นายยืนยง
พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง
“รากเหง้าของเราเอง” ที่กวีสร้างกระแสขึ้นมาในยุคนี้นั้น เป็นรากเหง้าที่กล่าวได้ว่า ไม่ใช่รากเหง้าที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนยุคก่อนอีกต่อไปแล้ว เพราะรากเหง้าเคยถูกเราหยามเหยียดว่าไร้สาระ ไร้อารยธรรมและไม่ทันสมัย เนื่องมาจากอิทธิพลของจักรวรรดิอเมริกา แนวคิดอย่างโลกตะวันตก และลัทธิทุนนิยมที่กล่อมเกลาเราให้ดูชาญฉลาดขึ้นกว่าเดิม แต่ “รากเหง้าของเราเอง” ได้เกิดการผสมผสานเป็นโลกทัศน์ใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะตัวหรือในเชิงปัจเจกมากขึ้น มีการสร้างสรรค์ลีลา ท่วงทำนองของกวีนิพนธ์ขึ้นใหม่อย่างหลากหลาย มีการกล่าวถึงปรัชญาทั้งตะวันตก ปรัชญาตะวันออก หรือปรัชญาตะวันตกที่โน้มมาสู่ตะวันออก อย่างกว้างขวางจนน่าทึ่ง
ในส่วนของผู้อ่าน การจะเข้าถึงกวีนิพนธ์ในแง่ที่เป็นสุนทรียรสของกวีนิพนธ์หรือเข้าถึงปรัชญาที่กวีนิพนธ์พูดถึงนั้น เป็นเรื่องที่ผู้อ่านน่าจะให้ความสนใจ เพื่อปกป้องตัวเองจากการตกหลุมพรางของกวี จากอาการลุ่มหลงงมงายปรัชญาจนกลายเป็นผู้อ่านแสนเฟอะฟะแห่งยุคสมัยไป
ดังนั้น จะเป็นการดีไหมถ้าหากเราจะมาดูกันว่า กวีนิพนธ์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพื่อนำมันร่วมพิจารณากับ “สาร” ซึ่งก็คือ ปรัชญาต่าง ๆ ที่กวีนิพนธ์พูดถึง
การเกิดขึ้นของกวีนิพนธ์ ในที่นี้ขอตั้งสมมุติฐานไว้ 2 ข้อ ดังนี้
1.กวีรู้สึกเป็นมโนภาพ คือ ความรู้สึก นึก คิด จินตนาการของกวี เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นโดยไร้ถ้อยคำหรือภาษา เป็นความอิ่มเอมชั่ววูบหนึ่งที่ซ่านซึ้งใจ ซึ่งกวีต้องการสื่อสารไปถึงผู้อ่าน ด้วยการพรรณนาผ่านภาษากวีออกมา เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ทางอารมณ์ของกวี
ข้อนี้ถือเป็นวิวัฒนาการทางภาษา เป็นการแตกหน่อเติบโตทางภาษา กล่าวคือ เมื่อพบสภาวะอย่างใหม่อันหนึ่งแล้วต้องการถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด จำเป็นต้องมีการสร้างคำขึ้นมาใช้ใหม่ สร้างสำนวนโวหาร มีการเปรียบเทียบเปรียบเปรย และเมื่อมีการพบสภาวะอย่างใหม่ขึ้นอีก สำนวนโวหารอย่างเดิมกลับใช้ไม่ได้ ต้องมีการสร้างขึ้นใหม่อีกเรื่อยไป เช่นนี้ เราจึงต้องขอบคุณกวีที่ได้สร้างสรรค์ถ้อยคำภาษาให้เราได้ใช้กันอย่างถึงใจ
กวีเป็นดั่งคลังของถ้อยคำทีเดียว
2.กวีรู้สึกเป็นภาษา คือ กวีรู้สึก นึก คิดหรือจินตนาการเป็นภาษา ต้องแยกเป็น 2 ข้อย่อยกันอีก คือ
- คิดออกมาตามกลไกของภาษา เหมือนอย่างที่เราคุ้นเคยกับคำว่า “กลอนพาไป” คือ กวีจะรู้สึก จะคิดอะไรสะระตะไปตามความหมายของภาษาที่ถูกใช้กันอย่างคุ้นเคยในสังคม การเกิดขึ้นของกวีนิพนธ์แบบนี้ ไม่ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์อะไรมากมาย เพราะกวีจะไม่สามารถคิดอะไรใหม่ ๆ ภายใต้กลไกของภาษาที่อยู่ภายใต้บริบททางสังคม เช่น ถ้าเรารู้สึกถึงความทุกข์ที่เป็นคำว่า “ทุกข์” มาก่อน ถ้อยคำที่เกี่ยวกับ “ทุกข์” ก็จะถูกสมองดึงออกมาใช้งานเพื่ออธิบาย “ทุกข์” ของเราหรือเพื่อปรุงแต่งทุกข์ของเรา แน่นอนว่า ถ้าระบบคิดของเราเป็นไปตามกลไกของภาษาตามความเคยชิน เราก็จะได้ถ้อยคำที่มีทั้งเป็นไปทางเดียวกันกับ “ทุกข์” เช่น เศร้า โศก น้ำตา เลือด ความตาย หรือไปในทางตรงข้าม เช่น สุข พอใจ ดีใจ
เรียกว่า ให้ภาษาเป็นตัวชี้นำความคิด ความรู้สึก จินตนาการของเรา
- คิดออกมารวดเดียวพร้อมกับภาษาเป็นอัตโนมัติ โดยเฉพาะกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ กวีจะคิดออกมาเป็นกลอน เป็นกาพย์ โคลง หรือในกลอนเปล่า ที่ไร้ฉันทลักษณ์เป็นตัวกำหนด ก็สามารถคิดออกมารวดเดียวได้เช่นกัน ซึ่งข้อนี้เห็นว่ากวีต้องมีการฝึกปรือจนชำนาญทั้งเรื่องของการใช้ภาษาและมุมมองที่แจ่มชัด
หากจะอธิบายเป็นขั้นตอน อาจกล่าวได้ว่า เป็นความลงตัวพอดีระหว่างอารมณ์ ภาษา เหมือนการที่เราไปมองเห็น สัมผัสกับจุดสัมผัสนั้นได้พอดี สภาวะดังกล่าวจึงถูกถ่ายทอดมาพร้อมกัน สมมุติว่าถ้า
(1) คือ ความรู้สึกที่ไหลเวียนอยู่ และ (2) คือฉันทลักษณ์ที่ไหลเวียนอยู่ ถ้า(1)กับ(2) เคลื่อนไหลมาสัมผัสกัน ณ จุดหนึ่ง แล้วกวีไปมองเห็นจุดสัมผัสนั้น การถ่ายทอดจึงเป็นรวบเป็นขั้นตอนเดียวอย่างสมบูรณ์ในตัวเอง
จากสมมุติฐานข้างต้น เราน่าจะลองกล่าวถึง “สาร” ที่กวีต้องการถ่ายทอดสู่ผู้อ่าน ว่าเป็น “สาร” ที่ถือกำเนิดขึ้นจากมโนภาพหรือจากโครงสร้างทางภาษา เพื่อจะสรุปว่า กวีนิพนธ์ที่กวีเขียนขึ้นจากมโนภาพกับจากโครงสร้างทางภาษา มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง หลังจากนั้น เราอาจจะมองเห็นชัดขึ้นว่า
กวีนิพนธ์แนวพุทธธรรมควรจะถูกอ่านแบบไหน ระหว่างการอ่านที่ยึดอิงกับหลักพุทธธรรม กับแบบที่อ่านเอาสุนทรียรสของกวีนิพนธ์
เมื่อลองย้อนกลับไปอ่านกวีนิพนธ์แนวพุทธธรรมในอดีต เราจะเห็นท่าทีแบบเทศนาอย่างตรงไปตรงมา หรือในรูปของสุภาษิต คำพังเพย แต่ในปัจจุบันกวีนิพนธ์ไม่อาจใช้วิธีการเทศนาแบบตรงไปตรงมาเช่นอดีตได้อีกแล้ว
หากยกหลักการเกิดปัญญาตามหลักธรรม พระพุทธเจ้าทรงแบ่งปัญญาออกเป็น 3 ระดับ
1.จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการคิด
2.สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการเรียน
3.ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการหยั่งรู้ ซึ่งปัญญาในระดับนี้เกิดจากการหยั่งรู้ได้ด้วยตนเอง มิอาจบอกกล่าวแก่กันได้ ต้องทดลองค้นพบด้วยตนเองเท่านั้น
นอกจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้ทรงแบ่งความรู้ออกเป็น 2 อย่าง คือ
1.ความรู้แบบมีเหตุมีผลทางตรรกศาสตร์ หรือวิธีคิดเป็นเส้นตรง
2.ความรู้แบบหยั่งรู้ คือ เกิดจากการเข้าถึงความเป็นจริงโดยไม่ต้องคิด เพียงแต่ไปขยายกำลังของสติสัมปชัญญะ เมื่อสติมีกำลังเข้มแข็งขึ้น การหยั่งรู้จึงเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
จะเห็นได้ว่าหลักการของพระพุทธเจ้าในการจะเกิดความรู้และปัญญานั้น ในระดับสูงสุดล้วนเป็นการหยั่งรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่วิธีการรู้ด้วยการบอกกล่าว ซึ่งหากกวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรมต้องการส่งสารแห่งการหยั่งรู้ไปสู่ผู้อ่าน กวีนิพนธ์จะเป็นอะไรได้?
น่าสังเกตอีกไหมว่า สภาวะของการหยั่งรู้นั้นเป็นบ่อเกิดของปัญญา ซึ่งกวีเองก็ต้องมีสภาวะเฉียบพลันดังกล่าวในการที่จะสร้างสรรค์กวีนิพนธ์เช่นเดียวกัน ต่างแต่ว่า พระพุทธเจ้าบอกว่าสภาวะของการหยั่งรู้นั้นถ่ายทอดกันไม่ได้ แต่สำหรับกวี สภาวะหยั่งรู้ต้องมีการถ่ายทอดออกมา จึงจะมีบทกวีเกิดขึ้น
ฉะนั้นปลายทางของการหยั่งรู้ในทางพุทธ กับในทางกวีนิพนธ์ จึงเป็นไปในทางตรงกันข้าม ซึ่งไม่ได้หมายความว่า การอธิบายถึงสภาวะการหยั่งรู้ในกวีนิพนธ์เป็นเรื่องไม่ถูก
นอกจากนั้น กวีนิพนธ์ที่เกิดขึ้นจากการที่กวีรู้สึกเป็นภาษา คิดออกมาตามกลไกของภาษา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ยิ่งจะไม่สามารถถ่ายทอดสภาวะของการหยั่งรู้ในหลักพุทธธรรมได้เลย เพราะกวีไม่ได้เกิดมีสภาวะหยั่งรู้ขึ้นก่อน ก็เท่ากับว่า กวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรมก็เป็นได้เพียง “คำกลอน” เล่าเรื่องพระไตรปิฎก
นั่นคือเรื่องของ “สาร” แต่หากเราจะมาดูกันในแง่ของ “การสื่อสาร” กวีนิพนธ์ยังสื่อสารผ่านภาษา ต้องผ่านการตีความโดยตัวกวีอีกด้วย ฉะนั้น หากกวีเป็นผู้สื่อสารแห่งพุทธธรรมตามพระไตรปิฏกแล้ว กระบวนการดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการนำพุทธชาดกมาเล่าใหม่ผ่านบริบทของสังคมปัจจุบันเท่านั้นหรือ หรือแม้แต่การนำศัพท์แสงทางพุทธธรรมต่าง ๆ มาตีความ อธิบายเพื่อสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมนั้น ก็เท่ากับว่า กวีนิพนธ์ก็อาจจะเป็นเพียงภาษาของการขยายความตามพระไตรปิฎกเท่านั้น
ขณะที่พระไตรปิฎกยังเป็นฉบับเดิม คือเป็นการเทศนาแบบตรงไปตรงมา แต่กวีนิพนธ์กลับไม่อาจเทศนาแบบนั้นได้ ดังนั้นพุทธธรรมที่ถูกพูดผ่านกวีนิพนธ์ จึงเป็นพุทธธรรมที่ถูกตีความโดยตัวกวี ซึ่งเหมือนกับการตีความผ่านนักเขียนแนวธรรมทั้งหลาย ทำให้ “สาร” ที่ได้ไม่มีความแตกต่างจากหนังสือแนวธรรมะที่วางขายอยู่เต็มตลาด จะมีก็แต่ความประทับใจแรกที่อาจเป็นแค่ภาพลวงตาหรือหลุมพรางเท่านั้นเอง
การถ่ายทอดพุทธธรรมที่ผ่านการตีความและถ่ายทอดในแบบของกวีนิพนธ์โดยกวีนั้น หากมีข้อคลาดเคลื่อน
นอกจากนี้ การปรากฏขึ้นของ “ใบหน้ากวี” ตามสื่อต่าง ๆ สู่สาธารณชน อาจทำให้ดูเป็นเหมือนเป็นการแสดงตัวที่ให้ความรู้สึกขรึมขลังศักดิ์สิทธิ์แก่บทกวี
และที่สำคัญ ผู้อ่านจะไม่สามารถอ่านแบบที่ยึดอิงกับหลักพุทธธรรมได้ เพราะกวีไม่ได้เกิดสภาวะการหยั่งรู้ขึ้นก่อน หรือถึงแม้นว่า กวีจะเกิดสภาวะการหยั่งรู้ขึ้นก่อน ในทางพุทธก็ไม่สามารถถ่ายทอดสู่กันได้อีกด้วย
ดังนั้นกวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรม จึงเป็นเพียงเปลือกนอกที่สร้างขึ้นจากกลไกของภาษาเท่านั้น และผู้อ่านก็ไม่ควรตกหลุมพรางของกวีที่ได้สร้างความประทับใจแรกด้วยการเอา “ป้าย” พุทธธรรมมาติดโชว์ในกวีนิพนธ์
สำหรับผู้อ่าน เราควรอ่านพุทธธรรมด้วยวิธีการเรียนรู้ของพุทธธรรม ที่มีลำดับขั้นตอนสุดท้ายเป็นการหยั่งรู้ด้วยตนเอง แต่เราควรอ่านกวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรมเพื่อเสพเอาสุนทรียรสทางภาษามากกว่า นอกจากนี้กวีนิพนธ์ที่อธิบายถึงสภาวะการหยั่งรู้ได้หมดจด ก็ยังมีให้อ่านอีกมากมาย โดยไม่ต้องหลงยึดกับหลุมพรางใด ๆ
เพราะหากกวีต้องการให้กวีนิพนธ์ไปใช้ประโยชน์อื่นนอกเหนือจากสุนทรียรสแล้ว กวีนิพนธ์ต้องสร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาให้สำเร็จ ถ้ามัวหลงจำแลงภาพที่งดงามเกินกว่าที่เป็นจริง ไร้กฎเกณฑ์เกินกว่าที่เป็นจริง และลื่นไหลเกินกว่าที่เป็นจริงแล้ว พุทธธรรมในกวีนิพนธ์ก็เป็นเพียงเครื่องมือไร้ประสิทธิภาพที่กวีหลับหูหลับตาหยิบฉวยมาใช้งานเท่านั้นเอง.