัมพันธ์กับอุดมคติทางกวีนิพนธ์อย่างคล้อยตาม และยึดมั่นในอุดมคติเสมอมาไม่เปลี่ยน

แต่สิ่งที่จะกล่าวต่อไปในบทความตอนต่อไป จะเป็นการให้น้ำหนักความสัมพันธ์ระหว่างตัวกวีกับผลงานกวีนิพนธ์ ว่าทั้งสองส่วนนี้เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน หรือเป็นไปในทางตรงกันข้าม และส่งผลต่อการอ่านกวีนิพนธ์ของสาธารณชนอย่างไร โดยจะมุ่งเน้นไปถึงกวีที่นำมาหลักพุทธธรรมที่มีคุณค่าอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว มาแสดงออกผ่านกวีนิพนธ์ของเขา.

 

 

ความเห็น

Submitted by รวิวาร on

สวัสดีจ้ะนายยืนยง...ขอข้ามมาตอบเรื่อง หลิวศักดิ์สิทธิ์ในสวนนี้เลยนะ ไม่ค่อยเกี่ยวกับบทกวีที่นายยืนยงกำลังนำเสนอ แต่เราก็จะรออ่านต่อไปนะ ว่าจะพูดถึงกวีอย่างไรอีก

หลิวศักดิ์สิทธิ์เอย มาจากดงผีดิบเอย แล้วก็ ธิดาแห่งไอซิส เป็นหนังสือกลุ่มเดียวกันที่เราประทับใจ เล่มแรกพูดถึงคนญวน สอง ชาวปะด่องในพม่า สามผู้หญิงในโลกมุสลิม (น่าจะใช่แอฟริกาใต้-จำไม่ได้แล้ว) ทั้งสามเล่มทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ผ่านชีวิตคนๆหนึ่ง หรือครอบครัวหนึ่งท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงได้ดีและมีอรรถรสแบบวรรณกรรม หลิวศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้รับรู้และรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวเวียดนาม รวมทั้งเห็นภาพชัดเจนกว่าอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเวียดนามหลายเล่ม และยังทำให้คิดถึงนิยายอิงอัตชีวประวัติที่ดีมาก ๆเล่มหนึ่งของนักเขียนเวียดนาม ที่พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ (จำชื่อเรื่องไม่ได้อีกแล้ว) ด้วย วันหลังนายยืนยงวิจารณ์หนังสือพวกนี้บ้างไหม? เราสนใจ แนวการเขียนเชิงวิชาการที่พยายามทำให้ีมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ผ่านภาษาและกลวิธีการเขียนที่ปรับเปลี่ยนไป แต่ไม่ค่อยมีความรู้น่ะ...

Submitted by ยืนยง on

สวัสดี คุณรวิวาร ดีใจที่คุณเข้ามาตอบ
เราสนใจหนังสือที่พูดถึง "เอเชีย" อย่างเวียดนาม หรือพม่าอยู่เหมือนกัน
ก็บางที ฟากยุโรปหรือละตินมันก็ชวนให้เบื่อบ้าง
หลิวศักดิ์สิทธิ์ ก็เหมือนกัน มันดูมีเสน่ห์อยู่ในตัว น่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองได้ดี

สำหรับเรา การอ่าน นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรธรรมดาแล้ว เรายังอ่านเพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ซึ่งมันสำคัญสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีสังคมอย่างเรา
ช่วงนี้ปิดเทอมแล้ว งานสอนก็ไม่มี พอเงยหน้าขึ้นมาจากการเตรียมเอกสารไว้สอนตอนเปิดเทอมแล้ว ก็ได้อ่าน ได้เขียนมั่ง

ขอบคุณ คุณรวิวาร ที่แนะนำหนังสือให้อ่าน ถ้า..(ถ้า) หามาอ่านได้ จะเขียนมาคุยกัน
อ้อ.. เราชอบสำนวนของ "รวิวาร" ในเรื่องสั้นนะ ..นุ่มนวล และมีความอบอุ่น ไม่มีเจตนาหรือทะเยอทะยานให้มากความ

Submitted by หลานลุงโฮ on

นกพิราบถูกจัดระเบียบ
พลึบพลับตื่นตระหนกระคนเสียงร้องอลหม่าน
แสงแดดฉาบฉานขอบฟ้าตะวันออก
จากเสี้ยวความทรงจำวัยเยาว์ของชายชราแววตาหม่นหมอง
บอกเล่าเรื่องราวประชาชนคนสุดท้ายของประเทศ
อาณาเขตจำกัดนกพิราบในความหลัง
เสียงกระพือปีกเลือนกลาย
รอยยิ้มของชายชราสาบสูญเนิ่นนาน
ลับหายไปพร้อมกับประชาชนคนสุดท้ายของประเทศ

แสงแรกดวงอาทิตย์เป็นพยานให้ยามเช้า
สีทองอาบไล้ได้แต่ร่างชายชรา
ความทรงจำภายในริบหรี่คลับคล้ายแสงสุดท้ายทางทิศตะวันตก
หมองหม่นยิ่งกว่าแววตาคู่นั้น
ดั่งความฝันของประเทศที่ไม่มีประชาชน

พุทธธรรมของกวีหลับลื่น

นายยืนยง
 

พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง

กวีกับอุดมคติ

นายยืนยง


บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง
กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์

ปราการของเวลา

ชื่อหนังสือ : ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา

                 Ageless Body, Timeless Mind

เขียน : โชปรา ดีปัก

แปล : เรืองชัย รักศรีอักษร

พิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2551

 

แสนกว่าปีมาแล้วที่มนุษย์พัฒนากายภาพมาถึงขีดสุด ต่อนี้ไปการพัฒนาทางจิตจะต้องก้าวล้ำ มีหนังสือมากมายที่กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะทางจิต เพื่อให้อำนาจของจิตนั้นบันดาลถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต หนึ่งในนั้นมีหนังสือที่กล่าวอย่างจริงจังถึงอายุขัยของมนุษย์ ว่าด้วยกระบวนการรังสรรค์ชีวิตให้ยืนยาว

เล่มนี้เป็นหนังสือขายดีที่เขียนโดยนายแพทย์หนุ่มชาวอินเดียนาม โชปรา ดีปัก ผู้ยืนยันว่า

มนุษย์สามารถมีอายุยืนยาวเกินกว่า 100 ปี

กนกพงศ์ กับความเข้มข้นที่ล้มเหลว

นายยืนยง 

 

ชีวประวัติของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นเพียงภาพร่างของนักเขียนในอุดมคติ ผู้ซึ่งอุทิศวันเวลาของชีวิตให้กับงานเขียนอย่างเคร่งครัด ไม่มีสีสันอื่นใดให้ฉันจดจำได้อีกมากนัก แม้กระทั่งวันที่เขาหมดลมหายใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันจำได้เพียงว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์...