Skip to main content

นายยืนยง


 

ชื่อหนังสือ : บันทึกนกไขลาน (The Wind-up Bird Chronicle)

ผู้เขียน : ฮารูกิ มูราคามิ (Haruki Murakami)

ผู้แปล : นพดล เวชสวัสดิ์

พิมพ์ครั้งที่ 1 : กันยายน 2549

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์แม่ไก่ขยัน

 

หนูอยาก...อยากจะได้มีดผ่าตัดสักเล่ม หนูจะกรีดผ่า ชะโงกหน้าเข้าไปมองข้างใน ไม่ใช่ผ่าศพคนนะ... แค่ก้อนเนื้อแห่งความตาย หนูแน่ใจว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

ก้อนกลมเหนียวหยุ่นเหมือนลูกซอฟต์บอล แก่นกลางแข็งเป็นเส้นประสาทพันขดแน่น หนูอยากหยิบออกมาจากร่างคนตาย เอาก้อนนั้นมาผ่าดู อยากรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่... (ภาคหนึ่ง, หน้า 36)

 

เมย์ คาซาฮาระ สาววัยสิบหก หนึ่งในตัวละครมากบทบาทของนวนิยายเรื่องบันทึกนกไขลานเล่มนี้แถลงความคิดข้างต้นขึ้นมาอย่างชัดถ้อยชัดคำระหว่างการสนทนากับโทรุ โอกะดะ พระเอกหนุ่มของเรื่อง ในขณะที่เขามุดลึกลงไปใต้ก้นบ่อน้ำลึกอันแห้งผากเพื่อจะมองหาความจริงแท้ให้ชัดเจน โดยที่เมย์ยืนกุมความเป็นความตายของโทรุ โอกะดะอยู่ที่ปากบ่อ พร้อมทุกเมื่อที่จะสาวบันไดเชือกซึ่งโทรุ โอกะดะใช้เป็นทางขึ้นลงบ่อน้ำขึ้นมาไว้ข้างบน เพื่อมอบความตายอันเงียบงันแก่เขา

 

สาวน้อยผู้กระหายใคร่รู้ในสัณฐานของความตายกับชายหนุ่มผู้ปรารถนาในความจริงอันลึกเร้น เป็นสองตัวละครในเรื่องที่มีพฤติกรรมอันพิลึกพิลั่นในสายตาของเรา ไม่ได้หมายความว่าตัวละครอื่นในเรื่องจะไม่เป็นอย่างนี้ ตัวละครอื่น ๆ ไล่มาตั้งแต่คูมิโกะ แฟนสาวของโทรุ โอกะดะ , มอลตา คะโน กับครีตา คะโน สองศรีพี่น้องชื่อสะดุดใจคู่นี้ก็มีมุมมองต่อโลกและชีวิตอันแสนพิลึกพิสดารไม่ต่างกัน ไหนจะผู้หมวดมามิยะ ลูกจันทร์กับอบเชย แม่ลูกคู่ประหลาดเต็มไปด้วยพลังพิเศษ ความเป็นมาของครอบครัวคูมิโกะ บ้านมิยาซาวะ บ้านผูกคอตายที่มีบ่อน้ำแห่งการรู้แจ้ง สมรภูมิอันดุเดือดระหว่างญี่ปุ่นกับจีนในดินแดนมองโกล โยงไปถึงแมงกะพรุน และแมวที่หายตัวไปทางทวารแมว เช่นเดียวกับตัวละครอื่น นอกจากตัวละครแปลกแล้ว ยังมีพฤติกรรมแยกร่าง แยกกายเนื้อออกจากจิต อันเป็นผลให้มี “กะหรี่ทางจิต” อย่างครีตา คะโน รวมถึงโลกไซเบอร์สเปซ ที่มีปากบอกเล่าเรื่องราวออกมาได้อีก

 

การที่นวนิยายขนาดหนาเล่มนี้ได้ให้นิยามของ “บันทึกนกไขลาน” ไว้ว่า “มหากาพย์ข้ามกาลเวลาของคนสมัครใจว่างงาน” อันแสดงถึงขอบเขตอันไร้ขีดจำกัดในเรื่องของ “เวลา” และขอบเขตอันไร้ขีดจำกัดของ “เวลา” สำหรับคนว่างงานแบบสมัครใจอย่างโทรุ โอกะดะ นั้น ได้แสดงถึงความไพศาลของเนื้อหา โดยเฉพาะมุมมองที่มีต่อโลกและชีวิต และโดยไม่ขาดตกบกพร่องในการจะนำเสนอให้ลึกไปถึงปริมณฑลของสัจจะหรือความจริงแท้แห่งชีวิตนั้น หากเราจะกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ด้วยวิธีทางการวิจารณ์วรรณกรรมแล้ว ฉันเห็นว่าไม่ควรเลยที่จะทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันฉันก็ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้เลยแม้แต่น้อย

แต่จะให้ฉันเว้นไม่กล่าวถึงในแง่มุมอื่นเลย คงเป็นเรื่องผิดวิสัยของนักอ่านอย่างฉัน...ใช่ไหมล่ะ

 

เพราะอย่างนี้เองฉันจึงเลือกกล่าวถึงในแง่มุมอื่น ซึ่งแยกย่อยออกมา และออกจะดูไม่สลักสำคัญนักในเชิงวิธีวิจารณ์วรรณกรรม แต่รับรองว่าแง่มุมนี้ “น่าจะ” มีสีสันอยู่ในตัวเองบ้างไม่มากก็น้อย ก่อนอื่นเรามาดูเค้าโครงเรื่องอย่างคร่าว ๆ กันก่อน

 

บันทึกนกไขลาน เล่าถึงชีวิตของชายวัยสามสิบคนหนึ่งที่ยินยอมพร้อมใจลาออกจากงานประจำในสำนักงานกฎหมาย และอย่างไม่มีเค้าลางใด ๆ ภรรยาสาวของเขาได้หนีออกจากบ้านไป ซึ่งเป็นพันธะให้เขาต้องตามหาและนำพาเธอกลับมาในที่สุดด้วย

 

เรื่องพื้น ๆ ข้างต้นกลายเป็นความยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ เนื่องจากมันเป็นการตั้งต้นอธิบายเรื่องราวของสภาวะจิตระหว่างผู้คนหลายประเภทภายใต้ความไร้ขอบเขตแห่งจักรวาล ไร้เงื่อนไขของเวลานาทีมากำกับ

ผู้คนหลายประเภทที่โคจรมาพบกันอย่างไร้เหตุผลที่สุด อันเป็นบ่อเกิดของนิยายที่สมจริงล้ำเหลือเรื่องนี้

 

ตัวละครอย่างโทรุ โอกะดะ พระเอกของเราเป็นเพียงชายวัยสามสิบที่ว่างงานอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นนั่นแหละ แต่เขามีคุณสมบัติพิเศษบางอย่างเสมือนเป็นพาหะ มีแรงดึงดูด ชักพาให้เรื่องราวอันไม่อาจเชื่อมโยงกันได้ในโลกของความเป็นเหตุเป็นผลแบบเดิม ให้กลับมาแสดงตัวตนอันแท้จริงของมันในโลกของความเป็นเหตุเป็นผลแบบใหม่

 

โดยที่ตัวโทรุ โอกะดะเองไม่ได้มีโลกทัศน์แบบเดิมหรือแบบใหม่อย่างใดอย่างหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือ เขา “ไร้สังกัด” หากเป็นนักวิเคราะห์ที่นิยมการตั้งข้อสังเกต รวมถึงเป็นนักปฏิบัติตัวยง คือเดินหน้าเข้าไปคลุกคลีอยู่กับตัวละครที่ผ่านเข้ามา ซึ่งแต่ละตัวละครก็มักมาพร้อมกับโลกทัศน์อันแตกต่างกันไป ดังนั้นเราจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงชนิดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของตัวละครอย่างที่วรรณกรรมส่วนใหญ่ได้แสดงให้เห็น ราวกับว่าผู้แต่ง ฮารูกิ มูราคามิ ได้พยายามเปิดเนื้อที่ของการแสดงถึงความจริงแท้ให้ว่างลง ขณะเดียวกันเนื้อที่นั้นไม่ใช่ “ความว่างเปล่า” หากแต่เป็นการพยายามหรือสมัครใจให้ “ว่างเปล่า” เพื่อใช้เป็นภาชนะบรรจุเนื้อหาของความจริงแท้ลงทีละส่วน ๆ

 

นี่ฉันคิดบ้าไปเองหรือเปล่านะ ... อะไรคือความจริงแท้ อะไรคือโลกของความเป็นเหตุเป็นผลแบบเดิม

อะไรคือโลกของความเป็นเหตุเป็นผลแบบใหม่ ขอสรุปนิด ๆ ตามความเข้าใจ

 

ความจริงแท้ (Truth) ที่กล่าวถึงมานักต่อนักคือ ความสัมบูรณ์ คือ สัจจะ

 

มิชิโอะ กากุ นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมฟิสิกส์ได้พิสูจน์ว่าจักรวาลมีมากมาย (multiverse) จักรวาลถัดไปอยู่ห่างเพียง 1 มิลลิเมตรจากผิว (brane) แต่รับรู้ไม่ได้ เพราะมันอยู่เหนือมิติ(โลกสี่มิติ) ของเรา เท่าที่พิสูจน์ได้มี 11 มิติ สภาวะนิพพาน (nirvana) ที่มีความถี่ละเอียดอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับโลกสี่มิติของเรา

จักวาลที่เราอยู่นี้ มี 3 ลักษณะ คือ

1.มหาโลกธาตุ ประกอบด้วย กลุ่มโลกธาตุจำนวนมาก

2.มัชฌิมโลกธาตุ ประกอบด้วย โลกจำนวนมาก

3.จุลโลกธาตุ ประกอบด้วย ระบบสุริยะและโลกมนุษย์กับดาวเคราะห์อื่น ๆ

 

นี่เป็นบางส่วนของแนวคิดเกี่ยวกับความจริงแท้ดังกล่าวที่ยกตัวอย่างมาให้อ่านกัน เพื่อให้เห็นว่ามุมมองแบบวัตถุวิสัย (Objectivism) รวมทั้งแบบสสารนิยม (Materialism) ซึ่งตรงข้ามกับมุมมองแบบอัตวิสัย (Subjectivism) ต้องหันมายอมรับความสำคัญของภาพที่เป็นอัตวิสัย subjectivism image มากกว่าเดิมแม้มันจะจับต้องไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากมีคำอธิบายและข้อพิสูจน์ถึงสิ่งที่เคยพิสูจน์ไม่ได้เหล่านั้นขึ้นมาแล้วจากบรรดานักจักรวาลวิทยาใหม่ ฉะนั้นปริมณฑลของการเข้าถึงความจริงแท้นั้น ได้ขยายขอบเขตออกมามากและเป็นไปอย่างกลับตาลปัตร

 

ขณะเดียวกันทัศนคติที่มีต่อความจริงแท้นี้ยังได้เคลื่อนเปลี่ยนไปทุกขณะ เสมือนว่าความจริงแท้ไม่ใช่สภาวะหนึ่งสภาวะใดที่หยุดนิ่งแล้วยืนรอเราไปค้นพบ หากแต่มันมีการเคลื่อน ดูง่าย ๆ จากสำนักคิดต่าง ๆ ยกตัวอย่างนักจักรวาลวิทยาใหม่ในปัจจุบันนี้ (ซึ่งอาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้) กลับมาความเห็นสอดคล้องกับนักจักรวาลวิทยายุคดึกดำบรรพ์ที่โยงความคิดเข้ากับตำนานปรัมปรา เทพเจ้า ซึ่งอยู่คู่กันมากับความหมาย (Myth) ที่บรรพบุรุษเราเคยเชื่อมั่นและพยายามแสวงหามานับพันปีก่อนมนุษย์จะรู้จักวิทยาศาสตร์

***(ข้อความตัวหนาทั้งหมดในบทความนี้ ได้จับใจความมาจากหนังสือรวมบทความ จักรวาลผลัดใบ การเกิดใหม่ของจิตสำนึก นำเสนอโดย กลุ่มจิตวิวัฒน์ สำนักพิมพ์ มติชน)

 

นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างแนวคิดใหม่หรือโลกทัศน์ใหม่เพื่อขยายความเป็นไปได้ของ ความจริงแท้ที่กล่าวถึงเท่านั้น แต่โปรดอย่าลืมว่า ทุกความคิดเป็นเพียงสมมุติฐาน ไม่ใช่สัจจะ

 

โลกของความเป็นเหตุเป็นผลแบบเดิม หรือโลกแบบตรรกยะนิยม หรือเหตุผลนิยม (Rationalism) ที่ยืนยันในความสำคัญของการสังเกตและรับรู้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธความสำคัญของประสบการณ์ แต่ถือว่า ความรู้จากประสาทสัมผัสไม่อาจให้ความจริงที่เป็นสัจจะได้

 

โลกของความเป็นเหตุเป็นผลแบบใหม่ อันนี้ไม่ใช่ อตรรกยะนิยม (Irrationalisim) ที่ตรงกันข้ามกับตรรกยะนิยม ข้างต้น หากแต่เป็นการอธิบายเหตุผลของความไร้เหตุผลแบบอตรรกยะ หรือหาเหตุผลให้สิ่งที่ดำรงอยู่เหนือเหตุผลนั่นเอง ทั้งนี้โลกของความเป็นเหตุเป็นผลแบบใหม่ก็สอดคล้องกับแนวคิดของนักจักรวาลวิทยาใหม่อีกด้วย

 

งานนี้จะเห็นได้ว่า ไม่ว่านักเขียนไทยหรือเทศต่างก็ให้ความสนใจกับโลกทัศน์ใหม่ ๆ เพื่อนำไปสู่หนทางของความจริงแท้ โดยได้พยายามยกเอานิทานปรัมปรา คตินิยมท้องถิ่น ความลี้ลับ อันไร้เหตุผลทั้งหลาย หรือที่เราเรียกทับศัพท์ว่า Myth นั่นแหละ มาอธิบายความจริงแท้กันถ้วนหน้า เหมือนเราขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน เลือกปลายทางเหมือนกัน และมีเป้สัมภาระอันประกอบด้วยเครื่องยังชีพประเภทเดียวกันนั่นเอง

 

ออกนอกเรื่องมาพอสมควร กลับเข้าเรื่องเสียที...

ดังนั้นที่กล่าวว่า ฮารูกิ มูราคามิ ได้พยายามเปิดเนื้อที่ของการแสดงถึงความจริงแท้ให้ว่างลง ขณะเดียวกันเนื้อที่นั้นไม่ใช่ “ความว่างเปล่า” หากแต่เป็นการพยายามหรือสมัครใจให้ “ว่างเปล่า” เพื่อใช้เป็นภาชนะบรรจุเนื้อหาของความจริงแท้ลงทีละส่วน ๆ นั้น ฮารูกิ มูราคามิ ได้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่เขามีต่อความจริงแท้ว่ามันหาได้เกิดขึ้นเองอย่างโดด ๆ และไม่ได้ก่อกำเนิดจากความว่างเปล่า แต่มันคือภารกิจที่ต้องมุ่งแสวงหา ขณะเดียวกันมันก็ได้ปลดเปลื้องตัวเราไปด้วย เช่นเดียวกับโทรุ โอกะดะ ที่มีภารกิจติดตามหาภรรยาสาว คูมิโกะให้กลับคืนมา ขณะเดียวกันเขาได้พบกับผู้คนอันนำมาซึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ล่วงข้ามพรมแดนของสถานที่ และเวลา ไปอย่างล้นหลาม บางครั้งหากเราจะมองอย่างชาวพุทธแบบกฎแห่งกรรม มันดูคล้ายปรากฎการณ์ “กลับชาติมาเกิด” หรือ “การระลึกชาติ” ของชายผู้มีปานสีน้ำเงินข้างแก้ม ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปลดเปลื้องตัวเขาไปในขณะเดียวกัน

 

สรุปได้ขั้นหนึ่งว่า นวนิยายเรื่องนี้ เป็นการแสดงออกถึง วิถีทางอันนำไปสู่จุดมุ่งหมาย ซึ่งไม่ใช่วิถีที่เป็นครรลองแบบใดแบบหนึ่ง หากแต่เป็นวิถีแห่งการเปิดรับอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนต่อความดำรงอยู่ของสรรพสิ่งทั้งหลาย

 

ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด” และนักวิทยาศาสตร์ใหม่หรือควอนตัมฟิสิกส์เน้นถึงความเชื่อมโยงเป็นองค์รวม ทุกอย่างมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก และบันทึกนกไขลาน เรื่องนี้ก็ส่งเสียงคล้าย ๆ กันเช่นนี้ รวมถึงแสดงออกถึงวิธี (Method) อันจะนำพาวิถี (Way) ไปสู่ภาวะแห่งการรู้แจ้งและเข้าใกล้สัจจะ ซึ่งสัจจะดังกล่าวนั้น หาใช่สิ่งยิ่งใหญ่มั่งคงสถาพรเฉกเช่นปราสาทราชวัง หากแต่เป็นภาวะกึ่งจริงกึ่งฝันด้วยซ้ำไป

 

ใครสนใจจะรู้แจ้งในบ่อน้ำลึกอันแห้งผาก เห็นว่างานนี้ต้องไปหาบันทึกนกไขลานมาอ่านแล้วล่ะ

เพราะฉันแทบไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวใด ๆ เลย มัวแต่ผจญอยู่กับความคิดที่แทรกและซ้อนเข้ามาระหว่างการอ่านบันทึกแห่งนวนิยายเล่มนี้ ส่งท้ายอีกทีว่า นอกจากอ่านแล้วจะสนุกในการตีความ เราจะไม่พลาดอรรถรสของมันเลยแม้แต่หยดเดียว จริง ๆ .

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…