Skip to main content

นายยืนยง

 

 

 


 

ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ

ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์

ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร

 



ผลงานของนักเขียนไทยในแนวของเมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ หรือสัจนิยมมายา ที่ได้กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ซึ่งจะนำมาเขียนถึงต่อไป เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อเปรียบเทียบระหว่างงานที่แท้กับงานเสแสร้ง เผื่อว่าจะถึงคราวจำเป็นจะต้องเลือกที่รักมักที่ชัง แม้นรู้ดีว่าข้อเขียนนี้เป็นเพียงรสนิยมส่วนบุคคล แต่ฉันคิดว่าบางทีรสนิยมก็น่าจะได้รับคำอธิบายด้วยหลักการได้เช่นเดียวกัน


เหมือนจะเป็นการออกตัวตามมารยาทเท่านั้น การเสแสร้งใด ๆ ฉันคิดว่าผู้อ่านเท่านั้นจะตัดสินได้


คราวที่แล้วยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกผลงานของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์หรือ แดนอรัญ แสงทอง มาเขียนถึงก่อน แต่ตอนนี้หยิบ นิทานประเทศ ของกนกพงศ์ มาอ่านอีกแล้ว ส่วนเงาสีขาว ทำหน้าบึ้งตึงอยู่บนโต๊ะ ด้วยความหนาเตอะ และคำนำของหนังสือเงาสีขาว ที่ทำเอาฉันขนหัวลุก ใครที่เส้นศีลธรรมเปราะบางอาจขว้างทิ้งก็เป็นได้ เนื่องจากแดนอรัญ แสงทอง เขียนคำนำอันยาวเหยียด ดุเดือดเลือดพล่าน โดยใช้คำประเภท มึง ๆ กู ๆ ออกอารมณ์ขำขันชวนสยอง อีกอย่าง..ไม่รู้เป็นอะไร พักนี้ใจมันหวิวชอบกล จึงต้องพักงานเขียนประเภทหนักหน่วงไว้ก่อน นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว นัยว่าไม่อยากเสพพาราเซตามอลแทนเค้กปีใหม่


เข้าเรื่องนิทานประเทศของนักเขียนผู้ล่วงลับกันดีกว่า


นิทานประเทศเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นขนาดยาวจำนวน 11 เรื่อง อันได้แก่

ชาวบ้านป่า บ้านเมืองของเขา คนขายโรตีจากศรีลังกา บ้านเคยอยู่ (เพื่อชีวิต) หมูขี้พร้า เพื่อนบ้าน สมชายชาญ (เรื่องนี้ขำสุด ๆ ) กลางป่าลึก เสียงนาฬิกา ธรรมชาติของการตาย น้ำตก (2547)


รูปลักษณ์ของหนังสือเล่มนี้ ด้วยภาพปก (ฝีมือ ปริทรรศ หุตางกูร) และประกอบภายในเรื่อง (ฝีมือ ผศ.แฉล้ม สถานพร) สีสัน รวมแล้วถือได้ว่าเป็นผลงานที่เรียกได้ว่าเป็นแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ ได้ทันที นั่นเป็นกลิ่นแรกที่สัมผัสได้ด้วยตา และเมื่ออ่านเนื้อเรื่องฉันก็พบว่า สัจนิยมมหัศจรรย์ ไม่ใช่หัวใจของ นิทานประเทศ เล่มนี้หรอก หากแต่กลิ่นอายที่ตำนาน เรื่องเล่าของบรรพบุรุษซึ่งได้ฝังรากหยัดอยู่ในวิถีชีวิตของชุมชน ซึ่งเป็นดั่งมรดกตกทอด กำลังถูกรุกรานโดยอำนาจของทุนนิยม และการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เป็นกลิ่นอายที่อวลอลในแบบเมจิกคัลฯ


แน่นอนว่า ทุนนิยมและการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่กนกพงศ์ใช้ รถแบ็คโฮ นากุ้ง เลื่อยไฟฟ้า เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทน ล้วนตกเป็นจำเลยที่หนึ่ง ในข้อหาฆาตกรรมวิถีชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษ อันนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม และโศกนาฏกรรมทำนองนี้ก็คล้ายจะเป็นเพียงตำนานแห่งวรรณกรรมสไตล์เพื่อชีวิตไปเสียแล้ว


นิทานประเทศเล่มนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น งานศิลปะแนวเมจิกคัลเรียลลิสม์ได้เต็มหัวใจก็ด้วยเหตุผลทางศีลธรรมนั่นเอง โดยศีลธรรมที่เป็นหลักเกณฑ์ซึ่งกดทับอยู่ในวรรณกรรมสไตล์เพื่อชีวิตก็คือ การกดขี่ของนายทุน (ทุนนิยม) การรุกรานวิถีชีวิตของชาวบ้าน คนจน ผู้ด้อยโอกาส ของ กระแสการพัฒนาเศรษฐกิจในนามของรัฐและนายทุน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และศีลธรรมข้อนี้เองที่เป็นหลักใหญ่ในความของวรรณกรรมแนวนี้


กล่าวโดยทั่วไปในวรรณกรรมหรืองานศิลปะนั้น

ตัวศีลธรรมนี่เองที่เป็นตัวปลุกเร้า กระตุ้นให้อารมณ์ผู้เสพเบี่ยงเบนออกไปจากความงามซึ่งเป็นเรื่องของสุนทรียรสที่แท้จริง เพราะความงามถือเป็นความสัมบูรณ์ในตัวเอง หาต้องมีปัจจัยอื่นเพื่อเป็นตัวแปรเร่งให้เข้าถึงความงามในนิยามอื่น


ความงามไม่ใช่ขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้มลทิน แต่อย่างเดียว หรือไม่ใช่ และโศกนาฏกรรมก็ย่อมจะนำ

สุนทรียรส มาสู่ผู้เสพได้ เว้นเสียแต่ว่า โศกนาฏกรรมนั้น ๆ ได้ถั่งเทไปในทางชี้ถูกต้อง ชี้ชั่วดี ผิดถูกแล้วล่ะก็ ถือเป็นข้อยกเว้น


สิ่งเดียวที่กีดกั้นผลงานของกนกพงศ์ออกไปจากงานศิลปะบริสูทธิ์ก็คือ แนวคิด หรือศีลธรรมของงานเขียนสไตล์เพื่อชีวิต ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่เขาจริงจัง เคร่งขรึม กับมันมากราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

ขณะเดียวกัน คำว่า “เพื่อชีวิต” ก็หาใช่อาชญากรแห่งโลกวรรณกรรมแต่อย่างใด

เพียงแต่ว่า นักเขียนแนวเพื่อชีวิตต้อง “ตาม” สังคมให้ทัน และก้าวข้ามมันไปให้ได้ เพื่อจะมองเห็นมันอย่างเที่ยงธรรม ฉันย้ำเสมอว่า แนวทางของเพื่อชีวิต ยังมีเส้นให้เดินอยู่อีกมาก ขออย่างเดียวนักเขียนต้องไม่พยายามยัดเยียดข้อหาให้จำเลย ซึ่งแน่นอนคือ ไอ้ทุนนิยมสามานย์ หรือไอ้นายทุนหน้าเลือด อย่างมักง่าย และต้องไม่พยายามชื่นชม บูชา วิถีชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษแบบไม่ลืมหูลืมตาด้วย


ดังนั้น หากกนกพงศ์จะฝ่าปราการของแนวเพื่อชีวิตออกมาสู่โลกของศิลปะอันโลดโผนได้ งานเขียนของเขาจะไม่ต้องการแม้แต่คำโฆษณาชวนเชื่อของสำนักพิมพ์นาครแต่อย่างใด เพราะเราต้องยอมรับว่า

กนกพงศ์เป็นคนฉลาด ในที่นี้หมายถึง มีหัวไว และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่ซ้ำ ย่ำอยู่กับที่ อันถือเป็นพลังวิเศษสุดที่นักเขียนพึงมี นอกจากนั้น เขายังอุดมด้วยวัตถุดิบที่สดสะพรั่ง ดั่งสวนผลไม้นานาพันธุ์ และวัตถุดิบในมือเขานั้น มันช่างวิเศษเหลือเกิน มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หากฉันเป็นนักเขียนอย่างกนกพงศ์ ฉันจะไม่หมดศรัทธาต่อชีวิตนักเขียน และจะไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก


กนกพงศ์เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่ฉันให้ความสำคัญต่อผลงานของเขาตลอดมา

เฝ้าสังเกตสังกา เฝ้าอ่านอย่างเพลิดเพลิน และบังเอิญกับนิสัยของวิพากษ์วิจารณ์ (อีกนัยหนึ่งเรียกว่าคอยจับผิด) จึงมองเห็นและกล้าพูดว่า

งานเขียนของกนกพงศ์จะสมบูรณ์ในตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเขายุติบทบาทในการตัดสินชะตากรรมของตัวละคร วางอำนาจนั้นไว้ในกำมือของผู้อ่านเสีย และฉันยังกล้าพูดอีกว่า ในบรรดานักเขียนปักษ์ใต้บ้านเรา เราจะฝากความหวังไว้ที่เขาได้โดยไม่ลังเล


จากนั้น เราก็รอคอยอ่านผลงานของเขาไปตามปกติสุขของเรา แต่ใครจะรู้ได้ว่า บางทีนักเขียนคนหนึ่งก็ตายจากเราไปง่าย ๆ ทั้งที่เขาน่าจะมีโอกาสทำงานเขียนของเขา (ความหวังของเรา)ต่อไปอีกนาน

ให้ตายเถอะ... เขาตายไปอย่างกับจะกลายเป็นตำนานอย่างนั้นแหละ นี่ฉันยังหัวเสียไม่หายเลย


จากเล่ม นิทานประเทศ นี้ กนกพงศ์ เขียนเรื่อง สมชายชาญ ได้สนุก มีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม ฉันถือเป็นเรื่องสั้นเล็ก ๆ ของพลพรรครักการพี้ ที่มีสุนทรียรสตลบอบอวล เป็นโศกนาฏกรรมของลิงเสน ที่ “แปรพักตร์กลายเป็นพวกผู้ชายสายน้ำไป” (ติดเหล้า) ในที่สุด สำนวนภาษาก็เหมาะเจาะลงตัว ไม่มีติดขัดอะไรแม้แต่น้อย ไม่เงื้อง่าราคาแพงให้สมกับเป็นงานเขียนอันทรงเกียรติแต่อย่างใด ราวกับเขาเป็นอิสระจากหลักการวรรณกรรมทั้งปวง แต่แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะเทศนาบทสรุปไว้ให้ อา...ศีลธรรมของวรรณกรรมสไตล์เพื่อชีวิต สุดท้ายก็คือบาปที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง เขาสรุปไว้ในหน้า 232 ว่า


หรือนี่จะเป็นกฎธรรมชาติอีกข้อที่ว่า เมื่อใดที่ชีวิตดิ้นรนไปเพื่อเป็นในสิ่งซึ่งไม่ใช่ตัวเอง ย่อมต้องประสบพบแต่โศกนาฏกรรม?... ผมไม่รู้หรอก ผมแค่คิดขึ้นมาเรื่อยเปื่อยตามประสาคนเมากัญชา ความจริงแล้วผมไม่รู้อะไรเลย


ศีลธรรมของเขา หรือ อาจเรียกว่า ความจริง ในทัศนคติของกนกพงศ์ คือ กฎข้อเดียวนี้หรือ?


นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่หยิบมาจากเรื่องสั้นขนาดไม่ยาวจากเล่มนี้ แต่สำหรับเรื่องสั้นขนาดยาวเรื่องอื่นล้วนมีข้อสังเกตคล้ายคลึงกันคือ การนำตำนาน เรื่องเล่า ที่อาจดูเป็นเรื่องไร้สาระ เหลวไหลในมุมมองของวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นบรรยากาศของเรื่อง ซึ่งเป็นวิธีของเมจิกคัลฯ นั่นเอง และก่อนจะลงรายละเอียดให้มากกว่านี้ ฉันเห็นว่าได้กล่าวถึงผลงานของกนกพงศ์ในด้านลบนิด ๆ มาพอสมควรแล้ว น่าจะหยิบยกมุมมองที่น่าชื่นชมมาอวดกันบ้าง


กนกพงศ์มีความเป็นนักเขียนมืออาชีพอยู่เต็มเปี่ยม คงไม่มีใครปฏิเสธหากดูจากปริมาณผลงานที่ออกมาอวดสายตาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ หรือความเรียง ดังนี้

1.ป่าน้ำค้าง ปี 2532 รวมบทกวีนิพนธ์

2.สะพานขาด ปี 2534 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 1 รางวัลสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2535

3.คนใบเลี้ยงเดี่ยว ปี 2535 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 2

4.แผ่นดินอื่น ปี 2539 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 3 รางวัลซีไรต์ ปี 2539

5.บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร ปี 2544 ความเรียบเชิงบันทึกทัศนะ

6.ยามเช้าของชีวิต ปี 2546 เรื่องเล่าเชิงบันทึกทัศนะ

7.โลกหมุนรอบตัวเอง ปี 2548 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 4

8.นิทานประเทศ ปี 2549 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 5

(ยกมาจากปกในหนังสือ)

นอกจากความต่อเนื่องของงานแล้ว ในเนื้องานโดยเฉพาะเรื่องสั้น ฉันได้มองเห็นเสน่ห์ของการเขียนหนังสือซึ่งเรื่องนี้จะหาได้ไม่ง่ายนัก และมักจะพบเจอแต่ในนักเขียนมืออาชีพเป็นส่วนใหญ่


เสน่ห์ที่ว่าคืออะไร

ฉันเองคงให้คำจำกัดความได้ไม่ดีนัก แต่จับเป็นห้วงความรู้สึกก็พอได้อยู่ นั่นคือ สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผุดขึ้นระหว่างบรรทัด และมันช่างมหัศจรรย์ ก่อนอื่นเราควรมาดูกระบวนการทำงานของนักเขียนกันก่อน


เมื่อเรื่องราวที่นักเขียนวาดเค้าโครงไว้ในสมองดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง ตอนนั้นเขาก็จะลงมือเขียน อย่างที่เขาชอบพูดกันว่า

เรื่องมันขังอยู่ในหัวมาเป็นปี ๆ พอเวลาเขียนก็ลื่นไหลปรี๊ดปร๊าดออกมา

และเมื่อลงมือเขียนไปตามลำดับสมองบัญชาการอย่างดื่มด่ำ นักเขียนก็จมอยู่ในโลกแห่งอรรถรสซึ่งเขาเป็นคนเสกสรรมันขึ้น ขณะเดียวกันเรื่องราวนั้นกลับมีอำนาจบงการให้เขาเขียนในสิ่งซึ่งอาจจะไม่เคยอยู่ในหัวสมองมาก่อน แต่มันกลับผุดมีชีวิตเป็นตัวอักษรออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจไว้ และอย่างน่าอัศจรรย์ มันช่างเป็นถ้อยคำวิเศษราวกับสรวงสวรรค์บันดาล ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเขียนได้ดีอย่างนี้ มันทำเอานักเขียนขนลุก หัวใจฟู


อารมณ์อย่างนี้แหละที่เรียกว่า ถูกจับมือเขียน และฉันได้พบกับมันในผลงานเล่มนี้ของกนกพงศ์


ในหน้า 246 เรื่อง กลางป่าลึก อันยาวเหยียดและปลุกเร้าอย่างยิ่ง เขาเขียนไว้ว่า

นิทาน-ที่สนิมไม่อาจกร่อนทำลาย

ไม่อยากอธิบายว่า ถ้อยคำนี้มันจะมหัศจรรย์ตรงไหน เพราะถ้าได้ลองหามาอ่าน คำว่าเสน่ห์ที่เราเข้าใจ ซาบซึ้งอาจจะไม่ใช่ประโยคเดียวกันก็เป็นได้


แต่สำหรับฉันรู้สึกได้เลยว่า ประโยคนี้ ถูกเขียนขึ้นด้วยตัวมันเอง มันอยู่เกินขอบเขตแห่งอำนาจของนักเขียน


อารมณ์รวม ๆ ของเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นอย่างฟายฟุ้ง กระจายเหมือนเมฆหมอกบนหุบเขา แต่กลับทรงพลังอำนาจ

มันทำเอาฉันซึ้ง และซึมไปเลย


อีกอย่างหนึ่ง

การเลือกใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 คือ ผม ในเรื่องสั้นส่วนของชุดนี้ ก็ไม่ควรลืมที่จะนำมากล่าวถึง

กนกพงศ์มีเจตนาหลายอย่างที่จำเพาะเจาะจง เป็นเหตุเป็นผล แต่ฉันกลับรู้สึกว่า มีเสียงแว่ว ๆ ของ

กนกพงศ์เหมือนจะพูดว่า เลิกหากินกับคนจนเสียทีเถิด เพื่อนนักเขียนเพื่อชีวิตทั้งหลาย


เนื่องจากเราคุ้นเคยกับคำว่า นักเขียนเป็นผู้สังเกตการณ์ แล้วหยิบจับประเด็นมาเขียน แต่กนกพงศ์ไม่ใช่อีกทั้งเขาพยายามจะบอกด้วยว่า เราควรให้เกียรติมนุษย์ที่เป็นต้นธารงานเขียนของเราให้มากกว่าที่เป็นอยู่ อย่าใช้คำว่า ผู้สังเกตการณ์อย่างมักง่าย ขณะเดียวกันเขาได้เลือกที่จะก้าวเข้าไปเป็นผู้ร่วมชะตากรรมกับตัวละครของเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อซึมซับ ร่วมรู้สึกและเพื่อจะถ่ายทอดออกมาให้หมดจด


อีกนัยหนึ่งอาจเป็นไปเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับทัศนะของเรื่องแต่ง เสริมพลังให้เรื่องแต่งนั้น ๆ มีคุณค่าราวกับเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงอย่างไร้ขัอครหา และเพื่อคลี่คลายบรรยากาศที่เรียกกันว่า ยัดเยียดปรัชญา สู่ผู้อ่าน


คงไม่จบง่าย ๆ เพราะยังคงมีนัยยะซ่อนแฝง ที่ถ้าเอามาเขียนให้หนำใจ หนังสือคงผุพังไปเลย ขณะเดียวกันถ้าเล่นกันเปรอะขนาดนั้น ฉันว่าควรมานั่งเขียนเรื่องสั้นเองดีกว่า แต่ก็อย่างว่า ประเด็นนี้ไม่เขียนถึงไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากมันเชื่อมโยงอยู่กับแนวการเขียนแบบเมจิกคัลเรียลลิสม์ที่ยกมาเป็นใหญ่


ขอเวลาไปอ่านทวนอีกนิดหนึ่ง ก็กลางค่ำกลางคืนจะให้อ่านผลงานของกนกพงศ์มันก็กระไรอยู่ไม่ใช่เหรอ.


บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
 
สวนหนังสือ
นายยืนยง   พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง
สวนหนังสือ
นายยืนยง บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน  และให้น้ำหนักเรื่อง “กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์”
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา                  Ageless Body, Timeless Mind เขียน : โชปรา ดีปัก แปล : เรืองชัย รักศรีอักษร พิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2551   แสนกว่าปีมาแล้วที่มนุษย์พัฒนากายภาพมาถึงขีดสุด ต่อนี้ไปการพัฒนาทางจิตจะต้องก้าวล้ำ มีหนังสือมากมายที่กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะทางจิต เพื่อให้อำนาจของจิตนั้นบันดาลถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต หนึ่งในนั้นมีหนังสือที่กล่าวอย่างจริงจังถึงอายุขัยของมนุษย์ ว่าด้วยกระบวนการรังสรรค์ชีวิตให้ยืนยาว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชีวประวัติของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นเพียงภาพร่างของนักเขียนในอุดมคติ ผู้ซึ่งอุทิศวันเวลาของชีวิตให้กับงานเขียนอย่างเคร่งครัด ไม่มีสีสันอื่นใดให้ฉันจดจำได้อีกมากนัก แม้กระทั่งวันที่เขาหมดลมหายใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันจำได้เพียงว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์...
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : แสงแรกของจักรวาล ผู้เขียน : นิวัต พุทธประสาท ประเภท : รวมเรื่องสั้น จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2551   ชื่อของนิวัต พุทธประสาท ปรากฎขึ้นในความประทับใจของฉันเมื่อหลายปีก่อน ในฐานะนักเขียนที่มีผลงานเรื่องสั้นสมัยใหม่ เหตุที่เรียกว่า เรื่องสั้นสมัยใหม่ เพราะเรื่องสั้นที่สร้างความประทับใจดังกล่าวมีเสียงชัดเจนบ่งบอกไว้ว่า นี่ไม่ใช่วรรณกรรมเพื่อชีวิต... เป็นเหตุผลที่มักง่ายที่สุดเลยว่าไหม
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : คนรักผู้โชคร้าย ผู้แต่ง : อัลแบร์โต โมราเวีย ผู้แปล : ธนพัฒน์ ประเภท : เรื่องสั้นแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2535  
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : คุณนายดัลโลเวย์ (Mrs. Dalloway) ผู้แต่ง : เวอร์จิเนีย วูล์ฟ ผู้แปล : ดลสิทธิ์ บางคมบาง ประเภท : นวนิยายแปล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ชมนาด พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2550
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : จำปาขาว ลาวหอม (ลาวใต้,ลาวเหนือ) ผู้แต่ง : รวงทอง จันดา ประเภท : สารคดี จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทางช้างเผือก พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2552 ยินดีต้อนรับสู่พุทธศักราช 2553 ถึงวันนี้อารมณ์ชื่นมื่นแบบงานฉลองปีใหม่ยังทอดอาลัยอยู่ อีกไม่ช้าคงค่อยจางหายไปเมื่อต้องกลับสู่ภาวะของการทำงาน
สวนหนังสือ
“อารมณ์เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง” อาจารย์ชา สุภัทโท ฝากข้อความสั้น กินใจ ไว้ในหนังสือธรรมะ ซึ่งข้อความว่าด้วยอารมณ์นี้ เป็นหนึ่งในหลายหัวข้อในหนังสือ “พระโพธิญาณเถร” ท่านอธิบายข้อความดังกล่าวในทำนองว่า “ถ้าเราวิ่งกับอารมณ์เสีย... ปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ จิต – ความมีอารมณ์เป็นอันเดียว คือ ความมีจิตต์แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว ได้แก่ สมาธิ ”
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ขบวนรถไฟสายตาสั้น ขึ้นชื่อว่า “วรรณกรรม” อาจเติมวงเล็บคล้องท้ายว่า “แนวสร้างสรรค์” เรามักได้ยินเสียงบ่นฮึมฮัม ๆ ในทำนอง วรรณกรรมขายไม่ออก ขายยาก ขาดทุน เป็นเสียงจากนักเขียนบ้าง บรรณาธิการบ้าง สำนักพิมพ์บ้าง ผสมงึมงำกัน เป็นเหมือนคลื่นคำบ่นอันเข้มข้นที่กังวานอยู่ในก้นบึ้งของตลาดหนังสือ แต่ก็ช่างเป็นคลื่นอันไร้พลังเสียจนราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สวนหนังสือ
  นายยืนยง     ชื่อหนังสือ : ช่อการะเกด 50 บรรณาธิการ : สุชาติ สวัสดิ์ศรี ประเภท : นิตยสารเรื่องสั้นและวรรณกรรมรายสามเดือน จัดพิมพ์โดย : สำนักช่างวรรณกรรม