นายยืนยง
ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ
ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549
จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร
ผลงานของนักเขียนไทยในแนวของเมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ หรือสัจนิยมมายา ที่ได้กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ซึ่งจะนำมาเขียนถึงต่อไป เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อเปรียบเทียบระหว่างงานที่แท้กับงานเสแสร้ง เผื่อว่าจะถึงคราวจำเป็นจะต้องเลือกที่รักมักที่ชัง แม้นรู้ดีว่าข้อเขียนนี้เป็นเพียงรสนิยมส่วนบุคคล แต่ฉันคิดว่าบางทีรสนิยมก็น่าจะได้รับคำอธิบายด้วยหลักการได้เช่นเดียวกัน
เหมือนจะเป็นการออกตัวตามมารยาทเท่านั้น การเสแสร้งใด ๆ ฉันคิดว่าผู้อ่านเท่านั้นจะตัดสินได้
คราวที่แล้วยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกผลงานของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์หรือ แดนอรัญ แสงทอง มาเขียนถึงก่อน แต่ตอนนี้หยิบ นิทานประเทศ ของกนกพงศ์ มาอ่านอีกแล้ว ส่วนเงาสีขาว ทำหน้าบึ้งตึงอยู่บนโต๊ะ ด้วยความหนาเตอะ และคำนำของหนังสือเงาสีขาว ที่ทำเอาฉันขนหัวลุก ใครที่เส้นศีลธรรมเปราะบางอาจขว้างทิ้งก็เป็นได้ เนื่องจากแดนอรัญ แสงทอง เขียนคำนำอันยาวเหยียด ดุเดือดเลือดพล่าน โดยใช้คำประเภท มึง ๆ กู ๆ ออกอารมณ์ขำขันชวนสยอง อีกอย่าง..ไม่รู้เป็นอะไร พักนี้ใจมันหวิวชอบกล จึงต้องพักงานเขียนประเภทหนักหน่วงไว้ก่อน นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว นัยว่าไม่อยากเสพพาราเซตามอลแทนเค้กปีใหม่
เข้าเรื่องนิทานประเทศของนักเขียนผู้ล่วงลับกันดีกว่า
นิทานประเทศเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นขนาดยาวจำนวน 11 เรื่อง อันได้แก่
ชาวบ้านป่า บ้านเมืองของเขา คนขายโรตีจากศรีลังกา บ้านเคยอยู่ (เพื่อชีวิต) หมูขี้พร้า เพื่อนบ้าน สมชายชาญ (เรื่องนี้ขำสุด ๆ ) กลางป่าลึก เสียงนาฬิกา ธรรมชาติของการตาย น้ำตก (2547)
รูปลักษณ์ของหนังสือเล่มนี้ ด้วยภาพปก (ฝีมือ ปริทรรศ หุตางกูร) และประกอบภายในเรื่อง (ฝีมือ ผศ.แฉล้ม สถานพร) สีสัน รวมแล้วถือได้ว่าเป็นผลงานที่เรียกได้ว่าเป็นแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ ได้ทันที นั่นเป็นกลิ่นแรกที่สัมผัสได้ด้วยตา และเมื่ออ่านเนื้อเรื่องฉันก็พบว่า สัจนิยมมหัศจรรย์ ไม่ใช่หัวใจของ นิทานประเทศ เล่มนี้หรอก หากแต่กลิ่นอายที่ตำนาน เรื่องเล่าของบรรพบุรุษซึ่งได้ฝังรากหยัดอยู่ในวิถีชีวิตของชุมชน ซึ่งเป็นดั่งมรดกตกทอด กำลังถูกรุกรานโดยอำนาจของทุนนิยม และการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เป็นกลิ่นอายที่อวลอลในแบบเมจิกคัลฯ
แน่นอนว่า ทุนนิยมและการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่กนกพงศ์ใช้ รถแบ็คโฮ นากุ้ง เลื่อยไฟฟ้า เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทน ล้วนตกเป็นจำเลยที่หนึ่ง ในข้อหาฆาตกรรมวิถีชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษ อันนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม และโศกนาฏกรรมทำนองนี้ก็คล้ายจะเป็นเพียงตำนานแห่งวรรณกรรมสไตล์เพื่อชีวิตไปเสียแล้ว
นิทานประเทศเล่มนี้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น งานศิลปะแนวเมจิกคัลเรียลลิสม์ได้เต็มหัวใจก็ด้วยเหตุผลทางศีลธรรมนั่นเอง โดยศีลธรรมที่เป็นหลักเกณฑ์ซึ่งกดทับอยู่ในวรรณกรรมสไตล์เพื่อชีวิตก็คือ การกดขี่ของนายทุน (ทุนนิยม) การรุกรานวิถีชีวิตของชาวบ้าน คนจน ผู้ด้อยโอกาส ของ กระแสการพัฒนาเศรษฐกิจในนามของรัฐและนายทุน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และศีลธรรมข้อนี้เองที่เป็นหลักใหญ่ในความของวรรณกรรมแนวนี้
กล่าวโดยทั่วไปในวรรณกรรมหรืองานศิลปะนั้น
ตัวศีลธรรมนี่เองที่เป็นตัวปลุกเร้า กระตุ้นให้อารมณ์ผู้เสพเบี่ยงเบนออกไปจากความงามซึ่งเป็นเรื่องของสุนทรียรสที่แท้จริง เพราะความงามถือเป็นความสัมบูรณ์ในตัวเอง หาต้องมีปัจจัยอื่นเพื่อเป็นตัวแปรเร่งให้เข้าถึงความงามในนิยามอื่น
ความงามไม่ใช่ขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้มลทิน แต่อย่างเดียว หรือไม่ใช่ และโศกนาฏกรรมก็ย่อมจะนำ
สุนทรียรส มาสู่ผู้เสพได้ เว้นเสียแต่ว่า โศกนาฏกรรมนั้น ๆ ได้ถั่งเทไปในทางชี้ถูกต้อง ชี้ชั่วดี ผิดถูกแล้วล่ะก็ ถือเป็นข้อยกเว้น
สิ่งเดียวที่กีดกั้นผลงานของกนกพงศ์ออกไปจากงานศิลปะบริสูทธิ์ก็คือ แนวคิด หรือศีลธรรมของงานเขียนสไตล์เพื่อชีวิต ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่เขาจริงจัง เคร่งขรึม กับมันมากราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
ขณะเดียวกัน คำว่า “เพื่อชีวิต” ก็หาใช่อาชญากรแห่งโลกวรรณกรรมแต่อย่างใด
เพียงแต่ว่า นักเขียนแนวเพื่อชีวิตต้อง “ตาม” สังคมให้ทัน และก้าวข้ามมันไปให้ได้ เพื่อจะมองเห็นมันอย่างเที่ยงธรรม ฉันย้ำเสมอว่า แนวทางของเพื่อชีวิต ยังมีเส้นให้เดินอยู่อีกมาก ขออย่างเดียวนักเขียนต้องไม่พยายามยัดเยียดข้อหาให้จำเลย ซึ่งแน่นอนคือ ไอ้ทุนนิยมสามานย์ หรือไอ้นายทุนหน้าเลือด อย่างมักง่าย และต้องไม่พยายามชื่นชม บูชา วิถีชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษแบบไม่ลืมหูลืมตาด้วย
ดังนั้น หากกนกพงศ์จะฝ่าปราการของแนวเพื่อชีวิตออกมาสู่โลกของศิลปะอันโลดโผนได้ งานเขียนของเขาจะไม่ต้องการแม้แต่คำโฆษณาชวนเชื่อของสำนักพิมพ์นาครแต่อย่างใด เพราะเราต้องยอมรับว่า
กนกพงศ์เป็นคนฉลาด ในที่นี้หมายถึง มีหัวไว และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่ซ้ำ ย่ำอยู่กับที่ อันถือเป็นพลังวิเศษสุดที่นักเขียนพึงมี นอกจากนั้น เขายังอุดมด้วยวัตถุดิบที่สดสะพรั่ง ดั่งสวนผลไม้นานาพันธุ์ และวัตถุดิบในมือเขานั้น มันช่างวิเศษเหลือเกิน มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หากฉันเป็นนักเขียนอย่างกนกพงศ์ ฉันจะไม่หมดศรัทธาต่อชีวิตนักเขียน และจะไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก
กนกพงศ์เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่ฉันให้ความสำคัญต่อผลงานของเขาตลอดมา
เฝ้าสังเกตสังกา เฝ้าอ่านอย่างเพลิดเพลิน และบังเอิญกับนิสัยของวิพากษ์วิจารณ์ (อีกนัยหนึ่งเรียกว่าคอยจับผิด) จึงมองเห็นและกล้าพูดว่า
งานเขียนของกนกพงศ์จะสมบูรณ์ในตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเขายุติบทบาทในการตัดสินชะตากรรมของตัวละคร วางอำนาจนั้นไว้ในกำมือของผู้อ่านเสีย และฉันยังกล้าพูดอีกว่า ในบรรดานักเขียนปักษ์ใต้บ้านเรา เราจะฝากความหวังไว้ที่เขาได้โดยไม่ลังเล
จากนั้น เราก็รอคอยอ่านผลงานของเขาไปตามปกติสุขของเรา แต่ใครจะรู้ได้ว่า บางทีนักเขียนคนหนึ่งก็ตายจากเราไปง่าย ๆ ทั้งที่เขาน่าจะมีโอกาสทำงานเขียนของเขา (ความหวังของเรา)ต่อไปอีกนาน
ให้ตายเถอะ... เขาตายไปอย่างกับจะกลายเป็นตำนานอย่างนั้นแหละ นี่ฉันยังหัวเสียไม่หายเลย
จากเล่ม นิทานประเทศ นี้ กนกพงศ์ เขียนเรื่อง สมชายชาญ ได้สนุก มีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม ฉันถือเป็นเรื่องสั้นเล็ก ๆ ของพลพรรครักการพี้ ที่มีสุนทรียรสตลบอบอวล เป็นโศกนาฏกรรมของลิงเสน ที่ “แปรพักตร์กลายเป็นพวกผู้ชายสายน้ำไป” (ติดเหล้า) ในที่สุด สำนวนภาษาก็เหมาะเจาะลงตัว ไม่มีติดขัดอะไรแม้แต่น้อย ไม่เงื้อง่าราคาแพงให้สมกับเป็นงานเขียนอันทรงเกียรติแต่อย่างใด ราวกับเขาเป็นอิสระจากหลักการวรรณกรรมทั้งปวง แต่แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะเทศนาบทสรุปไว้ให้ อา...ศีลธรรมของวรรณกรรมสไตล์เพื่อชีวิต สุดท้ายก็คือบาปที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง เขาสรุปไว้ในหน้า 232 ว่า
หรือนี่จะเป็นกฎธรรมชาติอีกข้อที่ว่า เมื่อใดที่ชีวิตดิ้นรนไปเพื่อเป็นในสิ่งซึ่งไม่ใช่ตัวเอง ย่อมต้องประสบพบแต่โศกนาฏกรรม?... ผมไม่รู้หรอก ผมแค่คิดขึ้นมาเรื่อยเปื่อยตามประสาคนเมากัญชา ความจริงแล้วผมไม่รู้อะไรเลย
ศีลธรรมของเขา หรือ อาจเรียกว่า ความจริง ในทัศนคติของกนกพงศ์ คือ กฎข้อเดียวนี้หรือ?
นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่หยิบมาจากเรื่องสั้นขนาดไม่ยาวจากเล่มนี้ แต่สำหรับเรื่องสั้นขนาดยาวเรื่องอื่นล้วนมีข้อสังเกตคล้ายคลึงกันคือ การนำตำนาน เรื่องเล่า ที่อาจดูเป็นเรื่องไร้สาระ เหลวไหลในมุมมองของวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นบรรยากาศของเรื่อง ซึ่งเป็นวิธีของเมจิกคัลฯ นั่นเอง และก่อนจะลงรายละเอียดให้มากกว่านี้ ฉันเห็นว่าได้กล่าวถึงผลงานของกนกพงศ์ในด้านลบนิด ๆ มาพอสมควรแล้ว น่าจะหยิบยกมุมมองที่น่าชื่นชมมาอวดกันบ้าง
กนกพงศ์มีความเป็นนักเขียนมืออาชีพอยู่เต็มเปี่ยม คงไม่มีใครปฏิเสธหากดูจากปริมาณผลงานที่ออกมาอวดสายตาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ หรือความเรียง ดังนี้
1.ป่าน้ำค้าง ปี 2532 รวมบทกวีนิพนธ์
2.สะพานขาด ปี 2534 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 1 รางวัลสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2535
3.คนใบเลี้ยงเดี่ยว ปี 2535 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 2
4.แผ่นดินอื่น ปี 2539 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 3 รางวัลซีไรต์ ปี 2539
5.บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร ปี 2544 ความเรียบเชิงบันทึกทัศนะ
6.ยามเช้าของชีวิต ปี 2546 เรื่องเล่าเชิงบันทึกทัศนะ
7.โลกหมุนรอบตัวเอง ปี 2548 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 4
8.นิทานประเทศ ปี 2549 รวมเรื่องสั้นชุดที่ 5
(ยกมาจากปกในหนังสือ)
นอกจากความต่อเนื่องของงานแล้ว ในเนื้องานโดยเฉพาะเรื่องสั้น ฉันได้มองเห็นเสน่ห์ของการเขียนหนังสือซึ่งเรื่องนี้จะหาได้ไม่ง่ายนัก และมักจะพบเจอแต่ในนักเขียนมืออาชีพเป็นส่วนใหญ่
เสน่ห์ที่ว่าคืออะไร
ฉันเองคงให้คำจำกัดความได้ไม่ดีนัก แต่จับเป็นห้วงความรู้สึกก็พอได้อยู่ นั่นคือ สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผุดขึ้นระหว่างบรรทัด และมันช่างมหัศจรรย์ ก่อนอื่นเราควรมาดูกระบวนการทำงานของนักเขียนกันก่อน
เมื่อเรื่องราวที่นักเขียนวาดเค้าโครงไว้ในสมองดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง ตอนนั้นเขาก็จะลงมือเขียน อย่างที่เขาชอบพูดกันว่า
เรื่องมันขังอยู่ในหัวมาเป็นปี ๆ พอเวลาเขียนก็ลื่นไหลปรี๊ดปร๊าดออกมา
และเมื่อลงมือเขียนไปตามลำดับสมองบัญชาการอย่างดื่มด่ำ นักเขียนก็จมอยู่ในโลกแห่งอรรถรสซึ่งเขาเป็นคนเสกสรรมันขึ้น ขณะเดียวกันเรื่องราวนั้นกลับมีอำนาจบงการให้เขาเขียนในสิ่งซึ่งอาจจะไม่เคยอยู่ในหัวสมองมาก่อน แต่มันกลับผุดมีชีวิตเป็นตัวอักษรออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจไว้ และอย่างน่าอัศจรรย์ มันช่างเป็นถ้อยคำวิเศษราวกับสรวงสวรรค์บันดาล ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเขียนได้ดีอย่างนี้ มันทำเอานักเขียนขนลุก หัวใจฟู
อารมณ์อย่างนี้แหละที่เรียกว่า ถูกจับมือเขียน และฉันได้พบกับมันในผลงานเล่มนี้ของกนกพงศ์
ในหน้า 246 เรื่อง กลางป่าลึก อันยาวเหยียดและปลุกเร้าอย่างยิ่ง เขาเขียนไว้ว่า
นิทาน-ที่สนิมไม่อาจกร่อนทำลาย
ไม่อยากอธิบายว่า ถ้อยคำนี้มันจะมหัศจรรย์ตรงไหน เพราะถ้าได้ลองหามาอ่าน คำว่าเสน่ห์ที่เราเข้าใจ ซาบซึ้งอาจจะไม่ใช่ประโยคเดียวกันก็เป็นได้
แต่สำหรับฉันรู้สึกได้เลยว่า ประโยคนี้ ถูกเขียนขึ้นด้วยตัวมันเอง มันอยู่เกินขอบเขตแห่งอำนาจของนักเขียน
อารมณ์รวม ๆ ของเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นอย่างฟายฟุ้ง กระจายเหมือนเมฆหมอกบนหุบเขา แต่กลับทรงพลังอำนาจ
มันทำเอาฉันซึ้ง และซึมไปเลย
อีกอย่างหนึ่ง
การเลือกใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 คือ ผม ในเรื่องสั้นส่วนของชุดนี้ ก็ไม่ควรลืมที่จะนำมากล่าวถึง
กนกพงศ์มีเจตนาหลายอย่างที่จำเพาะเจาะจง เป็นเหตุเป็นผล แต่ฉันกลับรู้สึกว่า มีเสียงแว่ว ๆ ของ
กนกพงศ์เหมือนจะพูดว่า เลิกหากินกับคนจนเสียทีเถิด เพื่อนนักเขียนเพื่อชีวิตทั้งหลาย
เนื่องจากเราคุ้นเคยกับคำว่า นักเขียนเป็นผู้สังเกตการณ์ แล้วหยิบจับประเด็นมาเขียน แต่กนกพงศ์ไม่ใช่อีกทั้งเขาพยายามจะบอกด้วยว่า เราควรให้เกียรติมนุษย์ที่เป็นต้นธารงานเขียนของเราให้มากกว่าที่เป็นอยู่ อย่าใช้คำว่า ผู้สังเกตการณ์อย่างมักง่าย ขณะเดียวกันเขาได้เลือกที่จะก้าวเข้าไปเป็นผู้ร่วมชะตากรรมกับตัวละครของเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อซึมซับ ร่วมรู้สึกและเพื่อจะถ่ายทอดออกมาให้หมดจด
อีกนัยหนึ่งอาจเป็นไปเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับทัศนะของเรื่องแต่ง เสริมพลังให้เรื่องแต่งนั้น ๆ มีคุณค่าราวกับเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงอย่างไร้ขัอครหา และเพื่อคลี่คลายบรรยากาศที่เรียกกันว่า ยัดเยียดปรัชญา สู่ผู้อ่าน
คงไม่จบง่าย ๆ เพราะยังคงมีนัยยะซ่อนแฝง ที่ถ้าเอามาเขียนให้หนำใจ หนังสือคงผุพังไปเลย ขณะเดียวกันถ้าเล่นกันเปรอะขนาดนั้น ฉันว่าควรมานั่งเขียนเรื่องสั้นเองดีกว่า แต่ก็อย่างว่า ประเด็นนี้ไม่เขียนถึงไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากมันเชื่อมโยงอยู่กับแนวการเขียนแบบเมจิกคัลเรียลลิสม์ที่ยกมาเป็นใหญ่
ขอเวลาไปอ่านทวนอีกนิดหนึ่ง ก็กลางค่ำกลางคืนจะให้อ่านผลงานของกนกพงศ์มันก็กระไรอยู่ไม่ใช่เหรอ.