Skip to main content

นายยืนยง


 

ชื่อหนังสือ : มนุษย์หมาป่า

ผู้แต่ง : เจน ไรซ์

ผู้แปล : แดนอรัญ แสงทอง

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์หนึ่ง

พิมพ์ครั้งแรก : สิงหาคม 2552



เรื่องสั้นชื่อเกลื่อน ๆ อย่าง มนุษย์หมาป่า เล่มนี้ ไม่ใช่เรื่องสั้นธรรมดาเสียแล้วล่ะ ความรู้สึกแรกที่เลือกมาอ่านก็เป็นแค่ความรู้สึกอย่างง่าย ๆ ในการจะอ่านหนังสือเล่มบาง ๆ สักเล่ม คงใช้เวลาไม่เกินสามสิบนาที เป็นอันจบเรื่อง แต่แล้วเรื่องง่าย ๆ สั้น ๆ อย่างนี้กลับไม่ธรรมดาขึ้นมาได้


เริ่มกันตั้งแต่ราคาหนังสือที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก คือ หกสิบบาท ประเมินดูขนาดเล่มกับราคานับว่าสมน้ำสมเนื้อ ส่วนพิเศษอื่นนอกเหนือจากเนื้อหาของเรื่องสั้นแล้ว คือ ความเป็นมาของสำนักพิมพ์หนึ่ง สำนักพิมพ์น้องใหม่ที่เขาออกตัวว่า ก่อตั้งเมื่อเดือนสิงหาคม 2008 เปรียบตัวเองว่าเป็นสำนักพิมพ์เล็ก ๆ ที่จนเหมือนโกหก แต่รักวรรณกรรมชั้นเลิศแทบบ้า อีกทั้งยังเชิญชวนผู้มีใจรักป่าวรรณกรรมเข้าหุ้นลงขัน ถือเป็นการลงทุนที่ลืมผลตอบแทนในอนาคตไปได้เลย จะว่าเป็นการกุศลก็หาไม่ เพราะไม่อาจนำใบเสร็จไปหักลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย เรียกง่าย ๆ ว่า ถ้าใจถึงก็เชิญ ง่าย ๆ อย่างงี้แหละ


ผลงานที่สำนักพิมพ์หนึ่งได้จัดพิมพ์ออกมาวางจำหน่ายมีหลายประเภท ล้วนแล้วเป็นหลายประเภทที่ขายได้ยากเย็นเข็ญใจที่สุด แม้นว่าจะตั้งราคาขายไว้ต่ำเพื่อเป็นเครื่องล่อลวงเงินในกระเป๋าผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ฉันเป็นคนหนึ่งที่นิยมชมชอบคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดฝัน ใฝ่ฝันและปฏิบัติไปพร้อมกัน ใครสนใจใคร่จะรู้จัก หรืออยากลงทุนร่วมหุ้นกับเขา ก็เชิญสืบถามได้ตามสะดวกใจนะจ๊ะ


มาเข้าเรื่องแม่มิลลีผู้หม่ำมนุษย์หมาป่ากันต่อดีกว่า

มนุษย์หมาป่า เป็นตำนานที่สิงอยู่ในโลกของเรื่องแต่งมานานเนแล้ว โดยมากจะเป็นแนวสยองขวัญ แฟนตาซี ไม่เน้นเกี่ยวข้องกับเรื่องสังคมการเมืองใด ๆ แต่กับมนุษย์หมาป่า ผลงานของนักเขียนชื่อไม่คุ้นหู นามว่า เจน ไรซ์ ผู้นี้ กลับถูกนำไปตีความในเชิงสังคมการเมือง ดังที่ในหนังสือได้แอบอธิบายแก่เราผู้อ่านไว้อย่างกระมิดกระเมี้ยน อันจะกล่าวถึงต่อไป


เนื่องจากมิลลี คุชแมน สาวสวยเปรี้ยวอมหวานจากมลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ลูกสาวพ่อค้าเนื้อรายใหญ่ หล่อนหลงใหลในวิถีชีวิต ผู้คนและงานสังสรรค์อย่างชาวปารีเซียง หล่อนตกอยู่ในห้วงยามอันสลดหดหู่ของภาวะสงครามโลกครั้งที่สอง สภาพอดอยากแร้นแค้น เป็นอารมณ์ซึมเศร้าพร้อมทั้งระลึกถึงความรื่นเริงของปาร์ตี้เมื่อวันวานของปารีส คิดถึงช่อกุหลาบ คิดถึงน้ำหอม เสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามมีรสนิยมทั้งหลาย อยู่ ๆ การปรากฎกายของหนุ่มน้อยร่างกายกำยำล่ำสันในสวนข้างหน้าต่างของหล่อน ก็ชวนให้หัวใจเริงโลดไป หล่อนคิดถึงหนุ่มน้อยผู้ไร้อาภรณ์ห่อหุ้มร่างกายอยู่ตลอดเวลา คิด ๆ อยู่ว่าเขาจะคิดถึงหล่อนบ้างไหม เขาจะกลับมาไหมนะ เจ้าหนุ่มผู้มีแผงอกอันแข็งแรง ท่อนแขนแข็งแรงคนนั้น


กระทั่งมาเรีย สาวรับใช้มาแจ้งว่า ชายชราเพื่อนบ้านของหล่อนตายเสียแล้ว เขาตายเพราะถูกกิน! และพบเห็นรอยเท้าสัตว์ใหญ่ในสวนบ้านหล่อนด้วย หัวใจของมิลลีสั่นไหว ขณะเดียวกันหล่อนก็คิดถึงหนุ่มน้อยปริศนาคนนั้นแทบทุกลมหาย หล่อนถึงกับวางแผนให้มาเรียกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดชั่วคราว เพื่อจัดการกับอะไรบางอย่างที่ระอุอยู่ในใจของหล่อน


และแล้วหนุ่มน้อยในฝันของหล่อนก็กลับมา หล่อนพบเขานอนหลับใต้ต้นไม้ในสวน หล่อนออกปากเชิญชวนเขาให้เข้ามานอนพักผ่อนในบ้าน ตระเตรียมเสื้อผ้าอาหารให้เขาได้สวมใส่ พยายามปรนเปรอเขาด้วยถ้อยคำหวานหยาดเยิ้ม และรสสัมผัสของสตรีเพศ


ตลอดเวลาที่อ่าน ”มนุษย์หมาป่า” ฉันนึกถึงเรื่องสั้นของนักเขียนอมตะอย่าง กีย์ เดอ โมปาส์ซังต์ บรมครูแห่งการเขียนสไตล์หักมุม จบแบบคาดไม่ถึง ต่อให้มีประสบการณ์ในการอ่านเรื่องสไตล์หักมุมมากแค่ไหน ก็ยังมีภูมิคุ้มกันอาการคอเคล็ดจากการอ่านเรื่องสั้นของ กีย เดอ โมปาส์ซังต์ ไม่ได้ เช่นเดียวกันกรณีของ “มนุษย์หมาป่า” ผลงานของ เจน ไรซ์ เล่มนี้

 

เพราะฉันเดาว่าท้ายสุดแล้ว ไม่ใช่ก็ใครต้องตายอย่างอนาถ ที่แน่ ๆ น่าจะเป็นแม่นางมิลลี สาวสวยเปรี้ยวอมหวาน นางเอกของเราคนนี้ หล่อนต้องถูกมนุษย์หมาป่าขย้ำคอขณะเริงสวาทกันเป็นแน่ เลือดคงไหลเป็นเส้นสีสดสวยตามศพของหล่อน ถ้าจบอย่างนี้ เหมือนอย่างที่เราคุ้นเคยกันดีนั้น เป็นการแสดงออกถึงอะไรได้บ้าง อย่างแรก ๆ ฉันว่าเป็นการเทศนาอย่างหนึ่ง ที่มุ่งเน้นจะตักเตือนมนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้หญิงทั้งหลายที่ร่านสวาทเสียไม่รู้จักพอ หนำซ้ำยังโง่โข่งบรมเลยทีเดียวที่ยอมให้อารมณ์ฝ่ายต่ำยั่วเย้าให้ตนต้องเดินไปในหนทางอันไม่ถูกไม่ควร เขาสอนให้พึงรู้จักระงับ ระแวดระวังในกามารมณ์ของตนเอง อย่าหลงเพริดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไม่เช่นนั้น มีภัยแน่ แต่เรื่องนี้ไม่ได้จบอย่างที่เราคุ้นเคยน่ะซี ฉันเดาพลาดไปถนัด...


เพราะมิลลี คุชแมนของเรา เป็นสาวเปรี้ยวอมหวาน ผู้ชาญฉลาด และใช้เสน่ห์เล่ห์พรายแบบสตรีเพศยั่วเย้าให้มนุษย์หมาป่าในตอนที่ยังไม่แปลงร่างเป็นหมาป่าตายใจ เชื่อสนิทว่าหล่อนนั้นเป็นสตรีแบบโง่เง่า ร่านราคะและที่สำคัญมีเนื้ออร่อย เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นอาหารมื้อพิเศษ


เรื่องจบลงตรงที่... มิลลีได้หม่ำเนื้อมนุษย์หมาป่าเสียอิ่มเอมจนเผลอเรอออกมาอย่างเปรมใจ หลังจากอดอยากแร้นแค้นมาเสียนานนมเนื่องจากภาวะสงคราม หนำซ้ำ มาเรีย สาวใช้ยังไม่อยู่คอยแบ่งสันปันส่วนมื้อพิเศษนี้อีกต่างหาก


การจบเรื่องแบบหักมุมอย่างนี้ ทางสำนักพิมพ์เขาบอกไว้ว่า เป็นการใช้สัญลักษณ์ในเชิงสังคมการเมือง ชื่อมนุษย์หมาป่า นั้น เป็นชื่อแผนปฏิบัติการของนาซีเยอรมัน แต่กลับถูกทำลายลงจนสิ้นฤทธิ์โดยอเมริกา เช่นเดียวกันกับ มนุษย์หมาป่า ที่ถูกสาวอเมริกันจัดการเขมือบเสียอิ่มหนำ ทั้งที่ยังไม่ได้แผลงฤทธิ์แปลงร่างเป็นหมาป่าในคืนพระจันทร์เต็มดวงเสียด้วยซ้ำ


งานนี้ใครจะตีความไปอย่างไรก็สุดแล้วแต่ ส่วนฉันเห็นว่า ในฐานะนักเขียน เจน ไรซ์ อาจกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับความซ้ำซากของผลงานที่ดาษดื่นอยู่ในตลาดหนังสือขณะนั้น ความเคยชินที่มากขึ้น ๆ ทุกทีก็กลายเป็นความน่าเบื่อชวนระอาได้เหมือนกัน ฉะนั้น การที่สำนักพิมพ์บอกว่า เจน ไรซ์ ใช้เรื่องสั้นนี้ในการสื่อสัญลักษณ์ในทางสังคมการเมืองหรือสงครามดังกล่าวข้างต้นนั้น ออกจะเป็นเรื่องขำขันไปสักเล็กน้อย เรื่องอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้อ่านมากกว่าแนวคิดตั้งต้นของนักเขียนมากกว่า


เช่นเดียวกันผลงานของ กีย์ เดอ โมปาสซังต์ ที่แปลเป็นภาษาไทยโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์ เจ้าของสำนวนชวนติดตราตรึงใจ เหตุที่กีย์ เดอ โมปาสซังต์ โด่งดังขึ้นมาได้นั้น เป็นเพราะผลงานของเขามีความโดดเด่นขึ้นมาจากซากอันซ้ำซากจำเจของตลาดหนังสือในสมัยของเขา นี่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น และทำให้เราต้องยอมรับว่า ความซ้ำซากก็เป็นบ่อเกิดแห่งการสร้างสรรค์อย่างหนึ่งด้วย


อาษา ขอจิตต์เมตต์ เขียนเกี่ยวกับประวัติของ กีย์ เดอ โมปาสซังต์ ไว้ว่า แม่ของเขาและลุงทางฝ่ายแม่เป็นเพื่อนสนิทกับ กุสตาฟ โฟล์แบร์ ผู้แต่งนวนิยายเรื่อง มาดาม โบวารี หลังจากกุสตาฟ โฟล์แบร์ ตายลง กีย์ เดอ โมปาสซังต์ก็เริ่มมีแนวทางของตัวเองที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เขาทำงานเขียนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันสไตล์ของเขาก็เป็นที่นิยมชมชอบของบรรดานักอ่านทั้งหลายในขณะนั้น รวมถึงขณะนี้ด้วย


สไตล์การเขียนของกีย์ เดอ โมปาสซังต์นั้น ที่จับใจมาจนถึงทุกวันนี้เห็นจะเป็น พลังเร้าใจที่เต็มเปี่ยมในตัวอักษรของเขา อ่านแล้วมีอันต้องเคลิบเคลิ้มตามไปด้วย ทั้งที่เขาเพียงพรรณนาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สลับซับซ้อนแต่อย่างใด ติดตามด้วยพฤติการณ์อันเร้าใจเข้มข้นที่สุด ก็เท่านั้นเองสไตล์ของเขา แต่ทำมั้ย ทำไม เราจึงเคลิบเคลิ้มนัก ทำไมผลงานของเขาจึงตราตรึงได้ถึงเพียงนี้


เป็นไปได้ไหมว่า พลังเร้าใจที่บรรจุอยู่ในเรื่องสั้นของเขา เป็นพลังที่ซ่อนอยู่ในจิตในของเรา หรือซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา ทุกขณะที่เราอ่าน ทุกขณะที่เราถูกกระตุ้นด้วยภาษาอันเป็นเสมือนการถอดรหัสอารมณ์ลึก ๆ นั้น เป็นเสมือนการปลดเปลื้องเราออกทีละน้อย ๆ กระทั่งถึงที่สุดแล้ว ในตอนจบเรื่อง เรากลับไม่เห็นในสิ่งที่เราปรารถนา เพราะมันเป็นการจบเรื่องแบบหักมุมเสมอเลยทีเดียว คล้ายกับการได้ตื่นจากโลกแห่งความไม่จริง กลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้งหนึ่ง


สภาวะดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นได้กับการเสพงานศิลปะแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะวรรณกรรมที่ต้องการสมาธิ และต้องอยู่ในภาวะหนึ่งนี้เพียงลำพัง ดังนั้น วรรณกรรมหรืองานศิลปะที่เราเรียกขานกันว่า “มีพลัง” นั้น น่าจะเกิดการปลุกกระตุ้นสภาวะจิตที่แฝงฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา ให้ “สิ่งนั้น” ได้ตื่นขึ้นและเคลิบเคลิ้มไปตามอรรถรสของศิลปะนั้น ๆ สุดท้าย มันจะปลุกให้เราตื่นขึ้นมาพบเจอกับโลกแห่งความจริง หรือมันจะฝังเราให้จมดิ่งอยู่ในโลกแห่งความไม่เป็นจริงหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


สำหรับการที่มิลลี คุชแมน ได้จัดการวางแผนจะหม่ำเนื้อมนุษย์หมาป่าให้อิ่มเอมในเรื่องมนุษย์หมาป่า ของเจน ไรซ์ นั้น มีกระบวนการปลุกพลังเร้าใจคล้ายคลึงกับสไตล์ของกีย์ เดอ โมปาสซังต์ ก็ว่าได้ แต่เจน ไรซ์ ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการปลดแอกความซ้ำซากจำเจของผลงานแนวหักมุมแบบกีย์ เดอ โมปาสซังต์ไปได้ โดยเขียนให้หญิงสาวที่เคยถูกใช้ให้ตกเป็น “เหยื่อ” มาชั่วนาตาปี กลายเป็นผู้วางแผน “ล่า” เสียบ้าง นับว่าเป็นการใช้วิธีแบบเดียวกันเพื่อหักร้างความซ้ำซากจำเจแบบเดียวกันไปได้ ฉันถือว่าเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่บรรพบุรุษนักประพันธ์ของโลกเมื่อร้อยปีที่แล้วได้เบิกทางไว้อย่างสง่างามทีเดียว.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…