Skip to main content

นายยืนยง

ชื่อหนังสือ : ลับแล, แก่งคอย

ผู้แต่ง : อุทิศ เหมะมูล

ประเภท : นวนิยาย

จัดพิมพ์โดย : แพรวสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งแรก 2552


แม้นจะพยายามทำตัวเป็นคนหัวสมัยใหม่เพียงไร ฉันก็ยังไม่อาจสลัดพื้นฐานความคิดอย่างอนุรักษ์นิยมอยู่ เหมือนอยากจะหนีแต่ก็ไปไม่พ้นสักที

 

เช่นเดียวกันการ แสดงทัศนะเกี่ยวกับวรรณกรรมที่ผ่านมาโดยเฉพาะกับ นวนิยายเรื่อง ประเทศใต้ ที่ฉันตั้งใจ "ลบ" ตัวผู้แต่งหรือนักเขียนออกไปจาก "ตัวบท" วรรณกรรมเสีย เน้นความสำคัญถึงโครงสร้างของตัวบท รวมทั้งภาษาที่มีธรรมชาติเป็นอย่าง "สัญนิยม" (convention) ระหว่างผู้แต่งกับผู้อ่าน เรา "เข้าใจ" กันตามสัญญะที่ปรากฎขึ้นจากตัวบท

 

แต่ยิ่งต้องการ "ลบ" ผู้แต่งออกไปมากเพียงไร มันกลับยิ่งหลอกหลอน คอยตอกซ้ำย้ำเตือน คอยชำแรกลงมาเป็นระยะ อย่างไม่รู้จุดหมายปลายเหตุ เช่นเดียวกับ "การเมือง" ที่ยิ่งอยาก "ตัด" ศักดินาออกไปจากใจมากเท่าไร ก็เหมือนดึงดูดความรู้สึกอย่างชนชั้นศักดินาอันไม่เสมอภาคกลับเข้าหาตัวมากเท่านั้น

 

ทั้งที่ประเทศใต้ เป็นนวนิยายที่เขียนได้ดีมาก ๆ เรื่องหนึ่ง และฉันไม่ได้มีอคติแต่อย่างใดกับ ชาคริต โภชะเรือง ผู้แต่งเรื่องนี้ แต่ฉันกลับเขียนถึงประเทศใต้ อย่างร้าย ๆ อย่างหมิ่นแคลน ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย

 

สารภาพว่า ฉันไม่อยากเห็นวรรณกรรมชั้นดีอย่างประเทศใต้ ถูกทำให้หลงเลือนไปในทะแลแห่งข่าวสาร โดยเฉพาะกับกระแสด้านชาของรางวัลซ๊ไรต์ และโดยเฉพาะในตลาดหนังสือบ้านเรา เรียกว่าฉันอยาก "ป่วน" สร้างกระแสเล็ก ๆ สักครั้ง และจะป่วนอย่างไรได้ หากไม่ "พูดกัน" ในแง่ร้ายเข้าว่า

 

สุดท้าย ก็เพียงแค่ความหลงผิด เพราะวรรณกรรมไทยยังคงสงวนตัวอยู่เฉพาะกลุ่มผู้สนใจวรรณกรรมอัน "เงียบอย่างมีเงื่อนงำ" ตลอดมา

 

อีกข้อหนึ่งสำหรับเหตุผลที่ต้องให้ร้ายประเทศใต้ คือ ความคาดหวังเดิม ๆ ที่มีต่อนักเขียน ไม่เฉพาะชาคริต แต่เป็นนักเขียนไทย โดยเฉพาะในกรอบของวรรณกรรมสายที่ขนานนามตัวเองว่าสร้างสรรค์


แน่นอนที่นักเขียนย่อมทำงานเขียนของตนต่อเนื่องไป ถ้าไม่ -เผลอ- ตายไปเสียก่อน ขณะเดียวกัน นักเขียนก็ย่อมมีอุดมคติในการที่จะพัฒนาผลงานให้ก้าวล้ำไปข้างหน้า ฉันเชื่อ ไม่มีนักเขียนคนไหนอยากสตั๊ฟตัวเองไว้กับผลงานเล่มเดียว ชาคริตก็เช่นเดียวกัน

 

ฉะนั้น การชี้ - โยง ให้เห็นข้อไม่ดีต่าง ๆ ในผลงานอันมีคุณภาพของเขาจึงมาจากความคาดหมายเหล่านี้ และโดยเฉพาะกับการที่วรรณกรรมไทยหลายต่อหลายนัก ยังคงมุ่งมั่นทำงานเขียน สร้างวรรณกรรมที่ยึดอิงอยู่กับบริบทอื่น ๆ ของสังคม เช่น อิงสถานการณ์ หรืออิงการเมือง อิงกระแสธรรมะ ซึ่งถือว่ายังไม่ตระหนักในอำนาจของภาษาวรรณกรรมอย่างแท้จริง ที่สามารถก่อร่างสร้างตัวผ่านสัญนิยมทั้งหลาย เป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าได้ด้วยตัวเอง หรือหากจะมีบริบทจากภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็เป็นไปตามกระบวนการสื่อสารเท่านั้น หากใช่การจงใจใส่บริบทจากภายนอกให้เข้ามาสิงสู่อยู่ในวรรณกรรมแต่อย่างใด

 

ไม่ใช่ว่ายิ่งสถานการณ์ความรุนแรงภาคใต้ทวีความเข้มข้นขึ้นมากเพียงไร บรรดานักเขียนก็พากันเฮโลหยิบจับเอา "ข้อเท็จจริง" มาแปรรูปเป็นเรื่องแต่งอย่างวรรณกรรมจนหมดทุกหน่วยข้อเท็จจริงเหล่านั้น โปรดอย่าลืมว่า การนำเสนอข้อเท็จจริงหาใช่มีเฉพาะงานวรรณกรรมเท่านั้น ยังมีงานเขียนประเภทอื่นที่สามารถรองรับความศักดิ์สิทธิ์ของ "ข้อเท็จจริง" อยู่ เช่น งานสารคดี ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรเขียนวรรณกรรมที่อิงกระแสบริบทภายนอกแต่อย่างใด

และที่น่าห่วงไปพร้อมกับน่ากราบไหว้บูชาคือ การนำเอาพุทธธรรม พุทธปรัชญา หรือพุทธพจน์มาตีความ มาดัดแปลงแปรรูปให้เป็นวรรณกรรม อย่างที่นิยมกันในขณะนี้

 

ฉันไม่เข้าใจว่า วรรณกรรมยังมีคุณค่าในตัวเองไม่ได้เชียวหรือ หรือวรรณกรรมต้อง "เกี่ยว" เอาคุณค่าในบริบทอื่น ๆ ที่ต่างก็มีคุณค่าอยู่ในตัวแล้วโดยไม่ต้อง "พึ่ง" วรรณกรรม มาแปรรูปเป็นรสชาติใหม่ แม้นว่าถึงที่สุดแล้ว มนุษย์ย่อมโหยหาศาสนาอย่างที่ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ เคยสารภาพไว้เมื่อศตวรรษที่แล้ว แม้นว่าเราจะโหยหาศาสนาเพียงใด ฉันก็ไม่อยาก "เสพธรรมะ" ผ่านการ "เสพวรรณกรรม"

ไม่อยากเห็นนักเขียนตั้งธงหรือปักหมุดไว้ทีศาสนาข้อเดียว หรือปรัชญาข้อเดียว ยกตัวอย่างความมุ่งมาดปรารถนาของ ฟ้า พูลวรลักษณ์ ที่เขาได้เขียนอธิบาย "โลก" อธิบายสรรพสิ่งในห้วงเอกภพออกมาในรูปแบบของนวนิยายอันอุดมไปด้วยภูมิปัญญาล้ำลึกใน โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลกทั้งเล่ม 1 และ 2 ที่ฉันไม่สามารถอ่านให้จบลงไปโดยไม่ปวารนาตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ฟ้านักเทศนาได้เลย แม้ฟ้าจะเป็นศาสดา ฉันก็อาจจะทำใจได้ยาก

 

ฉะนั้น ฉันจึงไม่อยากโยงต่อไปถึงชาคริต และประเทศใต้ของเขาว่า ทำไมสุธนต้องเข้าร่วมขบวน "ธรรมยาตรา" ด้วย และทำไม "ธรรมยาตรา" จึงทำหน้าที่ดั่งเอกบุรุษอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

 

เอาล่ะ เราคงต้องคาดหวังถึงผลงานในอนาคตของนักเขียนไทยกันต่อไป

 

ขณะที่บรรดาวรรณกรรมคาดหวังกันอย่างแข็งขันราวกับเห็นพ้องต้องกันว่าพุทธธรรมเท่านั้นที่จะเยียวยาความเจ็บปวดของมนุษยชาติได้ ยังมีนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่ก้าวขึ้นมาด้วยวิสัยของคนหนุ่ม เป็นนวนิยายที่อิงบริบทอันทรงอรรถประโยชน์และทรงอิทธิพลในสังคมน้อยมาก แต่กลับอุดมไปด้วยพลังของตัวบทเอง อย่างนวนิยายเรื่องยาว ลับแล, แก่งคอย ผลงานของอุทิศ เหมะมูล ที่ถือเป็นนวนิยายที่เขียนด้วยภาษาซึ่งดึงดูดเราให้ก้าวพ้นพรมแดนของ "เรื่องแต่ง" ได้อย่างง่ายดายราวกะพริบตา

 

ลับแล,แก่งคอย อันอุดมด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ นานา อุดมด้วยบาดแผลเรื้อรัง ความฝังใจ ที่สามารถเกิดขึ้นกับมนุษย์อย่างเรา ๆ ได้ทุกรูปนาม เป็นบาดแผลที่ต้องการเยียวยาอย่างทันท่วงที แต่มันเหมือนไม่มีวันปลอดเชื้อร้ายแห่งความทุกข์ที่คอยคุกคามอยู่ทุกขณะจิต

 

เรื่องมีอยู่ว่า... เรื่องเล่าถึง เหตุการณ์ในชีวิตจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ มาถึงสุดท้ายของความตาย ส่งทอดเป็นจิตวิญญาณอันทุพลภาพสู่คนรุ่นลูกหลาน เพื่อค้นแสวงถึงความหมายอันแท้จริงของ "กาลเวลา" ที่ผ่านพ้นไป

 

ในนามของความเปลี่ยนแปลงอันกลับกลอกสิ้นดี

ฉันไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อยที่ผู้แต่งเรื่องนี้ หยิบฉวยเอาวาทะของนักเขียนผู้ทรงอิทธิพลของโลกมาใช้เป็นบทนำเล็ก ๆ ในแต่ละภาคทั้ง 5 ภาคของนวนิยายเรื่องนี้ แม้นว่ามันจะเป็นความลงตัวมากมายเพียงไรก็ตาม หรือมันจะสื่อสารถึงนัยยะอื่นอันสลักสำคัญยิ่งต่อนวนิยายมากเพียงไร มันก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ทั้งสิ้น

 

ขณะที่กาลเวลาหายใจของมันอยู่อย่างสม่ำเสมอนั้น มันได้กะเกณฑ์ ได้ฉีกทึ้ง ได้ชำแรกเอาความรู้สึก นึก คิด และจิตวิญญาณของเราอย่างหน้าตาเฉย ลับแล,แก่งคอยเองได้ทำหน้าที่เป็นสถานพำนักที่รอคอยการค้นพบ รอคอย..ขณะที่เร่งเร้าผู้อ่านอย่างเราทุกขณะ จนบางครั้ง มันดูเหมือนนวนิยายสืบสวนสอบสวน ที่ตัวฆาตกรคือ "ข้อเท็จจริง" ในนามของ "ความเป็นจริง" ที่จะไขรหัสสัญญะต่าง ๆ ซึ่งแขวนรอการค้นหาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เริ่มตั้งแต่

 

-ลับแล ชื่อเมืองอันเป็นต้นสกุลของผม มาถึงความทับซ้อนของตัวละครระหว่างลับแล (น้องชาย) กับแก่งคอย (พี่ชาย) การที่ลับแล "โยน" บุคลิกด้านร้ายที่มีอยู่ในตัวให้เป็นตัวตนของอีกคนคือ แก่งคอย กระทั่งแขนข้างที่บิดงอผิดรูปของลับแล

 

ลับแล,แก่งคอย บอกเล่าเรื่องราวของสัญชาตญาณแห่งความเป็นมนุษย์ ความหยั่งรู้ และภูมิปัญญาอันหมิ่นเหม่ และหากว่ามันจะเป็นนวนิยายเชิงอัตชีวประวัติ ของผู้แต่ง อุทิศ เหมะมูล ฉันจะไม่ถามต่อเลยว่า แล้วชีวิตของนายอุทิศ เหมะมูลและโคตรเหง้าบรรพบุรุษเขาจะมีฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์อะไรที่จะทำให้นวนิยายเรื่องนี้สลักสำคัญหรือทรงคุณค่าขึ้นมาได้ ก็แค่ประวัติคนธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นบุคคลผู้ทำคุณูปการแก่ประเทศชาติบ้านเมืองสักหน่อย เพราะนั่นไม่ใช่คำถามที่ควรถามกับนวนิยายเรื่องนี้

 

เพราะมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากทัศนะคติที่เชิดชูวีรบุรุษ หากแต่มันได้บอกกล่าวแก่เรา ตั้งถามร่วมกับเราอย่างองอาง และอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่บ้างว่า ชีวิตนั้นแท้แล้วเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ หรือเพียงไหน แท้จริงแล้วอะไรทำให้เราเจ็บปวด อะไรเปลี่ยนแปลงเรา อะไรให้กำเนิดเรา และอะไรได้พรากเราไปจากชีวิตที่แท้ของเรา

 

ข้อสุดท้าย มันได้บอกแก่เราอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ชีวิต เป็นมากกว่า ภูมิปัญญา ที่เราจะกล่าวขานถึงความสำคัญของมัน

 

ชีวิตไม่ได้ประกอบขึ้นจากความทรงจำ และร่องรอยต่าง ๆ ที่ปรากฎเท่านั้น หากแต่มันดำเนินของมันมาแต่บรรพกาล ทั้งที่ปรากฎและไม่เคยปรากฎ ทั้งที่หลงลืมไปแล้ว และได้เลือกจดจำทั้งที่มันไม่ใช่ความจริง และทั้งที่มันถูกบิดเบือนครั้งแล้วครั้งเล่า

 

มันได้ฝังอยู่ใน "สภาพ" ของจิตวิญญาณอันฟุ้งกระจาย และไร้พันธะต่อกายภาพ หากเมื่อ "ภูมิประเทศ" แห่งสภาพจิต ถูกกดดัน ถูกไถ่ถามอย่างจะตั้งคำถาม ถึงความมีอยู่ของมัน เมื่อนั้นเอง บรรดาความเจ็บปวดรวดร้าวทั้งหลายทั้งปวงที่บิดผันอยู่เป็นบาดแผลแห่งการจองจำอันมีลมหายใจ ก็พร้อมย่างกรายออกมาเรียกร้องการชำระล้างความผิดบาปทั้งมวล ชำระล้างความจริงเท็จทั้งมวล เพื่อให้ปรากฎซึ่งความจริง มันจะคงอยู่ และเป็นเช่นนั้น

 

เหมือนกับที่ลับแลต้องยอมจำนนในขณะที่ตัวเขาเป็นดั่งสัญชาตญาณแห่งความเจ็บปวดทุรนทุรายอันฝังลึก พร้อมจะล้างแค้นหรือล้างบาปก็ได้ เขาเลือกจะล้างแค้น บิดเบือนความจริง เปลี่ยนความทรงจำแง่ร้ายเป็นภาพลวงตา เพื่อสถาปนาความจริงอันเป็นเท็จขึ้นมาตอบสนองสัญชาติญาณแห่งความเจ็บปวดนั้น

 

สุดท้าย ลับแล ต้องยอมจำนนต่อความจริง ต่อความผิดหวังครั้งใหญ่หลวงต่อหน้าหลวงพ่อ ในการชำระล้างที่ "แม่" ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดในครั้งเขาเป็นทารก และในครั้งนี้ แม่ก็ยังเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ภายใต้บทบัญญัติแห่งความจริง ละทิ้งความคุลมเครืออันหลอนลวงในอดีต เช่นเดียวกับที่แม่เป็นผู้บิดแขนข้างหนึ่งของเขาจนคดงอผิดรูปมาถึงทุกวันนี้

 

ลับแล,แก่งคอย มีลมหายใจขึ้นมาได้ก็ด้วย "มายาคติ" ทั้งหลายที่พยายามป้องปากพูดความจริง

 

ฉันคงเขียนถึงลับแล,แก่งคอย ไม่ได้มากไปกว่านี้ และไม่พยายามยึดเหนี่ยวโครงสร้างอันซับซ้อนดุจเดียวกับร่างแหแห่งชะตากรรมสามัญออกมาติติง หรือชื่นชมได้ บางทีสัญชาตญาณแห่งความเจ็บปวดชนิดเดียวกับที่มันเคยสถิตอยู่กับลับแล ได้เคลื่อนที่มาถึงและได้ดำรงอยู่ใน "ฉัน" เฉกเช่นเดียวกัน.

 

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…