Skip to main content

นายยืนยง

20080317 ภาพปก รายงานจากหมู่บ้าน

ชื่อหนังสือ       :    รายงานจากหมู่บ้าน       
ประเภท         :    กวีนิพนธ์     
ผู้เขียน         :    กานติ ณ ศรัทธา    
จัดพิมพ์โดย     :    สำนักพิมพ์ใบไม้ผลิ
พิมพ์ครั้งแรก      :    มีนาคม  พ.ศ. ๒๕๕๐
เขียนบทวิจารณ์     :    นายยืนยง

ขณะกระแสบริโภคนิยมตกเป็นจำเลยสำคัญของสังคมปัจจุบันในสายตาของหลายกลุ่มคนโดยเฉพาะกับเหล่ากวีนักเขียน และกระแสวิถีพอเพียงประกบติดหน้าจอโทรทัศน์ในเม็ดเงินซื้อค่าโฆษณาอย่างแพง... และขณะลมหายใจแปรสภาพเป็นต้นทุนชีวิตในค่าเช่าบ้าน  และ..และ หลายชีวิตนิยมทุนตกเป็นต้นทุนให้สินค้าแทบทุกชนิดโดยเผลอลืมไปเสียสนิท

กระแสบริโภคนิยมเป็นผู้ร้ายจริงหรือ??  

แต่...กวีนิพนธ์  รายงานจากหมู่บ้าน เล่มใหม่เอี่ยมของ กานติ ณ ศรัทธาได้เกริ่นกับเราไว้ว่า ความงามและความอัปลักษณ์แห่งวิถีมนุษย์ในกระแสบริโภคนิยมไปแล้ว  นั่นย่อมทำให้นิ่งนอนใจได้ว่า กวีนิพนธ์ในนามของกานติกำลังจะถอนคำสาปส่งทุนนิยมไปครึ่งหนึ่ง  แต่จะเป็นเช่นคำโฆษณาบนหน้าปกหนังสือเล่มนี้หรือไม่... เชิญอ่านคำแนะนำข้างกล่องต่อไป...

ไม่ต้องสังเกตเลยก็จะพบได้ว่า ปัจจุบันแทบทุกสิ่งมีราคาขาย หากไม่ประทับให้เห็นกันชัด ๆ อยู่ก็ซ่อนไว้ในห้องนอนของเรา เช่นค่าเช่าบ้าน เป็นต้น  และในกวีนิพนธ์ชื่อเล่มรายงานจากหมู่บ้านบอกเราว่า แม้นกระทั่งผู้คนในหมู่บ้านพร้าญี่ปุ่นอันเป็นฉากหน้าของเล่มนี้ ยังรู้จักสร้างอรรถประโยชน์ให้กับทรัพยากรในท้องถิ่นได้อย่างดีเยี่ยม โดยกานติบอกเราผ่านน้ำเสียงหวงแหนและโหยหาอยู่ในบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ที่ชื่อว่า เงาะโบราณ(น.๕๙) โดยบรรยายความเป็นมาของเงาะต้นนี้  ว่าเป็นดั่งจิตวิญญาณของบรรพบุรุษ ทั้งหยาดเหงื่อที่หลั่งไหลอยู่ในนั้น ลักษณะการบอกเล่าเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างอรรถประโยชน์ให้แก่ต้นเงาะโบราณเพื่อให้ในการแข่งขันในตลาดบริโภคได้ด้วย เนื่องว่าหนังสือกวีนิพนธ์เล่มนี้ก็มีราคาขาย

ครั้นแล้ว ลองแกะกล่องสำรวจดูทีว่าผลิตภัณฑ์กวีนิพนธ์เล่มนี้มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง

ประการแรกสำคัญตรงที่ความโดดเด่นในฝีมือการเขียนภายใต้รูปกรอบของฉันทลักษณ์  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลอนสุภาพ ขณะโคลงสี่สุภาพในบทไหว้ครู บิดามารดานั้น ชั้นเชิงก็สมค่ากับประสบการณ์ที่สั่งสมเคี่ยวกรำอย่างยาวนานกว่ายี่สิบปี  ดังบท แม่(น.๑๖)

            (๑) คือแสงสวรรค์สาดส่องฟ้า    อำไพ
            คือเด่นดาวพราวใส        สุดซึ้ง
            คือเมฆแต่งเรืองไร        เริงร่าย
            คือหยดหวานดังผึ้ง        เก็บน้ำเกสร ฯลฯ


เป็นความรู้สึกเรียบง่ายแต่ล้ำลึกด้วยการเลือกใช้คำธรรมดาทั่วไป แต่เปรียบเทียบได้บริสุทธิ์ ล้ำลึก และหมดจด  

เมื่อบวกเข้ากับชั้นเชิงการใช้อุปมาโวหารเพื่อเชื่อมโยงทัศนคติระหว่างกวีกับผู้อ่าน ให้สื่อสารได้ชัดเจนเต็มความรู้สึก กานติยิ่งเขียนได้โดดเด่นในคุณลักษณะข้อนี้  โดยเฉพาะจากบทที่ชื่อ อาหารของเด็ก ๆ (น.๓๔)

                นานมาแล้วชมพู่คู่เด็กน้อย        
            เหมือนเมฆลอยเริงร่าคู่ฟ้าใส
            ไม่ทันสุกเก็บสิ้นแย่งกินไป        
            นี่สุกแล้วเหตุไรไม่เหลียวมอง
                ไม่เพียงชมพู่เขียวเปล่าเปลี่ยวนัก        
            ยัง “ลูกหว้า”ว่ารักไม่สาดส่อง
            “ลูกขบ”ขบปัญหาน้ำตานอง        
            “ลูกไฟ”ร้องว่าไฟไหม้โลกแล้ว ...

ซึ่งบทลักษณะเดียวกันนี้มีอยู่หลายบททีเดียว และเปรียบเทียบได้ภาพพจน์ชัดเจนอีกด้วย อีกทั้งการเลือกใช้สัญลักษณ์ให้เหมาะสมกับสภาวะอารมณ์ร่วมสมัย กานติก็เป็นกวีผู้สามารถในข้อพิจารณานี้  ขณะเดียวกันทำนองการเขียนที่ตรงไปตรงมา กระชับแต่ชัดถ้อยชัดคำที่ปรากฏในแทบทุกบทตอน ยังเอื้อให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงเนื้อสาระ อารมณ์ ทัศนคติของกวีได้อย่างง่ายดาย

รวมถึงน้ำเสียงอย่างประชด เหน็บแนม ในแนวถนัดของเขาก็มีให้อ่านแบบเจ็บคันนิด ๆ จากบทชื่อ นครศรีธรรมราช ๒ ขัตตุคาม-รามเทพ, หอกระจายข่าว, ยุคเปลือย, บ่อนไก่, งานศพ ฯลฯ เรียกว่ามีให้แสบใจเล่น ๆ จนเพียบแปล้

ทั้งนี้ หากผู้อ่านต้องการจะขบคิดหรือชอบสนุกในการตีความจากกวีนิพนธ์  อาจรำพึงว่า นี่เป็นกวีนิพนธ์สำหรับเยาวชนหรือกระไรกัน !  ในทางตรงข้าม สิ่งที่จะติดตรึงไปกับใจผู้อ่านก็คือเนื้อสาระ ซึ่งเป็นข้อพิจารณาประการที่สอง

ลักษณะการบอกเล่าเนื้อสาระผ่านกวีนิพนธ์ของกานติที่พยายามสร้างแรงกระทบใจต่อผู้อ่านเป็นฉากแรกนั้น  ได้อาศัยกลวิธีการวางโครงเรื่องอย่างเรื่องสั้น โดยเน้นไปในแนวโศกนาฎกรรม หรือแบบขันขื่น เช่นบท พร้าญี่ปุ่น(น.๔๘)  ที่อาศัยอุปลักษณ์โวหารทำให้สะดุดใจแต่แรกสัมผัส
        
                 คำเรียกเครื่องตัดหญ้า “พร้าญี่ปุ่น”    
            แบบมีดหมุนเหมือนจักรนารายณ์ผัน
            สะพายเครื่องเดินตัดมหัศจรรย์        
            สรรพสิ่งขาดสะบั้นหั่นกระจุย
                เจอะขวดแก้วแตกเปรี้ยงเหมือนเสียงประทัด
            แก้วกระจายเกินขจัดวิบัติลุ่ย
            เจอะก้อนหินบินผางเป็นทางกรุย
            หรือมีดหักหมุนคุ้ยขึ้นเสียบคน
                ฯลฯ
                พร้าญี่ปุ่นเกรียงไกรในงานหนัก
            ถางสวนยางไม่กี่พักก็เสร็จทั่ว
            พร้าโบราณเหนื่อยพรั่นเนื้อสั่นรัว
            ถางจนกลัวงอกใหม่ไล่หลังมา
                จึงทุกสวนล้วนมีพร้าญี่ปุ่น
            เป็นจักรคุ้นพระนารายณ์ให้คุณค่า
            สวนเรียบเหมือนสนามกอล์ฟสวยรอบตา
            แม้บางรายจักรกล้าปาดขาพลัน  ฯลฯ

ถือเป็นบทที่ครบครัน ครบรส ทั้งอารมณ์ขัน-ขื่น กระทบใจ ให้แง่คิด แม้จะเชยเร่อร่าไปบ้างแต่ถือได้ว่าข้อดีอื่นได้กลบไปหมด ขณะเดียวกันก็มีข้อขัดข้องนิดหนึ่งตรงที่กานติใจร้อนจะใส่คำตำหนิติเตียนถึงข้อเสียของการเข้ามาของพร้าญี่ปุ่นด้วยอารมณ์เคร่งเครียดดุดัน โดยให้ภาพของผืนดินทำกินที่เสื่อมสภาพของธรรมชาติดั้งเดิมไปแล้ว อย่างพยายามจะสรุปจบด้วยวิธีหักมุม ซึ่งก็ไม่ได้เปิดทางออกของปัญหาไว้ นอกจากปิดประตูตีหัวใจผู้คนที่ตกเป็นจำเลยและผู้ถูกกระทำจากกระแสบริโภคนิยมอย่างกล้ำกลืนฝืนทน  ดังเช่นในบทดังกล่าว (น.๔๙-๕๐)
                

                    ผลไม้ป่า-กะทกรก, พร้าวนกคุ่ม
                ทั้งเล็บเหยี่ยวเกาะกลุ่มกันสูญหาย
                นานาพืชขาดพันธุ์ขั้นล้มละลาย
                นานาสัตว์กระจัดกระจายละลายล้ม
                    เหลือเพียงสัตว์พันธุ์ใหม่ในสวนหรู
                คือ “ทาก”ชูตัวส่ายคล้ายขู่ข่ม
                เกิดเพราะหญ้าเป็นใหญ่สมัยนิยม
                ตัดยางก้มปลดทากยุ่งยากนัก
                    ต้องฉีดยาฆ่าทากยุ่งยากใหญ่
                ปัญหาอยู่ที่ใดใครประจักษ์
                ที่เครื่องมือเครื่องไม้อันไร้รัก
                หรือที่ใจเป็นหลักอันไร้รู้
                    พร้าญี่ปุ่นเหมือนเลื่อยโซ่โผล่แทนขวาน
                ไม้ใหญ่ล้มแหลกลาญเห็นกันอยู่
                นี่ไม้ย่อยย่อยยับเกินนับดู
                หรือประตูพัฒนาจะปิดตาย.

หากพิจารณาโดยละเอียดจะเห็นถึงความตั้งใจของกานติที่พยายามจัดวางทัศนคติของตัวเองไว้ต่อผู้อ่าน โดยแสดงภาพความงามและอัปลักษณ์ไว้  ซึ่งสัดสวนนั้นจะหนักไปทางความอัปลักษณ์เสียมากกว่า  ขณะเดียวกันก็ได้วางบทที่อาจจะเรียกว่า ทางสายกลาง ไว้ในเล่ม ซึ่งก็เป็นส่วนกลาง ๆ ของเล่มเสียด้วย ในกลอนสุภาพชื่อ  ในวิถีของข้าพเจ้า (น.๕๔)

จะเห็นได้ชัดเจนว่ากานติพยายามอย่างยิ่งเพื่อจะแสดงให้ผู้อ่านร่วมรับรู้ไปกับวิถีกลาง ๆ ของเขาว่าช่างงามจับใจเพียงใด  เขาเคารพธรรมชาติอย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ แดดฉาย, น้ำค้างฉาน  หรือ ต้องหิ้วน้ำเดินฝ่าหญ้าบริสุทธิ์และ ขอโทษไม้ขอโทษหญ้าก่อนฆ่าฟัน แต่น่าสังเกตว่ากานติไม่อาจขจัดอารมณ์ฉุนเฉียวได้แม้ในบทที่เน้นน้ำหนักเนื้อสาระไปในแนวทางปฏิบัติภาวนา  โดยใช้หลักธรรมเยียวยาสภาวะใจให้ดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติดั้งเดิมได้อย่างสงบ  ดังเช่น  (น.๕๕)  

                อาหารเช้ามีสิ่งใดก็ใส่ท้อง        
            ปลอบประคองชีวิตจ๋าอย่าร้องไห้
            กินเพื่อเกิดเหมือนต้นไม้ทุกลายใบ    
            ใช่เกิดเพื่อกินไปเหมือนคนโกง  
                อาจบางเช้าภาวนาสมาธิ            
            นั่งตรองตริ “อนิจจัง”หวังจิตโล่ง
            โลกภายนอก, ภายใจไหลเชื่อมโยง    
            เห็นฟ้าโปร่งว่าไร้ฟ้าทุกคราคราว
                     ฯลฯ

ซึ่งอารมณ์กระทบที่โดดออกมาในลักษณะเดียวกันนี้ ก่อให้เกิดความขัดแย้งในใจผู้อ่านทันที และมีให้เห็นอยู่อย่างชัดเจน จริงจังในหลายบทพอสมควร

ถ้าหากจะเรียก รายงานจากหมู่บ้านว่าเป็นกวีนิพนธ์เพื่อวิพากษ์สังคมทุนนิยมและการก้าวล่วงเข้าสู่วิถีชีวิตผู้คนในหมู่บ้านของกระแสบริโภคนิยมคงไม่ผิด  แต่หากจะผิดก็คงเพราะสภาวะสังคมทุกวันนี้ซับซ้อน ละเอียดอ่อนมากเหลือเกิน ทั้งในแง่หลักการและห้วงจิตใจของมนุษย์ ทางเลือกของกานติที่เสมือนได้บอกกล่าวแก่ผู้อ่านนั้นก็คือทางสายกลางของพระพุทธเจ้าที่เราเรียกรู้กันมาแสนนานแล้วนั่นเอง

ต่อประเด็นที่เกี่ยวเนื่องนั้น จะเห็นได้ว่า ลักษณะการวางบทบาทระหว่างตัวกวีกับผู้อ่านนั้น จะอยู่ในรูปแบบของการเทศนา เสมือนหนึ่งกวีได้นั่งอยู่บนตั่งสูงกว่าผู้อ่าน และทอดสายตาแห่งแสงธรรมลงมา ซ้ำระยะห่างนั้นก็ไม่ได้เหลื่อมล้ำกันมาก ก็เพราะว่ากานติพยายามจะบอกผู้อ่านว่า เขาได้เทศนาในสิ่งที่เขาดำรงอยู่ในโลกทุนนิยม ท่ามกลางกระแสบริโภคเต็มขั้น โดยมีวิถีชีวิตอันสงบ ปลดปลงแล้ว  แต่สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือในน้ำเสียงปลดปลงนั้น เป็นความขัดแย้งอย่างร้ายแรงที่บรรยายผ่านกวีนิพนธ์หลายต่อบทในเล่มนี้

แม้นความขัดแย้งจะปรากฏเป็นจุดกระจายอยู่ทั้งเล่ม  ก็ถือเป็นคุณต่อผู้อ่านได้เช่นกัน  เพราะในเมื่อกานติมีวิถีของเขาเอง  เรา ”ผู้อ่าน”ก็ย่อมมีวิถีของเรา ...  ติดเพียงว่า ใครจะเลือกใช้คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์กวีนิพนธ์ “รายงานจากหมู่บ้าน”หรือไม่เท่านั้น  หากใครปรารถนาถึงชั้นเชิงทางฉันทลักษณ์ โคลงกลอน กานติได้รายงานคุณภาพให้เต็มกล่อง  แต่หากต้องการเนื้อสาระที่แปลกใหม่อาจผิดหวังสักหน่อยแล้ว  

ทั้งนี้แม้นกวีนิพนธ์จะมีติดราคาขาย มีต้นทุน และต้องอาศัยแผนการตลาดเพื่อให้หนังสือถึงมือผู้อ่านดังเช่นสินค้าประเภทอื่น  แต่กวีนิพนธ์มีคุณค่าสำคัญอยู่ตรงมิตรภาพทางใจและความรับผิดชอบในอารมณ์ร่วมกันระหว่างกวีและผู้อ่าน ซึ่งถือเป็นมูลค่าที่ปราศจากข้อจำกัดทั้งจากราคาหน้าปกและดัชนีชี้วัดความเติบโตทางเศรษฐกิจ.

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…