Skip to main content
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ


ได้เรียนฟรีกันไปแล้วล่ะเยาวชนไทยของเรา ฟรีตั้ง 4 รายการทีเดียวเชียว แต่เรียนฟรีก็ไม่ได้มีความหมายครอบคลุมไปถึงคุณภาพของการศึกษา ได้แต่ภาวนาให้คุณครูทั้งหลายตั้งสติสัมปชัญญะในการสอนนักเรียนของครูด้วย อย่าให้คำว่า "ฟรี ๆ " เข้ามาชอนไชความตั้งมั่นของครูเลย และผู้ปกครองเองก็อย่าได้หลงระเริงว่า การศึกษาของเด็กไทยได้ไปโลดแล้ว เพราะรัฐบาลมองเห็นความสำคัญของการศึกษาจากนโยบายฟรี ๆ นี้ การศึกษาของลูกหลานเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำราเรียน เครื่องแบบ และอุปกรณ์การเรียน แต่ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนเป็นปัจจัยสำคัญด้วย

 

ได้ข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ ว่ามีการเสนอให้ปรับโครงการหลักสูตรวิชาสังคมศึกษา เพื่อให้มีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์อย่างเข้มข้นในทุกระดับชั้น ทั้งประถมและมัธยม เขาตั้งเป้าให้นักเรียนได้เรียนประวัติศาสตร์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง ใครมีลูกหลานกำลังเรียนแล้วเคยได้อ่านดูตำรับตำราเรียนของเด็ก ๆ คงแอบบ่นกันว่า จะให้เด็กเรียนอะไรนักหนา เนื้อหาเยอะขนาดนี้ ใครมันจะไปจำได้หมด โดยเฉพาะวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (แค่ชื่อวิชาก็เขียนจนเมื่อยมือแล้ว) อีกหนึ่งวิชาที่ได้อ่านดูแล้วต้องบอกว่า "ยาก" คือ ภาษาไทย

 

มาดูก่อนว่าเขาปรับโครงสร้างหลักสูตรวิชาสังคมกันอย่างไร

กลุ่มสาระสังคมศึกษาฯ มี 5 สาระวิชา คือ

-ศีลธรรม

-หน้าที่พลเมือง

-ภูมิศาสตร์

-ประวัติศาสตร์

-เศรษฐศาสตร์


ตามหลักสูตรเดิมเรียนสังคมฯ ดังนี้

ประถม เดิมปีละ 80 ชั่วโมง เพิ่มเป็น 120 ชั่วโมง แยกเป็นวิชาประวัติศาสตร์ 40 ชั่วโมง ส่วน 4 สาระวิชาที่เหลือนั้น เป็นปีละ 80 ชั่วโมง เป็นอันว่าต้องเรียนประวัติศาสตร์คิดเป็น 1 ใน 3 ของเวลาเรียนวิชาสังคมศึกษาทั้งหมด

 

ม.ต้น ( 3 ปี ) เดิมเรียน 360 ชั่วโมง เฉลี่ยปีละ 120 ชั่วโมง เพิ่มเป็น 480 ชั่วโมง เฉลี่ยปีละ 160 ชั่วโมง

แยกเป็นวิชาประวัติศาสตร์ 3 ปี 120 ชั่วโมง เฉลี่ยปีละ 40 ชั่วโมง สาระวิชาที่เหลือ 3 ปี 360 ชั่วโมง เฉลี่ยปีละ 120 ชั่วโมง เป็นอันว่าต้องเรียนประวัติศาสตร์คิดเป็น 1 ใน 4 ของเวลาเรียนวิชาสังคมศึกษาทั้งหมด

 

ม.ปลาย (3 ปี) เพิ่มเป็น 320 ชั่วโมง แยกเป็นวิชาประวัติศาสตร์ 3 ปี 80 ชั่วโมง เป็นอันว่าต้องเรียนประวัติศาสตร์คิดเป็น 1 ใน 4 ของเวลาเรียนวิชาสังคมศึกษาทั้งหมด

 

โครงการนี้จะนำไปใช้กับโรงเรียนนำร่อง จำนวน 555 โรงเรียน ในปีการศึกษา 2552 นี้ และเริ่มใช้ทั่วประเทศในปีการศึกษา 2553 งานนี้ใครเป็นไม้เบื่อไม้เมากับวิชาประวัติศาสตร์คงต้องกล้ำกลืนเรียนกัน ถ้าทำใจให้รักมันไม่ได้ ก็ต้องตกนรกไปจนกว่าจะจบม.6



หากมองในแง่ดีที่เยาวชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์มากขึ้นก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดี โดยเฉพาะเด็กประถมที่ต้องเรียนประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติไทย ฉันอ่านดูแล้ว เด็กประถมปลายได้เรียนเรื่องพัฒนาการการตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย โดยเริ่มตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ไม่เท่านั้น เนื้อหาที่ว่าด้วยแคว้นโบราณ เมืองโบราณในลุ่มน้ำต่าง ๆ ก็มีให้เรียนเยอะแยะมโหฬาร อาจถึงขั้นถ้าจะให้เด็กเรียนหมดมีหวังสมองปลิ้นแน่ เพราะนี่แค่สาระวิชาเดียว

 

เคยถามคุณครูว่าทำไมเนื้อหาในหนังสือจึงมหาศาลปานนี้ ครูทำหน้าเหมือนอยากตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน แต่ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นครู จึงพยายามให้เหตุผลและอธิบายว่า การที่แบ่งระดับนักเรียนเป็นช่วงชั้น เช่น ประถม 1 - 3 เป็นช่วงชั้นที่ 1 ประถม 4 - 6 เป็นช่วงชั้นที่ 2 และตำราเรียนของเด็กป.4 กับ ป. 6 จะไม่เหลื่อมล้ำกันมากนัก เขาเน้นให้เด็กเรียนเยอะ และเน้นให้เรียนซ้ำ ๆ จะได้ผลการเรียนที่น่าพอใจกว่าเรียนจากเรื่องง่ายไปหาเรื่องยาก คือ เด็กป. 4 จะได้คล้ายป. 6 แต่จะเรียนซ้ำ ๆ ไปจนกว่าจะถึง ป. 6 พอถึงตอนนั้น ความรู้จะได้แน่นขึ้น ครูว่าอย่างงั้น... ซึ่งหากเปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงเรียนกับเนื้อหาในแต่ละสาระวิชานั้น จะได้เห็นว่าเนื้อหาออกจะมากเกินไป ทำให้ครูจำเป็นต้องสอนแบบย่นย่อ หรือยัดอัดเนื้อหาภายในเวลาเรียนจำกัด จนบางครั้งต้องตัดทอนเนื้อหาออกบ้าง ไม่อย่างนั้นจะสอนไม่ทัน อันนี้คิดแบบไม่นับเอาเวลาที่ครูต้องเสียไปกับการทำผลงานเสนอขอเลื่อนขั้นวิทยฐานะใดใดทั้งสิ้น ซึ่งครูทุกคนต้องหวานอมขมกลืนกันมาตลอด คนที่น่าเห็นใจไม่ใช่ครูอย่างเดียว แต่รวมถึงนักเรียนด้วย เรียนหนักกันขนาดนี้แล้ว บางคนต้องไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมอีก และได้โปรดอย่าพูดถึงผลการทดสอบระดับนานาชาติที่เปิดเผยกันออกมาว่า เด็กไทยไม่ฉลาดอย่างที่หวังไว้ เพราะทำคะแนนแบบทดสอบได้ไม่ดี

 

ไม่ทราบว่าคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเคยเห็นปัญหาเหล่านี้หรือเปล่า ยิ่งเฉพาะจะเพิ่มชั่วโมงเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ยังไม่ได้กล่าวถึงวิชาภาษาไทยด้วยซ้ำ ใครมีลูกมีหลานเรียนประถม ลองเปิดดูตำราเรียนวิชานี้ดูบ้างเถอะ วิชาเดียวมีตำรา 3 เล่ม ประกอบด้วย ภาษาพาที วรรณคดีลำนำ และแบบฝึกหัดทักษะภาษา บางโรงเรียนอยากให้นักเรียนฉลาดกว่านักเรียนโรงเรียนอื่น ก็สามารถจัดหนังสือเรียนเพิ่มได้ (กระทรวงไม่บังคับ) โดยให้เรียนอีก 2 เล่ม คือ วรรณกรรมปฏิสัมพันธ์ และแบบฝึกหัดทักษะปฏิสัมพันธ์ แต่ละเล่มอย่างงี้เนื้อหาแน่นเอี้ยด อย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ เองยังถือว่าหนักหนาเอาการ



ตำราเรียนภาษาไทยเหล่านี้ ชื่อชุดว่า ภาษาเพื่อชีวิต ซึ่งมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ธัญญา สังขพันธานนท์ เป็นประธานกรรมการจัดทำ ใครที่แปลกใจกับชื่อชุดตำราเรียน พอเห็นชื่อประธานจัดทำต้องร้องอ๋อ เพราะเขาคือ ไพฑูรย์ ธัญญา นักเขียนซีไรต์ จากผลงานรวมเรื่องสั้น ก่อกองทราย วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เนื้อหาจะเน้นหนักด้านวรรณกรรม มีภาพประกอบสีสันสวยงาม ดู ๆ แล้วน่าหยิบจับมาอ่านจริง ๆ

 

ในเล่ม ภาษาพาที เนื้อหาเขียนขึ้นในรูปของเรื่องเล่าบ้าง เรื่องสั้นบ้าง มีตัวละครเด็ก ผู้ใหญ่ เป็นครอบครัวคนชั้นกลางที่อบอุ่น จะเรียกว่าเป็นครอบครัวในฝันก็ได้ ตำราเขียนเป็นร้อยแก้วก็จริง แต่มีแทรกด้วยบทร้อยกรองบ้าง และที่น่าชื่นชมคือ เนื้อหาไม่ใช่วิชาภาษาไทยล้วน ๆ แต่เป็นการรวบรวมเอาสาขาวิชาอื่นมาผสมผสานด้วย

 

เช่น บทที่ 1 ขนมไทยไร้เทียมทาน ตำราเรียนประถม 4 ที่ว่าด้วยขนมไทย มีการสอนแบบแฝงให้นักเรียนได้เรียนรู้ในหลักภาษาไทย การเขียน การอ่าน และสามารถจำแนะถึงที่มาที่ไปของขนมแต่ละชนิดว่าทำมาจากแป้งอะไร มีกรรมวิธีทำอย่างไรบทที่ 4 นอกจากนั้นยังเป็นการกระตุ้นให้เด็กได้เห็นคุณค่า "ของไทย ๆ " ไปในตัว บางคนอาจเห็นว่า เป็นตำราเรียนที่ไม่เข้าสมัย เพราะเด็กทุกวันนี้แทบจะไม่เหลียวหาขนมตาล ขนมเทียนอย่างไทย ๆ แต่อย่างใด แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การได้เรียนรู้ในสิ่งที่หลงลืมไปแล้ว ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดความสนใจใคร่รู้ได้โดยธรรมชาติ



หรืออย่างในบทอื่น ๆ เช่นบทธรรมชาตินี้มีคุณ ก็ช่วยปลูกฝังให้รักธรรมชาติ บทกระดาษนี้มีที่มา ก็เพิ่มเกร็ดของวิชาประวัติศาสตร์ โดยให้เนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมาของกระดาษ และเป็นการเตือนให้รู้จักคุณค่าของกระดาษ เหล่านี้ล้วนเป็นข้อดีที่ได้จากตำราเรียนที่เขียนขึ้นในรูปแบบวรรณกรรม ติอย่างเดียวคือปริมาณเนื้อหาไม่สอดคล้องกับจำนวนเวลาเรียนเท่านั้นเอง

 

ส่วนเล่ม วรรณคดีลำนำ นี่ เน้นหนักไปทางวรรณคดีตามชื่อเล่ม แน่นอนว่าต้องเขียนในแบบวรรณกรรมด้วย แต่พิเศษตรงที่ เป็นการนำเอารูปแบบร้อยแก้วกับร้อยกรองมาผสมผสานกันได้แนบเนียน นับว่าน่าอ่านมาก เพราะใครก็ตามที่ได้ยินคำว่า วรรณคดี ย่อมรู้สึกขั้นแรกว่า ต้องเชย หรืออ่านแล้วหลับ แต่เมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่างตัวละครในปัจจุบันกับตัวละครในวรรณคดี ย่อมมีแรงดึงดูดระหว่างผู้เรียนกับตำราในขณะอ่านหรือเรียน

 

ยกตัวอย่างบท การผจญภัยของสุดสาคร ที่ตัดเอาวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่ ในตอนกำเนิดสุดสาคร มาบวกเข้ากับการใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณีของเด็กหญิงตังหวาย ซึ่งหนังสือนั้น ตังหวายได้รับรางวัลมาจากการแต่งคำกลอนประกวดในวันสุนทรภู่

 

นอกจากไม่ได้จำกัดสาระวิชาให้อยู่ในขอบข่ายภาษาไทยอย่างเดียวแล้ว ข้อดีของตำราเรียนชุด ภาษาเพื่อชีวิต นี้ ยังให้ความสำคัญกับเด็ก ๆ ในทุกภาคส่วน ไม่ใช่มีภาคกลางเป็นศูนย์กลางเหมือนอย่างแต่ก่อน เช่นในบทที่ 4 เรื่องเล่าจากพัทลุง ที่นำเอาบทละครเรื่องเงาะอป่า ที่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ หรือในบทที่ 7 เที่ยวเมืองพระร่วง ที่แทรกเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์เข้ากับวรรณคดี มีตัวละครเอกของเรื่องเป็นมัคคุเทศก์น้อย ชื่อ โอยทาน นำเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสุโขทัย

 

ต้องยอมรับว่าตำราเรียนชุดนี้เขียนขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเนื้อหาและรูปเล่ม เป็นตำราเรียนคุณภาพที่เหมาะสมกับเยาวชนไทยอย่างยิ่งก็ว่าได้ หากว่ามีเวลาเรียนที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องย้ำอีกครั้งว่ามหาศาลเหลือเกิน

 

นอกจากปัญหาเรื่องเวลาเรียนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตัวครูผู้สอน เพราะตำราเรียนชุดนี้ ต้องการครูที่เข้าใจเนื้อหาสามารถถ่ายทอดอรรถประโยชน์แก่ผู้เรียน เพราะตำราไม่ได้เน้นให้ท่องจำ แต่เน้นให้ปฏิบัติและคิดวิเคราะห์ให้เป็นรูปแบบ ฝึกมองให้เห็นโครงสร้าง และกระตุ้นให้เกิดจินตนาการ เพราะฉะนั้นการตอบคำถามจากแบบฝึกหัด จะไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว เด็กสามารถตอบคำถามได้อย่างหลากหลายตามทัศนคติของแต่ละคน บางทีทางออกของการศึกษาไทยวันนี้ จะไม่ใช่โนบายเรียนฟรีอย่างเดียว เพราะปัญญาเดิมที่แก้ไม่ตกคือ ตัวบุคลากร ครูผู้สอน

 

ถ้าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ อยากเห็นเยาวชนไทยได้ศึกษาอย่างมีคุณภาพก็อย่าละเลยปัญหาของครู อย่าได้ส่งเสริมหรือหลอกล่อให้ครูผลาญเวลาไปกับการทำผลงานทางการศึกษาที่จะกลายเป็นเศษกระดาษในอนาคตเมื่อได้เลื่อนขั้นเพิ่มเงินเดือนอีกเลย ไม่อย่างนั้น คงต้องถามกันละว่า เด็กไทยเรียนกับ "อะไร" อยู่.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
  นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ ผู้เขียน               :           อ.ก. ร่งแสง (โพยม โรจนวิภาต)ประเภท              :           สารคดีประวัติศาสตร์          พิมพ์ครั้งที่ 2  พ.ศ.…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ฝรั่งคลั่งผี ผู้เขียน : ไมเคิล ไรท จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก : กรกฎาคม 2550 อ่าน ฝรั่งคลั่งผี ของ ไมเคิล ไรท จบ ฉันลิงโลดเป็นพิเศษ รีบนำมา “เล่าสู่กันฟัง” ทันที จะว่าร้อนวิชาเกินไปหรือก็ไม่ทราบ โปรดให้อภัยฉันเถิด ในเมื่อเขาเขียนดี จะตัดใจได้ลงคอเชียวหรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เด็กบินได้ ผู้เขียน : ศรีดาวเรือง ประเภท : นวนิยายขนาดสั้น พิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2532 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์กำแพง มาอีกแล้ว วรรณกรรมเพื่อชีวิต เขียนถึงบ่อยเหลือเกิน ชื่นชม ตำหนิติเตียนกันไม่เว้นวาย นี่ฉันจะจมอยู่กับปลักเพื่อชีวิตไปอีกกี่ทศวรรษ อันที่จริง เพื่อชีวิต ไม่ใช่ “ปลัก” ในความหมายที่เราชอบกล่าวถึงในแง่ของการย่ำวนอยู่ที่เดิมแบบไร้วัฒนาการไม่ใช่หรือ เพื่อชีวิตเองก็เติบโตมาพร้อมพัฒนาการทางสังคม ปลิดขั้วมาจากวรรณกรรมศักดินาชน เรื่องรักฉันท์หนุ่มสาว เรื่องบันเทิงเริงรมย์…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : คนซื้อฝัน ผู้เขียน : ศุภร บุนนาค ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 2 กรกฎาคม 2537 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย ตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะอ่านหนังสือของนักเขียนไทยให้มากกว่าเดิม ฉันดำเนินการแล้วล่ะ อ่านแล้ว อิ่มเอมกับอรรถรสแบบที่หาจากวรรณกรรมแปลไม่ได้ หาจากภาษาของนักเขียนไทยรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยจะได้ จนรู้สึกไปว่า คุณค่าของภาษาได้แกว่งไกวไปกับกาละด้วย
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เพลงกล่อมผี ผู้เขียน : นากิบ มาห์ฟูซ ผู้แปล : แคน สังคีต จาก Wedding Song ภาษาอังกฤษโดย โอลีฟ อี เคนนี ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2534 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์รวมทรรศน์ หนาวลมเหมันต์แห่งพุทธศักราช 2552 เยียบเย็นยิ่งกว่า ผ้าผวยดูไร้ตัวตนไปเลยเมื่อเจอะเข้ากับลมหนาวขณะมกราคมสั่นเทิ้มด้วยคน ฉันขดตัวอยู่ในห้องหลบลมลอดช่องตึกอันทารุณ อ่านหนังสือเก่า ๆ ที่อุดม ไรฝุ่นยั่วอาการภูมิแพ้ โรคประจำศตวรรษที่ใครก็มีประสบการณ์ร่วม อ่านเพลงกล่อมผีของนากิบ มาห์ฟูซ ที่แคน สังคีต ฝากสำนวนแปลไว้อย่างเฟื่องฟุ้งเลยทีเดียว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง สวัสดีปี 2552 ขอสรรพสิ่งแห่งสุนทรียะจงจรรโลงหัวใจท่านผู้อ่านประดุจลมเช้าอันอ่อนหวานที่เชยผ่านเข้ามา คำพรคงไม่ล่าเกินไปใช่ไหม ตลอดเวลาที่เขียนบทความใน สวนหนังสือ แห่ง ประชาไท นี้ ความตื่นรู้ ตื่นต่อผัสสะทางวรรณกรรม ปลุกเร้าให้ฉันออกเสาะหาหนังสือที่มีแรงดึงดูดมาอ่าน และเขียนถึง ขณะเดียวกันหนังสืออันท้าทายเหล่านั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้วาวโรจน์ขึ้นกับหัวใจอันมักจะห่อเหี่ยวของฉัน
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : เงาสีขาวผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทองประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน น้ำเน่าในคลองต่อให้เน่าเหม็นปานใดย่อมระเหยกลายเป็นไออยู่นั่นเอง แต่การระเหิด ไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนกับการระเหย  ระเหย คือ การกลายเป็นไอ จากสถานภาพของของเหลวเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นก๊าซระเหิด คือ การเปลี่ยนสถานภาพเป็นก๊าซโดยตรงจากของแข็งเป็นก๊าซ โดยไม่ต้องพักเปลี่ยนเป็นสถานภาพของเหลวก่อน ต่างจากการระเหย แต่เหมือนตรงที่ทั้งสองกระบวนการมีปลายทางอยู่ที่สถานภาพของก๊าซสอดคล้องกับความน่าเกลียดที่ระเหิดกลายเป็นไอแห่งความงามได้
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : เงาสีขาว ผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทอง ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน ปกติฉันไม่นอนดึกหากไม่จำเป็น และหากจำเป็นก็เนื่องมาจากหนังสือบางเล่มที่อ่านค้างอยู่ มันเป็นเวรกรรมอย่างหนึ่งที่ดุนหลังฉันให้หยิบ เงาสีขาว ขึ้นมาอ่าน เวรกรรมแท้ ๆ เชียว เราไม่น่าพบกันอีกเลย คุณแดนอรัญ แสงทอง ฉันควรรู้จักเขาจาก เรื่องสั้นขนาดยาวนาม อสรพิษ และ นวนิยายสุดโรแมนติกในนามของ เจ้าการะเกด เท่านั้น แต่กับเงาสีขาว มันทำให้ซาบซึ้งว่า กระบือย่อมเป็นกระบืออยู่วันยังค่ำ (เขาชอบประโยคนี้นะ เพราะมันปรากฏอยู่ในหนังสือของเขาตั้งหลายครั้ง)…
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร   ผลงานของนักเขียนไทยในแนวของเมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ หรือสัจนิยมมายา ที่ได้กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ซึ่งจะนำมาเขียนถึงต่อไป เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อเปรียบเทียบระหว่างงานที่แท้กับงานเสแสร้ง เผื่อว่าจะถึงคราวจำเป็นจะต้องเลือกที่รักมักที่ชัง แม้นรู้ดีว่าข้อเขียนนี้เป็นเพียงรสนิยมส่วนบุคคล แต่ฉันคิดว่าบางทีรสนิยมก็น่าจะได้รับคำอธิบายด้วยหลักการได้เช่นเดียวกัน…
สวนหนังสือ
เมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือที่แปลเป็นไทยว่า สัจนิยมมายา หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ เป็นแนวการเขียนที่นักเขียนไทยนำมาใช้ในงานเรื่องสั้น นวนิยายกันมากขึ้น ไม่เว้นในกวีนิพนธ์ โดยส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจมาจาก ผลงานของกาเบรียล การ์เซีย มาเกซ ซึ่งมาเกซเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก ฮวน รุลโฟ (ฆวน รุลโฟ) จากผลงานนวนิยายเรื่อง เปโดร ปาราโม อีกทอดหนึ่ง เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์วรรณกรรมแนวนี้ถูกตัดตอน ขอกล่าวถึงต้นธารของงานสกุลนี้สักเล็กน้อย กล่าวถึงฮวน รุลโฟ ซึ่งจริงๆ แล้วควรเขียนเป็นภาษาไทยว่า ฆวน รุลโฟ ทำให้หวนระลึกถึงผลงานแปลฉบับของ ราอูล ที่ฉันตกระกำลำบากในการอ่านอย่างแสนสาหัส…
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครนA SHORT HISTORY OF TRACTORS IN UKRAINIAN ผู้เขียน : MARINA LEWYCKA ผู้แปล : พรพิสุทธิ์ โอสถานนท์ ประเภท : นวนิยายแปล พิมพ์ครั้งแรก สิงหาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน และแล้วฉันก็ได้อ่านมัน ไอ้เจ้าแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เมียงมองอยู่นานสองนานแล้วได้สมใจซะที ซึ่งก็สมใจจริงแท้แน่นอนเพราะได้อ่านรวดเดียวจบ (แบบต่อเนื่องยาวนาน) จบแบบสังขารบอบช้ำเมื่อต่อมขำทำงานหนัก ลามไปถึงปอดที่ถูกเขย่าครั้งแล้วครั้งเล่า ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เป็นนวนิยายสมัยใหม่ที่ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่ดึงดูดแบบยุคทุนนิยมเสรี…