Skip to main content

นายยืนยง

 

ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner

ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่

ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ

ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ..2548

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing


เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน


กระทั่งได้พบกับโศกนาฏกรรมอันยาวเหยียดดังคาดไว้ อะไรเล่าจะกินใจผู้คนได้เท่ากับโศกนาฏกรรม.. โดยเฉพาะกับเด็กเก็บว่าวเล่มนี้ ที่ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ได้บอกแก่เราผู้อ่านว่า โศกนาฏกรรมนั้นเยียวยาให้ดีได้แม้นมันจะไม่สามารถหวนคืนมาได้เหมือนเดิมทุกประการ แต่มันก็ “ดี” ได้ เขาว่างั้น


แล้วไอ้ส่วนที่ “ดี” นั้นหมายความว่าอย่างไรหรือ ก่อนอื่นมาดูเรื่องราวคร่าว ๆ กันสักเล็กน้อย เพื่อจะกล่าวกันถึงเค้าโครงของเรื่องที่สะท้อนออกให้เห็น “ขดเชือก” ที่ถักทอขึ้นจากสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ว่าแท้แล้วใครเป็น “ลูกรัก” และ “ลูกรักมากกว่า” ระหว่าง “ลูกที่ศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลน” กับ “ลูกที่ศรัทธาพระองค์เมื่อไร้ที่พึ่งอย่างแท้จริง”


ที่ปกหลังทางสำนักพิมพ์โปรยเรื่องแบบย่นย่อไว้ดังนี้ ขอยกมาเฉพาะเนื้อเรื่องย่อ

อาเมียร์ และ ฮัสซาน คือเด็กชายในเมืองคาบูลที่ได้รับการเลี้ยงดูขึ้นมาในบ้านหลังเดียวกันและดูดดื่มน้ำนมจากอกแม่นมคนเดียวกัน หากแต่เติบโตขึ้นมาด้วยโอกาสและสถานะที่แทบจะพูดได้ว่า อยู่กับคนละโลก อาเมียร์ คือบุตรชายของผู้มีอันจะกิน แต่ฮัสซาน คือลูกบ่าวชาวฮาซาราที่น่าเย้ยหยันด้วยหน้าตาและชาติกำเนิด ต่างเพียงแต่ว่าความน่าเย้นหยันที่ปรากฎเป็นร่างของฮัสซานมิอาจลดคุณค่าความสัตย์ซื่อแห่งความเป็นเพื่อนและความเป็นบ่าวที่เขามีต่อเมียร์ได้ ขณะที่ความมั่งคั่งของอาเมียร์กลับบิดเบือนคุณค่าแห่งความสัตย์ซื่อนั้นด้วยการเพิกเฉยปล่อยให้ฮัสซานเผชิญกับการถูกรังแกจากกลุ่มอันธพาลที่รุมข่มขืน พร้อมทั้งหยิบยื่นความผิดในฐานะขโมยให้กับฮัสซานกระทั่งถูกไล่ออกจากบ้านของตนไปทั้งพ่อและลูก (จริง ๆ ไม่ได้ถูกไล่ออก แต่ฮัสซานกับอาลี – ผู้เป็นพ่อ ได้ขอออกจากบ้านไปเอง แม้พ่อของอาเมียร์เจ้าของบ้านจะเหนี่ยวรั้งไว้เพียงไร)


นั่นคือจุดเริ่มเรื่อง ต่อมา เมื่อสงครามเริ่ม โซเวียตบุกยึดอัฟกานิสถาน อาเมียร์กับพ่อได้อพยพไปอยู่อเมริกาและสร้างชีวิตใหม่ที่นั่น ขณะฮัสซานกับอาลียังคงอยู่ สุดท้ายสงครามก็พรากพวกเขาไป เหลือเพียงเด็กชายซอหรับ ลูกชายของฮัสซาน ที่ตกระกำลำบากอยู่ในคาบูลดินแดนที่กลุ่มตาลีบันสวมบทบาทพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว


ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ได้สร้างบาดแผลฉกรรจ์ในใจของอาเมียร์ชนิดที่ไม่มีวันลืมเลือนไปได้ โดยให้ฮัสซาน เพื่อนผู้เปรียบเสมือนทาสผู้ซื่อสัตย์ต่อเขาดุจพระเจ้า ยังเหนี่ยวรั้งความสัตย์ซื่อของเขาจวนวาระสุดท้าย


ฮัสซานถูกทหารตาลีบันยิงทิ้งหน้าบ้านของอาเมียร์เนื่องจากเขาพยายามรักษา “บ้าน” ซึ่งก็คือ สัญลักษณ์แทนสัมพันธภาพระหว่างเขากับอาเมียร์ นั่นเอง ขณะอาเมียร์ในภาคผู้ใหญ่ได้พยายามถ่ายบาปที่เขาได้กระทำต่ออัสซานผู้ซื่อสัตย์ โดยการตามหาซอหรับลูกชายฮัสซานเพื่อนำเด็กกำพร้าคนนั้นกลับไปอุปการะที่อเมริกา อาเมียร์ชำระล้างจิตสำนึกตัวเองการยอมเจ็บตัวปางตายเพื่อให้ได้ตัวซอหรับกลับไปด้วย


นี่เป็นเค้าโครงเรื่องที่ฮาเหล็ด ผู้เขียนได้ผูกปมไว้ภายใต้บรรยากาศของสงครามและความสูญเสีย

เหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ นานาผุดขึ้นเป็นระยะตลอดเส้นทางโศกนาฏกรรมอันยาวเหยียดนี้


ความเลวร้ายไร้มนุษยธรรมในนามสงครามที่เริ่มตั้งแต่ ชาวพาชทูน มุสลิมนิกายสุหนี่ได้เข้ามากดขี่รุกรานชนพื้นเมืองชาวฮาซารา มุสลิมนิยายชีอะห์ เจ้าของเดิมแห่งอัฟกานิสถาน (อาเมียร์เป็นชาวพาชทูน ส่วนฮัสซานเป็นชาวฮาซารา) จากนั้นดินแดนนี้ก็ถูกรุกรานโดยโซเวียด ต่อด้วยกลุ่มสัมพันธมิตร ตบท้ายด้วยกลุ่มตาลีบัน ซึ่งล้วนเป็นสงครามในนามความเป็นอื่นอันเป็นฉากหลังของนวนิยายเรื่องนี้


ขณะเดียวกัน สงครามที่กินเลือดกินเนื้อพวกเขาอยู่ทุกขณะจิตคือ สงครามระหว่างพวกเดียวกันเอง และมีอาวุธชนิดเดียวนั่นคือ การทรยศ


ฮาเหล็ดได้ผูกปมเชือกไว้รอการคลี่คลายเป็นจังหวะหลายปม หากจะจัดแยกออกมาจากโครงสร้างของเรื่องจะเห็นได้ชัดเจนดังนี้


เริ่มจากอาเมียร์ เด็กชายใจน้อยที่โหยหาความรักจากพ่อ เขาเข้าใจว่าพ่อเกลียดเขาเพราะเขาเป็นผู้พรากแม่ไปจากพ่อ (เมื่อเกิดมา แม่ก็ตาย) เขาอิจฉาฮัสซานที่เก่งกว่าหลายเรื่องจนเป็นที่ชื่นชมของพ่อเสมอ จึงพยายาม “เขี่ย” ฮัสซาน ออกไปจากสัมพันธภาพระหว่างพ่อลูก ด้วยการทรยศ คือ ไม่ยอมเข้าไปช่วยฮัสซานตอนที่เขาถูกรุมข่มขืนเพราะฮัสซานต้องการรักษา “ว่าว” ที่เป็นของอาเมียร์ไว้ และได้สร้างเรื่องให้ฮัสซานเป็นขโมย เป็นอันว่าเขากำจัดฮัสซานออกไปจากชีวิตด้วยหวังว่าเขาจะลืมเรื่องทั้งหมดลงและเป็นสุขขึ้นมาได้


ขณะเดียวกันความลับหนึ่งที่เขาไม่เคยล่วงรู้คือ ฮัสซานก็เป็นลูกชายของพ่อเหมือนกับเขานั่นเอง

เรื่องมีอยู่ว่า อาลีพ่อของฮัสซานนั้นเติบโตมาพร้อมกับพ่อของอาเมียร์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนต่างวรรณะเหมือนเขากับฮัสซาน แต่พ่ออาเมียร์กลับทรยศอาลีได้ลงคอ เขาร่วมหลับนอนกับเมียของอาลี จนกระทั่งนางตั้งท้องฮัสซานขึ้น และเก็บเรื่องไว้เป็นความลับแม้กระทั่งอาเมียร์กับฮัสซาน แต่ความซื่อสัตย์ของอาลีไม่เคยเปลี่ยนแปลง สุดท้ายความทรยศได้สืบทอดมาจนถึงรุ่นลูก


ที่สำคัญกว่าปมทั้งหลายเหล่านี้ คือ เชือก ที่ฮาเหล็ดใช้ขมวดและคลี่คลายนั่นเอง เชือกที่ว่านั้นเป็นเส้นวัสดุที่ถักทอขึ้นจากสัมพันธภาพแบบพระเจ้ากับลูกของพระองค์นั่นเอง


เราสามารถแบ่งกลุ่ม “ลูกที่เชื่อมั่นในพระเจ้า” กับ “ลูกที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ”

จากตัวละครเห็นได้ชัดว่า ฮาเหล็ดจัดแบ่งให้กลุ่มคนผู้มีอันจะกินที่เป็นชาวพาชทูนได้แก่ พ่อและอาเมียร์ให้เป็นกลุ่มที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สองพ่อลูกไม่เคยทำละหมาด ยกเว้นแต่ตอนที่อาเมียร์ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาท่องบทสวดกระท่อนกระแท่น แต่พระองค์ก็ยื่นหัตถ์มาช่วยเขาจนได้


ส่วนอาลีและฮัสซาน สองพ่อลูกชาวฮาซารา กลุ่มชนชาติต่ำต้อยไร้ค่าน่ารังเกียจที่ทำละหมาดอย่างเคร่งครัด เป็นกลุ่มที่เชื่อมั่นในพระเจ้าอย่างเหนียวแน่น กลับถูกทรยศจากผู้ที่เขาสยบยอมด้วยความรักและศรัทธาอย่างซื่อสัตย์ นั่นคือ พ่อและอาเมียร์เจ้านายของพวกเขา และต้องจบชีวิตลงอย่างน่ารันทดท่ามกลางความร้ายกาจนานาประการ


ครั้นมาดูสัมพันธภาพระหว่างคนสองกลุ่มนี้

อาลีกับฮัสซานสองพ่อลูกที่จงรักภักดีต่อพ่อกับอาเมียร์เจ้านาย ซึ่งนับได้ว่าเป็นระดับความสัมพันธ์เทียบเท่ากับที่เขามีต่อพระเจ้าก็ว่าได้ เห็นชัดจากคำของฮัสซานที่ว่า “สำหรับคุณ กว่านี้อีกพันเท่าก็ยังไหว” และจากความเสียสละ ความขมขื่นที่อาลีกับฮัสซานจำกล้ำกลืนเพื่อเจ้านายผู้ที่รักและศรัทธายิ่ง


เช่นนั้นแล้ว คำว่ามิตรภาพ ดูจะตื้นเกินไปเมื่อจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองกลุ่มนี้ แม้ฮาเหล็ดจะสร้างเหตุการณ์ให้ตัวละครอย่างฮัสซานกับอาลีได้แสดงอานุภาพของมันไว้ตลอดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการยอมเสียสละหลายครั้งของฮัสซานกระทั่งก่อให้เกิดบาดแผลลึกในใจของอาเมียร์


ฉะนั้นแล้วนวนิยายเรื่องนี้จึงไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเสริมสร้างสายใยแห่งมิตรภาพเท่านั้น หากแต่ ฮาเหล็ดได้กล่าวถึงสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ที่แปรสภาพมาอยู่ในรูปของความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อกับลูก โดยอาศัย “ความทรยศ” เหมือนอย่างที่ อาดัมกับอีฟ เคยทรยศ คือ ไม่รักษาสัญญากับพระเจ้าว่าจะไม่แตะต้องผลไม้ในสวนอีเดน โดยกินแอ๊ปเปิลผลไม้ต้องห้าม หรืออีกนัยหนึ่ง ฮาเหล็ดอาจกำลังกล่าวว่า มิตรภาพ คือ ความงดงามที่ทรงคุณค่าเทียบเท่ากับศรัทธาในพระเจ้า


แต่เขาไม่ได้หยุดแค่นั้น ฮาเหล็ดยังพยายามสมานแผลหรือเยียวยา “หัวใจ” ของผู้ทรยศและเคยทรยศทั้งหลาย โดยการยึดหลักคำสอนทางศาสนาด้วยการ ถ่ายบาป เช่นเดียวกับที่พ่อของอาเมียร์คอยให้ความช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากทั้งหลายอยู่เสมอ และเช่นเดียวกับที่อาเมียร์ต้องดั้นด้นค้นหาซอหรับลูกชายของฮัสซานเพื่อถ่ายบาปที่เขาได้ก่อไว้กับฮัสซานผู้ซื่อสัตย์ เพื่อบรรเทาความรู้สึกผิดที่ขดตัวเป็นก้อนน้ำหนักอันหาที่เปรียบไม่ได้ในจิตสำนึกของตัวเอง และเพื่ออะไรอีกเล่า...


ฉันอ่านนวนิยายเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกเรียบ ๆ แม้จะตระหนกตกใจไปกับความเลวร้ายระยำตำบอนของสงครามที่มนุษย์กระทำกับมนุษย์ด้วยกันเองอยู่บ้าง และออกจะแปลกใจที่นวนิยายเรื่องนี้ขายดีในสังคมอเมริกันเหลือเกิน แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะหากนำบริบทแวดล้อมมาร่วมวิเคราะห์ เราอาจมองได้ชัดขึ้นว่า ในสังคมบริโภคนิยมที่ปลาใหญ่กระเดือกปลาเล็กอย่างชอบธรรม และไม่ว่าเราจะมีบาดแผลในใจ มากน้อยต่างกันหรือไม่ และไม่ว่าการถ่ายบาปจะสร้างความ “ดี” ขึ้นให้ได้ “โล่งใจ” ได้มากมายอย่างไร ฉันก็เชื่อว่า การถ่ายบาป ไม่สามารถ “ถ่าย” เวรกรรมอันเกิดจากการกระทำชั่วช้าของเรา ที่ทำต่อผู้อื่นออกมาได้เลย ในเมื่อสีดำได้ป้ายลงไปแล้ว ไม่ว่าจะพยายามล้างให้ขาวขึ้นอย่างไร คราบเข้มของมันก็ยังฝังอยู่ไม่รู้คลาย ฉันขอภาวนาว่า การถ่ายบาปอย่างตื้นเขินที่บังเกิดขึ้นในสังคมบริโภคโคตรนิยมแห่งนี้ จะไม่กลายเป็นวัฒนธรรมที่พ่วงเอาคุณค่าทางศีลธรรมไปเป็นยี่ห้อปะหน้า กระทั่งกลายเป็นความมักง่ายและข้ออ้างให้เราก่อบาปขึ้นได้ง่ายกว่าเดิม เพราะบาปแก้ได้ด้วยการ “ถ่าย” ใช่หรือไม่


และแม้นอาเมียร์จะพาซอหรับมาใช้ชีวิตในดินแดนแห่งความหวังอย่างอเมริกาได้สำเร็จ และแม้นจะเป็น อาเมียร์เองที่ใช้คำพูดของฮัสซานในอดีต เพื่อแสดงออกให้ตัวเองประจักษ์ว่าบาปที่เขาได้ก่อขึ้นนั้นกำลังจะกลายเป็น “ดี” โดยการยอมเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อซอหรับ ดังเช่นฮัสซานเคยปฏิบัติต่อเขาว่า

สำหรับเธอ กว่านี้อีกพันเท่าก็ยังไหว”

แต่สำหรับฉัน กว่านี้อีกพันหรือจะเรียกให้ทุกอย่างกลับคืนมา.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…