Skip to main content

นายยืนยง
 

พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง


รากเหง้าของเราเอง ที่กวีสร้างกระแสขึ้นมาในยุคนี้นั้น เป็นรากเหง้าที่กล่าวได้ว่า ไม่ใช่รากเหง้าที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนยุคก่อนอีกต่อไปแล้ว เพราะรากเหง้าเคยถูกเราหยามเหยียดว่าไร้สาระ ไร้อารยธรรมและไม่ทันสมัย เนื่องมาจากอิทธิพลของจักรวรรดิอเมริกา แนวคิดอย่างโลกตะวันตก และลัทธิทุนนิยมที่กล่อมเกลาเราให้ดูชาญฉลาดขึ้นกว่าเดิม แต่ รากเหง้าของเราเอง ได้เกิดการผสมผสานเป็นโลกทัศน์ใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะตัวหรือในเชิงปัจเจกมากขึ้น มีการสร้างสรรค์ลีลา ท่วงทำนองของกวีนิพนธ์ขึ้นใหม่อย่างหลากหลาย มีการกล่าวถึงปรัชญาทั้งตะวันตก ปรัชญาตะวันออก หรือปรัชญาตะวันตกที่โน้มมาสู่ตะวันออก อย่างกว้างขวางจนน่าทึ่ง

ในส่วนของผู้อ่าน การจะเข้าถึงกวีนิพนธ์ในแง่ที่เป็นสุนทรียรสของกวีนิพนธ์หรือเข้าถึงปรัชญาที่กวีนิพนธ์พูดถึงนั้น เป็นเรื่องที่ผู้อ่านน่าจะให้ความสนใจ เพื่อปกป้องตัวเองจากการตกหลุมพรางของกวี จากอาการลุ่มหลงงมงายปรัชญาจนกลายเป็นผู้อ่านแสนเฟอะฟะแห่งยุคสมัยไป


ดังนั้น จะเป็นการดีไหมถ้าหากเราจะมาดูกันว่า กวีนิพนธ์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพื่อนำมันร่วมพิจารณากับ
สาร ซึ่งก็คือ ปรัชญาต่าง ๆ ที่กวีนิพนธ์พูดถึง

การเกิดขึ้นของกวีนิพนธ์ ในที่นี้ขอตั้งสมมุติฐานไว้ 2 ข้อ ดังนี้

1.กวีรู้สึกเป็นมโนภาพ คือ ความรู้สึก นึก คิด จินตนาการของกวี เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นโดยไร้ถ้อยคำหรือภาษา เป็นความอิ่มเอมชั่ววูบหนึ่งที่ซ่านซึ้งใจ ซึ่งกวีต้องการสื่อสารไปถึงผู้อ่าน ด้วยการพรรณนาผ่านภาษากวีออกมา เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ทางอารมณ์ของกวี

ข้อนี้ถือเป็นวิวัฒนาการทางภาษา เป็นการแตกหน่อเติบโตทางภาษา กล่าวคือ เมื่อพบสภาวะอย่างใหม่อันหนึ่งแล้วต้องการถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด จำเป็นต้องมีการสร้างคำขึ้นมาใช้ใหม่ สร้างสำนวนโวหาร มีการเปรียบเทียบเปรียบเปรย และเมื่อมีการพบสภาวะอย่างใหม่ขึ้นอีก สำนวนโวหารอย่างเดิมกลับใช้ไม่ได้ ต้องมีการสร้างขึ้นใหม่อีกเรื่อยไป เช่นนี้ เราจึงต้องขอบคุณกวีที่ได้สร้างสรรค์ถ้อยคำภาษาให้เราได้ใช้กันอย่างถึงใจ


กวีเป็นดั่งคลังของถ้อยคำทีเดียว


2.กวีรู้สึกเป็นภาษา คือ กวีรู้สึก นึก คิดหรือจินตนาการเป็นภาษา ต้องแยกเป็น 2 ข้อย่อยกันอีก คือ

- คิดออกมาตามกลไกของภาษา เหมือนอย่างที่เราคุ้นเคยกับคำว่า กลอนพาไป คือ กวีจะรู้สึก จะคิดอะไรสะระตะไปตามความหมายของภาษาที่ถูกใช้กันอย่างคุ้นเคยในสังคม การเกิดขึ้นของกวีนิพนธ์แบบนี้ ไม่ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์อะไรมากมาย เพราะกวีจะไม่สามารถคิดอะไรใหม่ ๆ ภายใต้กลไกของภาษาที่อยู่ภายใต้บริบททางสังคม เช่น ถ้าเรารู้สึกถึงความทุกข์ที่เป็นคำว่า ทุกข์ มาก่อน ถ้อยคำที่เกี่ยวกับ ทุกข์ ก็จะถูกสมองดึงออกมาใช้งานเพื่ออธิบาย ทุกข์ ของเราหรือเพื่อปรุงแต่งทุกข์ของเรา แน่นอนว่า ถ้าระบบคิดของเราเป็นไปตามกลไกของภาษาตามความเคยชิน เราก็จะได้ถ้อยคำที่มีทั้งเป็นไปทางเดียวกันกับ ทุกข์ เช่น เศร้า โศก น้ำตา เลือด ความตาย หรือไปในทางตรงข้าม เช่น สุข พอใจ ดีใจ

เรียกว่า ให้ภาษาเป็นตัวชี้นำความคิด ความรู้สึก จินตนาการของเรา


- คิดออกมารวดเดียวพร้อมกับภาษาเป็นอัตโนมัติ โดยเฉพาะกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ กวีจะคิดออกมาเป็นกลอน เป็นกาพย์ โคลง หรือในกลอนเปล่า ที่ไร้ฉันทลักษณ์เป็นตัวกำหนด ก็สามารถคิดออกมารวดเดียวได้เช่นกัน ซึ่งข้อนี้เห็นว่ากวีต้องมีการฝึกปรือจนชำนาญทั้งเรื่องของการใช้ภาษาและมุมมองที่แจ่มชัด

หากจะอธิบายเป็นขั้นตอน อาจกล่าวได้ว่า เป็นความลงตัวพอดีระหว่างอารมณ์ ภาษา เหมือนการที่เราไปมองเห็น สัมผัสกับจุดสัมผัสนั้นได้พอดี สภาวะดังกล่าวจึงถูกถ่ายทอดมาพร้อมกัน สมมุติว่าถ้า
(1) คือ ความรู้สึกที่ไหลเวียนอยู่ และ (2) คือฉันทลักษณ์ที่ไหลเวียนอยู่ ถ้า(1)กับ(2) เคลื่อนไหลมาสัมผัสกัน ณ จุดหนึ่ง แล้วกวีไปมองเห็นจุดสัมผัสนั้น การถ่ายทอดจึงเป็นรวบเป็นขั้นตอนเดียวอย่างสมบูรณ์ในตัวเอง


จากสมมุติฐานข้างต้น เราน่าจะลองกล่าวถึง
สาร ที่กวีต้องการถ่ายทอดสู่ผู้อ่าน ว่าเป็น สาร ที่ถือกำเนิดขึ้นจากมโนภาพหรือจากโครงสร้างทางภาษา เพื่อจะสรุปว่า กวีนิพนธ์ที่กวีเขียนขึ้นจากมโนภาพกับจากโครงสร้างทางภาษา มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง หลังจากนั้น เราอาจจะมองเห็นชัดขึ้นว่า 
กวีนิพนธ์แนวพุทธธรรมควรจะถูกอ่านแบบไหน ระหว่างการอ่านที่ยึดอิงกับหลักพุทธธรรม กับแบบที่อ่านเอาสุนทรียรสของกวีนิพนธ์


เมื่อลองย้อนกลับไปอ่านกวีนิพนธ์แนวพุทธธรรมในอดีต เราจะเห็นท่าทีแบบเทศนาอย่างตรงไปตรงมา หรือในรูปของสุภาษิต คำพังเพย แต่ในปัจจุบันกวีนิพนธ์ไม่อาจใช้วิธีการเทศนาแบบตรงไปตรงมาเช่นอดีตได้อีกแล้ว

หากยกหลักการเกิดปัญญาตามหลักธรรม พระพุทธเจ้าทรงแบ่งปัญญาออกเป็น 3 ระดับ

1.จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการคิด

2.สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการเรียน

3.ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการหยั่งรู้ ซึ่งปัญญาในระดับนี้เกิดจากการหยั่งรู้ได้ด้วยตนเอง มิอาจบอกกล่าวแก่กันได้ ต้องทดลองค้นพบด้วยตนเองเท่านั้น

นอกจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้ทรงแบ่งความรู้ออกเป็น 2 อย่าง คือ

1.ความรู้แบบมีเหตุมีผลทางตรรกศาสตร์ หรือวิธีคิดเป็นเส้นตรง

2.ความรู้แบบหยั่งรู้ คือ เกิดจากการเข้าถึงความเป็นจริงโดยไม่ต้องคิด เพียงแต่ไปขยายกำลังของสติสัมปชัญญะ เมื่อสติมีกำลังเข้มแข็งขึ้น การหยั่งรู้จึงเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

จะเห็นได้ว่าหลักการของพระพุทธเจ้าในการจะเกิดความรู้และปัญญานั้น ในระดับสูงสุดล้วนเป็นการหยั่งรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่วิธีการรู้ด้วยการบอกกล่าว ซึ่งหากกวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรมต้องการส่งสารแห่งการหยั่งรู้ไปสู่ผู้อ่าน กวีนิพนธ์จะเป็นอะไรได้?


น่าสังเกตอีกไหมว่า สภาวะของการหยั่งรู้นั้นเป็นบ่อเกิดของปัญญา ซึ่งกวีเองก็ต้องมีสภาวะเฉียบพลันดังกล่าวในการที่จะสร้างสรรค์กวีนิพนธ์เช่นเดียวกัน ต่างแต่ว่า พระพุทธเจ้าบอกว่าสภาวะของการหยั่งรู้นั้นถ่ายทอดกันไม่ได้ แต่สำหรับกวี สภาวะหยั่งรู้ต้องมีการถ่ายทอดออกมา จึงจะมีบทกวีเกิดขึ้น


ฉะนั้นปลายทางของการหยั่งรู้ในทางพุทธ กับในทางกวีนิพนธ์ จึงเป็นไปในทางตรงกันข้าม ซึ่งไม่ได้หมายความว่า การอธิบายถึงสภาวะการหยั่งรู้ในกวีนิพนธ์เป็นเรื่องไม่ถูก

นอกจากนั้น กวีนิพนธ์ที่เกิดขึ้นจากการที่กวีรู้สึกเป็นภาษา คิดออกมาตามกลไกของภาษา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ยิ่งจะไม่สามารถถ่ายทอดสภาวะของการหยั่งรู้ในหลักพุทธธรรมได้เลย เพราะกวีไม่ได้เกิดมีสภาวะหยั่งรู้ขึ้นก่อน ก็เท่ากับว่า กวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรมก็เป็นได้เพียง
คำกลอน เล่าเรื่องพระไตรปิฎก

นั่นคือเรื่องของ
สาร แต่หากเราจะมาดูกันในแง่ของ การสื่อสาร กวีนิพนธ์ยังสื่อสารผ่านภาษา ต้องผ่านการตีความโดยตัวกวีอีกด้วย ฉะนั้น หากกวีเป็นผู้สื่อสารแห่งพุทธธรรมตามพระไตรปิฏกแล้ว กระบวนการดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการนำพุทธชาดกมาเล่าใหม่ผ่านบริบทของสังคมปัจจุบันเท่านั้นหรือ หรือแม้แต่การนำศัพท์แสงทางพุทธธรรมต่าง ๆ มาตีความ อธิบายเพื่อสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมนั้น ก็เท่ากับว่า กวีนิพนธ์ก็อาจจะเป็นเพียงภาษาของการขยายความตามพระไตรปิฎกเท่านั้น

ขณะที่พระไตรปิฎกยังเป็นฉบับเดิม คือเป็นการเทศนาแบบตรงไปตรงมา แต่กวีนิพนธ์กลับไม่อาจเทศนาแบบนั้นได้  ดังนั้นพุทธธรรมที่ถูกพูดผ่านกวีนิพนธ์ จึงเป็นพุทธธรรมที่ถูกตีความโดยตัวกวี ซึ่งเหมือนกับการตีความผ่านนักเขียนแนวธรรมทั้งหลาย ทำให้
สาร ที่ได้ไม่มีความแตกต่างจากหนังสือแนวธรรมะที่วางขายอยู่เต็มตลาด จะมีก็แต่ความประทับใจแรกที่อาจเป็นแค่ภาพลวงตาหรือหลุมพรางเท่านั้นเอง

การถ่ายทอดพุทธธรรมที่ผ่านการตีความและถ่ายทอดในแบบของกวีนิพนธ์โดยกวีนั้น หากมีข้อคลาดเคลื่อน


นอกจากนี้ การปรากฏขึ้นของ
ใบหน้ากวี ตามสื่อต่าง ๆ สู่สาธารณชน อาจทำให้ดูเป็นเหมือนเป็นการแสดงตัวที่ให้ความรู้สึกขรึมขลังศักดิ์สิทธิ์แก่บทกวี

และที่สำคัญ ผู้อ่านจะไม่สามารถอ่านแบบที่ยึดอิงกับหลักพุทธธรรมได้ เพราะกวีไม่ได้เกิดสภาวะการหยั่งรู้ขึ้นก่อน หรือถึงแม้นว่า กวีจะเกิดสภาวะการหยั่งรู้ขึ้นก่อน ในทางพุทธก็ไม่สามารถถ่ายทอดสู่กันได้อีกด้วย


ดังนั้นกวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรม จึงเป็นเพียงเปลือกนอกที่สร้างขึ้นจากกลไกของภาษาเท่านั้น และผู้อ่านก็ไม่ควรตกหลุมพรางของกวีที่ได้สร้างความประทับใจแรกด้วยการเอา
ป้าย พุทธธรรมมาติดโชว์ในกวีนิพนธ์

สำหรับผู้อ่าน เราควรอ่านพุทธธรรมด้วยวิธีการเรียนรู้ของพุทธธรรม ที่มีลำดับขั้นตอนสุดท้ายเป็นการหยั่งรู้ด้วยตนเอง แต่เราควรอ่านกวีนิพนธ์ที่พูดถึงพุทธธรรมเพื่อเสพเอาสุนทรียรสทางภาษามากกว่า นอกจากนี้กวีนิพนธ์ที่อธิบายถึงสภาวะการหยั่งรู้ได้หมดจด ก็ยังมีให้อ่านอีกมากมาย โดยไม่ต้องหลงยึดกับหลุมพรางใด ๆ


เพราะหากกวีต้องการให้กวีนิพนธ์ไปใช้ประโยชน์อื่นนอกเหนือจากสุนทรียรสแล้ว กวีนิพนธ์ต้องสร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาให้สำเร็จ ถ้ามัวหลงจำแลงภาพที่งดงามเกินกว่าที่เป็นจริง ไร้กฎเกณฑ์เกินกว่าที่เป็นจริง และลื่นไหลเกินกว่าที่เป็นจริงแล้ว พุทธธรรมในกวีนิพนธ์ก็เป็นเพียงเครื่องมือไร้ประสิทธิภาพที่กวีหลับหูหลับตาหยิบฉวยมาใช้งานเท่านั้นเอง.

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…