Skip to main content

ชาญณรงค์ บุญหนุน 
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร


ภาพประกอบจาก http://www.horajan.com/konhangkom.html

พุทธศาสนาสอน “กฎแห่งกรรม” ปัจจุบันชาวพุทธก็ถูกย้ำเตือนเสมอว่าให้ “ศรัทธา” (เชื่อ) ในกรรมและผลของกรรม ให้เชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมีกรรมเป็นของตน ตามนัยนี้พุทธศาสนาเชื่อว่า จักรวาลนี้ มีกฎแห่งความยุติธรรม (Law of justice) คอยกำกับควบคุมพฤติกรรมทางศีลธรรมของมนุษย์ ภายใต้กฎนี้ มนุษย์มีพันธะ (obligation) ที่จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนที่แสดงออกมาทางกาย วาจา ใจ หากว่าพฤติกรรมเหล่านั้นมาจากเจตจำนงอันเป็นอิสระ ชาวพุทธเชื่อว่ากฎที่ว่านี้เป็นกฎภววิสัย เป็นเหตุเป็นผล เที่ยงธรรมและเป็นสากล

เมื่อพูดถึงความเชื่อ (ศรัทธา) พึงเข้าใจว่า คำว่า “เชื่อ” ในที่นี้มีความหมายในเชิงอภิปรัชญาและภววิทยาคือเชื่อว่า “สิ่งนี้มีอยู่จริง” โดยพุทธศาสนาสอนว่า กฎแห่งกรรมนั้นเป็นทั้งกฎธรรมชาติและกฎศีลธรรม ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายหรือบทบัญญัติที่มนุษย์กำหนดขึ้นใช้ในชีวิตประจำวัน กฎแห่งกรรมเป็นอาณาเขตของธรรมชาติที่มนุษย์จะแทรกแซงมิได้ ส่วนกฎหมายหรือกฎระเบียบอยู่ในอาณาเขตของมนุษย์ เป็น“สังคมนิยมน์”  [1] ที่มนุษย์จะตกลงกันเองได้ว่าต้องการอย่างไร เมื่อพูดถึงการให้ผลของกรรม (กรรมวิบาก) การให้ผลของกรรมก็จะดำเนินไปเองอย่างสมเหตุสมผล เป็นกลไกและไม่มีข้อผิดพลาด เป็นอิสระจากความคิด ความรู้และความเข้าใจของมนุษย์ ในแง่หนึ่ง “กฎแห่งกรรม” ตามความเชื่อนี้จะทำงานอย่างเร้นลับ ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิสัยของคนธรรมดา [2]

ในโลกนี้มีข้อเท็จจริงที่ชวนให้เกิดข้อน่าสงสัยมากมายเกี่ยวกับความมีอยู่จริงของกฎแห่งกรรม เช่น คนบางคนทำความชั่ว แต่ไม่เคยเห็นว่าเขาได้รับการลงโทษจากกฎแห่งกรรม ขณะที่คนดี ๆ เป็นจำนวนมากถูกกระทำหยามหมิ่นและตายอย่างไร้เกียรติ จนมีคำพูดทำนองว่า “ทำดี ได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” แต่พุทธศาสนาก็มีคำอธิบายเรื่องนี้ คำอธิบายที่ง่ายที่สุดแต่ก็ยังมีปัญหาถกเถียงได้คือ ผลกรรมที่บุคคลทำนั้นถ้าไม่ให้ผลในชาตินี้ก็จะให้ผลในชาติหน้า ถ้าไม่ให้ผลในชาติหน้าก็จะให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ตราบเท่าที่ยังมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมผู้กระทำกรรมจะได้รับผลของกรรมอย่างแน่นอน ผู้ทำดีจะได้รับรางวัล ผู้ทำชั่วจะได้รับการลงโทษ ผู้ที่ไม่ได้รับโทษหรือพ้นโทษ (อโหสิกรรม) ก็เฉพาะเมื่อไม่มีเหตุปัจจัยที่เหมาะสม หรือกรรมที่ทำไว้ได้ให้ผลจนหมดสิ้นแล้วเท่านั้น [3]

ในที่นี้มีข้อควรสังเกตบางประการคือ

หนึ่ง ความยุติธรรมตามกฎแห่งกรรมจะดำเนินไปเองโดยที่มนุษย์ไม่ต้องเข้าไปจัดการแทรกแซงหรือเรียกร้องเอาตามใจ เพราะเป็นกฎเกณฑ์และกลไกที่มีอานุภาพในตนเองเป็นอิสระจากมนุษย์  ดังนั้น ในแง่มุมหนึ่ง ผู้เชื่อในกฎแห่งกรรมจึงไว้วางใจ (ศรัทธา) ได้ว่า ตนจะได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน แม้จะไม่ต้องออกแรงกระทำการใด ๆ เลยเพื่อให้ได้มาซึ่งผลอันยุติธรรมแห่งการกระทำที่ตนได้ทำไว้แล้วนั้น  

สอง ความยุติธรรมตามกฎแห่งกรรมจะถูกรับรองหรือรับประกันด้วยคำสอนเรื่อง “ชาติภพ” หรือให้ตรงกว่านั้นคือ “คำสอนเรื่องการเกิดใหม่” ความยุติธรรมที่จะได้รับจึง “อาจ” สืบเนื่องยาวไกลจากชีวิตหนึ่งไปสู่ชีวิตหนึ่งในชาติภพต่อไป สถานะที่และเวลาของกรรมและผลของกรรมจะทอดยาวไปจนเราไม่อาจคำนวนได้ 

สาม มีความเป็นไปได้ที่ผู้กระทำกรรมบางชนิดจะไม่ได้รับกรรม (กลายเป็นอโหสิกรรม) เช่น องคุลีมาล ซึ่งกรรมคือการฆ่าคนจำนวนมากไม่อาจส่งผลกระทบอย่างเต็มที่เนื่องจากได้บวชและต่อมาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ กรรมบางชนิดโดยเฉพาะกรรมที่ทำด้วยเจตนาอ่อนมาก ๆ หากไม่มีปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่องอย่างเพียงพอก็อาจไม่มีผลในชาติหน้า หรือกรรมที่มีผลในชาติหน้าแต่จะไม่มีผลในชาติต่อ ๆ ไป ข้อนี้มีนัยว่าการอโหสิกรรมเป็นอำนาจหน้าที่ที่เกิดขึ้นภายในระบบของกรรมนั่นเอง กรรมจะจัดสรรความเหมาะควรให้แก่การกระทำ และมีความเป็นไปได้ที่ว่าเหตุปัจจัยหรือเงื่อนไขบางประการได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะไม่ทำให้กรรมบางชนิดบังเกิดผล  

โดยสรุป ตามความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เมื่อมนุษย์กระทำผิด การลงโทษ (วิบาก) และการอภัยโทษ (อโหสิกรรม) เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่มนุษย์ไม่อาจแทรกแซงได้ คำถามคือกรณีที่คน ๆ หนึ่งทำผิดต่อคนอีกคนหนึ่ง คนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำผิด (ผู้เสียหาย) จะสามารถอภัยโทษแก่ผู้กระทำผิดแก่ตนหรือไม่ กล่าวคือถ้าเราเป็นผู้เสียหาย เราจะอโหสิกรรมแก่ผู้กระทำผิดต่อเราได้หรือไม่ คำตอบนี้ง่าย ชาวพุทธจะถูกสอนให้เจริญเมตตาต่อผู้อื่นเสมอ ๆ  การเจริญเมตตาต่อผู้อื่นนั้นเป็นหนึ่งในการทำบุญ (ทาน ศีล ภาวนา) การเจริญเมตตาคือการสร้างความเป็นมิตรไมตรีต่อผู้อื่น พุทธศาสนาถือว่า มนุษย์ทุกคนต้องการสังคมที่ปลอดภัย ไม่ปรารถนาจะอยู่ในสังคมที่มีแต่การมุ่งร้ายเบียดเบียนกัน การอภัยต่อผู้กระทำผิดก็คือรูปธรรมของการแสดงความเมตตาที่เราจะพึงมีต่อผู้อื่นและควรทำ ผลของการอภัยโทษก็คือเราสามารถจะรักษาจิตใจของเราให้สงบร่มเย็นไม่ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธ พยาบาทอาฆาต ซึ่งจะผูกพันชีวิตของเราไว้ในการแค้นและการล้างแค้นไม่สิ้นสุด การอภัยโทษจึงเป็นการปลดปล่อยตัวเองจากบ่วงของกรรม อย่างไรก็ตาม การอภัยโทษของเราไม่ได้ช่วยปลอดปล่อยผู้อื่นให้พ้นไปจากความรับผิดชอบที่เขาจะพึงได้รับอย่างเหมาะสมตามกฎแห่งกรรม

ความคิดแบบนี้มีอิทธิพลต่อชาวพุทธมาก เวลาชาวพุทธพูดถึงการอภัยโทษโดยส่วนใหญ่แล้วก็มีเหตุผลเช่นนี้อยู่เบื้องหลัง แต่ตรรกะและการกระทำเช่นนี้ก็มีด้านลบที่ส่งผลต่อสังคมพุทธไม่น้อย คือส่งผลให้ชาวพุทธจำนวนมากเมินเฉยต่อการกระทำชั่วหรือความผิดที่เกิดขึ้นในสังคม ในขณะที่บางประเทศที่ไม่ได้นับถือพุทธ มีวัฒนธรรมและกฎหมายที่กำหนดให้พลเมืองมีหน้าที่พิทักษ์ความยุติธรรมโดยไปเป็นพยานต่อศาล แต่ในสังคมไทย เมื่อความซับซ้อนในเชิงกฎหมายและความซับซ้อนของอำนาจในสังคมก่อภาระยุ่งยากต่อระบบความยุติธรรม ชาวพุทธมักจะมีท่าทีเพิกเฉยไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในความยุ่งยากดังกล่าว นอกจากเพราะไม่ต้องการเปลืองตัวแล้ว (รักชีวิตของตนมากกว่าผู้อื่นหรือความยุติธรรมทางสังคม) ก็มีสาเหตุมาจากความเชื่อเรื่องการทำงานของกฎแห่งกรรมด้วย ด้านหนึ่งมาจากความเชื่อว่าผู้ถูกกระทำถูกกำหนดให้เป็นไปเช่นนี้เพราะกรรมในอดีต อีกด้านหนึ่งเพราะเชื่อว่ากรรมนั่นแหละจะช่วยจัดการคนที่กระทำผิดโดยที่มนุษย์ไม่ต้องลงมือเอง  ความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมมีผลให้เกิดความยับยั้งที่จะไม่ทวงถามหาความยุติธรรมหรือต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคมหรือแม้กระทั่งเพื่อตนเอง ความไม่ใยดีต่อผู้ได้รับผลกระทบต่อความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในสังคมเป็นผลตามมาจากการเชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้วคนชั่วก็จะได้รับผลชั่วอย่างเหมาะสมตามกรรมของเขาอย่างแน่นอน ปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลไปรับผลกรรมเอาในชาติหน้าหรือชาติอื่น ๆ ก็แล้วกัน

ว่าไปแล้ว การอภัยโทษหรือการอโหสิกรรมที่ชาวพุทธให้ความสนใจนั้นอาจเป็นผลดีในระดับความสัมพันธ์แบบปัจเจกเท่านั้น คือระหว่างผู้กระทำผิดกับผู้รับผลกระทบจากการกระทำผิดในฐานะคู่ความสัมพันธ์โดยตรง ผู้อภัยโทษจะได้ปลดปล่อยตนเองจากความอาฆาตมาดร้าย ซึ่งเป็นไปตามคำสอนในธรรมบทที่ว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” [4] ซึ่งแน่นอนว่าหากผู้รับการอภัยโทษได้ตระหนักถึงความผิดของตนและมีความละอายก็ย่อมจะช่วยให้เกิดการกลับใจได้  

ส่วนกรณีความชั่วร้ายซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นแก่เราโดยตรงหากแต่เกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม พุทธศาสนาจะยอมรับการอโหสิกรรมหรือการอภัยโทษหรือไม่ จะขอยกตัวอย่างจากองคุลิมาลสูตร [5] เมื่อพระเจ้าปัสเสนทิทรงรับสั่งให้กองทัพไปจับตายองคุลีมาลนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ทรงทำให้องคุลีมาลกลับใจและบวชในร่มเงาของพุทธศาสนา ดูเหมือนว่ากรณีนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงใส่ใจต่อชีวิตและความเจ็บปวดของผู้สูญเสีย เพราะกรณีนี้พระองคุลีมาลไม่ได้ถูกลงโทษจากรัฐในฐานะที่เป็นฆาตกร กลับได้รับอภัยโทษจากพระเจ้าปัสเสนทิโดยการแนะนำของพระพุทธเจ้า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างสิ้นเชิงเป็นเงื่อนไขสำคัญนำไปสู่การอภัยโทษของรัฐ แต่คนที่สูญเสียเองไม่ได้ยอมอภัยองคุลีมาลแก่องคุลีมาลเสียทีเดียว ซึ่งเมื่อท่านออกบิณฑบาตจึงต้องเผชิญกับการทำร้ายแสนสาหัสจากผู้ที่รังเกียจเคียดแค้น ในตอนนี้พระพุทธเจ้ากลับตรัสให้พระองคุลีมาลอดทนต่อความทุกข์ที่ได้รับเพราะนั่นเป็นผลของกรรมในอดีต 

อีกกรณีหนึ่งอยู่ในพระวินัยคือเรื่องพระฉันนะ (มหาดเล็กของเจ้าชายสิทธัตถะตอนหลังได้ออกบวช) เนื่องจากพระฉันนะเป็นคนหัวดื้อไม่ยอมรับการตักเตือนจากพระสงฆ์ ทั้งมองไม่เห็นความผิดที่ว่านี้  เมื่อภิกษุทั้งหลายเห็นว่าพระฉันนะไม่ใส่ใจต่อความผิดของตนจึงทูลปรึกษาพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงแนะนำให้สงฆ์ลงโทษพระฉันนะโดยการประกาศ อย่างเป็นทางการว่า หากสงฆ์ทั้งปวงเห็นพ้องต้องกันก็จะไม่สมคบกับพระฉันนะเนื่องจากเป็นคนหัวดื้อ เมื่อพระฉันนะเดินทางไปยังอารามต่าง ๆ ก็ถูกเมินเฉยไม่มีใครคบค้าสมาคม จึงมีสำนึกผิด ยอมพิจารณาตรวจสอบความผิดของตน แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้สงฆ์ประกาศรับพระฉันนะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสงฆ์อีกครั้ง สงฆ์ได้ให้อภัยต่อพระฉันนะเมื่อท่านได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนและยอมปลงอาบัติ [6]

สองเรื่องที่นำมาเล่านี้มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการอภัยโทษ พุทธศาสนายอมรับว่าการอภัยโทษนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ การอภัยนั้นอาจไปถึงระดับที่ว่าไม่ต้องรับโทษใด ๆ อันเนื่องจากการกระทำผิดนั้นเช่นกรณีขององคุลีมาล ทั้งนี้เนื่องจากพุทธศาสนาเห็นว่าการลงโทษเพื่อเป็นการแก้แค้นกรณีนี้นั้นไม่ได้มีผลดีแต่ประการใด อนึ่ง การให้อภัยโทษแก่ผู้กระทำผิดนั้นสืบเนื่องมาจากมุมมองของพุทธศาสนาที่ว่า มนุษย์ทุกคนอาจถูกกิเลสตัณหาทำให้อ่อนแอและกระทำผิด พูดง่าย ๆ ว่าทุกคนมีโอกาสทำความผิดพลาดได้ทั้งนั้น กรณีนี้การอภัยโทษสืบเนื่องมาจากการยอมรับความอ่อนแอทางด้านจิตใจของมนุษย์ว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป เช่นเดียวกันในแง่มุมของมหายาน การอภัยโทษนั้นเป็นผลมาจากการตระหนักว่าทุกคนล้วนมีพุทธภาวะแต่อาจทำผิดได้เพราะกิเลสตัณหาต่าง ๆ ครอบงำ [7] นอกจากนี้ การอภัยโทษแก่ผู้กระทำผิดนั้นยังมาจากการที่พุทธศาสนามองว่าทุกคนเป็นผู้ร่วมทุกข์ในวัฎสงสาร   ในฉากเรื่องเล่าที่มีการขอโทษและอภัยโทษแก่กัน ผู้ที่ยอมอภัยโทษมักจะกล่าวทำนองว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเราหรือของท่าน หากแต่เป็นโทษของวัฏสงสาร” [8] เบื้องหลังการให้อภัยในพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่อง “ความเมตตากรุณา” ต่อผู้อื่นในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ในวัฎสงสารหาใช่เป็นเรื่องการปลดเปลื้องตัวเองจากพันธนาการของกรรมเพียงประการเดียวไม่

แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่ากรณีองคุลีมาลนั้น พระพุทธเจ้ายังทรงเห็นว่าองคุลีมาลจะต้องยอมรับโทษอันเนื่องจากกฎแห่งกรรม (การประชาทัณฑ์ของชาวบ้านที่เกิดขึ้นเพราะความโกรธแค้นในที่นี้ถูกถือว่าเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม) ข้อนี้สะท้อนให้เห็นว่าการอภัยโทษของรัฐหรือของบุคคลเป็นอีกเรื่องหนึ่งการรับผลตามกฎแห่งกรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนกรณีของพระฉันนะนั้น ไม่มีเรื่องเล่าตอนไหนแสดงให้เห็นว่าควรจะปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรม หากแต่พระพุทธเจ้าทรงยกให้เป็นเรื่องของสังคม (สงฆ์) ที่จะต้องดำเนินการทั้งในแง่การกล่าวโทษ การลงโทษและการอภัยโทษ ดูเหมือนว่าพอเป็นเรื่องของสังคม พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้พระสงฆ์ต้องเอาธุระในการจัดการให้เรียบร้อยทั้งในแง่การลงโทษและการอภัยโทษทั้งนี้เพื่อพระสงฆ์จะสามารถดำเนินไปได้ด้วยความผาสุก

การอภัยโทษตามแนวพุทธศาสนาอาจมีรายละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ ในที่นี้มีข้อสังเกตเบื้องต้นว่า เมื่อความผิดเกิดขึ้นในระดับปัจเจกบุคคลนั้น “ดูเหมือนว่า” ชาวพุทธอาจอภัยโทษโดยที่ยังไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำความผิดนั้น ๆ ได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากผู้ได้รับผลกระทบไม่ปรารถนาจะผูกพันเป็นเวรต่อผู้กระทำผิด ทั้งเชื่อมั่นว่ากฎแห่งกรรมจะทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรงและเชื่อว่าผู้กระทำผิดก็จะได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน การอภัยโทษเช่นนี้มีตัวอย่างในคัมภีร์หรือตำนานทางพุทธศาสนารองรับหรือไม่ก็ยังเป็นที่สงสัยอยู่ (ฝากท่านผู้รู้และผู้สนใจช่วยพิจารณาด้วย) แต่จากเรื่องเล่าบางเรื่องในธรรมบท การอภัยโทษระหว่างปัจเจกบุคคลมักจะดำเนินไปเมื่อความผิดและผู้การกระทำผิดปรากฏอย่างชัดแจ้งแล้ว ฝ่ายหนึ่งรู้จักตัวของผู้กระทำผิด อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้ความเสียหายและความเดือดร้อนของผู้ถูกละเมิด เกิดความสำนึกผิดและขอภัยโทษ (บางครั้งในคำว่าขอขมาโทษ-ขอให้อดโทษ) กรณีนี้ผู้เสียหายจะให้อภัย และมักจะปรากฏว่าพุทธศาสนาเรียกร้องให้ผู้กระทำผิดต้องชดเชยความผิดของตนด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กรณีการผู้เวรระหว่างกุลธิดาคนหนึ่งกับนางยักษ์ในอรรถกถาธรรมบท

การอภัยโทษที่พบจากพระวินัยนั้นก็เช่นเดียวกัน คือการอภัยโทษไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยที่ยังไม่สามารถระบุความผิด ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิดและโทษทัณฑ์ที่พึงได้รับคืออะไร ที่สำคัญคือ การอภัยโทษเกิดขึ้นหลังจากผู้กระทำผิดได้สำนึกในความผิดของตนและตระหนักว่าตนมีภาระหน้าที่ที่จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น เช่น กรณีองคุลีมาลคือได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นไปอย่างสิ้นเชิงแล้วด้วยเหตุว่ามีความสำนึกผิดอย่างแท้จริงในการกระทำของตน หรือถ้าเป็นโทษหนัก ก็มีภาระที่ต้องรับการลงโทษบางอย่างเพื่อเป็นการฟื้นฟูความบริสุทธิ์ของผู้กระทำความผิดนั้นเอง ก่อนจะได้รับการอภัยจากหมู่คณะ แต่ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม อย่างน้อยที่สุด การอภัยโทษ (การรับเข้าหมู่สงฆ์) ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่อาจระบุได้ว่าใครทำความผิดและมีการยอมรับความผิด [9]

อาจกล่าวได้ว่าการอภัยโทษภายใต้ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผลที่ยอมรับความยุติธรรมตามกฎสากลโดยที่ยังไม่มีการระบุตัวผู้กระทำผิดและมีการยอมรับความผิดของผู้กระทำผิด แต่การอภัยโทษในลักษณะที่ “ไม่รู้” แม้กระทั่งว่าคนผิดเป็นใครนั้น อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลดีแต่ประการใดทั้งแก่ปัจเจกบุคคลและแก่สังคม เพราะไม่ได้ทำให้เกิดการกล่อมเกลาทางศีลธรรม (Moral education) กล่าวคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม น่าจะกล่าวได้ว่า การลงโทษและการตระหนักในความผิดโดยแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และเกิดการตระหนักรู้ในความรับผิดชอบทางศีลธรรมแก่ผู้กระทำความผิดอย่างแท้จริง ทั้งมีผลต่อความสงบร่มเย็นของสังคมโดยรวม การทำให้ความผิดและผู้กระทำความผิดเป็นที่ปรากฏต่อผู้อื่นหรืออย่างน้อยต่อปัจเจกบุคคลผู้ถูกละเมิด หรือในกรณีของสังคมก็ต้องได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ น่าจะก่อให้เกิดการตระหนักและเรียนรู้ที่จะไม่ทำความผิดซ้ำอีกได้มากกว่าการอภัยแบบเหมารวมซึ่งเราไม่รู้เลยว่าใครทำอะไรผิด

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะชวนผู้อ่านได้พินิจพิเคราะห์การอภัยโทษแบบไทย ๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์สังคมการเมืองของเรา รวมทั้งที่กำลังมีความพยายามที่จะทำกันอยู่ในขณะนี้ในนาม “ความปรองดอง” กล่าวให้ชัดคือในระบบการอภัยโทษแบบเหมารวม ซึ่งมีลักษณะคล้ายการโยนภาระการลงโทษให้กฎแห่งกรรม โดยที่ยังไม่สามารถระบุตัวได้ชัดเจนเลยว่าใครเป็นผู้กระทำผิดอย่างแท้จริง ทั้งที่เราหรือสังคมยังไม่ได้มีโอกาสรับรู้เลยว่า “ใครคือผู้กระทำผิด” และ “ควรจะได้รับโทษมากน้อยเพียงใด” แต่รัฐหรือสังคมก็ให้อภัยพวกเขาแล้ว นอกจากต้องถามว่าการอภัยโทษแบบนี้ละเมิดหลักการของการลงโทษหรือหลักของความยุติธรรมหรือไม่แล้ว อาจจะต้องถามด้วยว่า การอภัยโทษทำนองนี้แม้เราจะเชื่อว่ากฎแห่งกรรมจะอำนวยผลให้เราในขั้นสุดท้าย (ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่อาจไม่เป็นจริงก็ได้) แต่มันจะมีความหมายอะไรในเชิงจริยธรรม การไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้อย่างชัดเจนแล้วอภัยโทษเสียนั้นโดยแท้จริงแล้วอาจไม่ได้ก่อให้เกิดการกล่อมเกลาจริยธรรมทั้งแก่ผู้กระทำความผิดหรือสังคมแต่ประการใดเลยก็เป็นได้

หรือแม้ในกรณีการอภัยโทษที่มักจะเกิดตามมาจากการถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112  ก็น่าจะต้องวิเคราะห์ให้กระจ่างว่า การอภัยโทษเหล่านี้มันมีความหมายในเชิงจริยธรรมแก่ปัจเจกบุคคลหรือแก่สังคมอย่างแท้จริงหรือไม่ กรณีมาตรา 112 มีความพิเศษในประเด็นที่ว่า “ความผิด” ที่ถูกกำหนดขึ้นตามกฎหมายมาตรานี้ จริง ๆ แล้ว  “ในบางกรณี” อาจ “ไม่ได้เป็น” ความผิด เพราะการกระทำที่ถูกกำหนดให้ “เป็นความผิด” นั้นไม่ได้ละเมิดกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมใด ๆ ซึ่งระบบจริยศาสตร์ในสากลโลกถือว่าเป็นความผิด (เช่น การพูดความจริง) แต่มันเกิดเป็นความผิดเนื่องมาจากสังคมกำหนดให้เป็นความผิด ซึ่งเป็นข้อยึดถือที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง 

ถ้าหากมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นจริง (กรณีความผิดที่กฎหมายระบุหรือผู้พิพากษาระบุ แต่ไม่ได้เป็นความผิดในทางเชิงศีลธรรมและจริยธรรม) และมีการอภัยโทษแก่ผู้กระทำผิดหลังจากที่ศาลตัดสินแล้วว่าผู้ไม่มีความผิดในเชิงจริยธรรมเป็นผู้มีความผิดในเชิงกฎหมายและต้องรับโทษ การอภัยโทษดังกล่าวนี้มีความหมายอย่างไรในเชิงจริยธรรม และจะสามารถก่อให้เกิดผลในการกล่อมเกลาทางจริยธรรม นำไปสู่ความสงบของสังคมนี้ได้จริงหรือไม่ 

รายการอ้างอิง

[1] พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2538 หน้า 177-179.

[2] ชาวพุทธเชื่อว่า “กรรมเป็นพุทธวิสัย” ดู มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, พระสูตรและอรรถกถา แปล เล่มที่ 69. (กรุงเทพฯ : มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2543) หน้า 422 และสมภาร พรมทา, พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์. (กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2534) หน้า 93-94.

[3] มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, พระสูตรและอรรถกถา แปล เล่มที่ 69. หน้า 418-422.

[4] พระธรรมบทมีพุทธพจน์ดังนี้ “ในกาลไหน ๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย ก็แต่ย่อมระงับด้วยความไม่มีเวร ธรรมนี้เป็นธรรมเก่า” ดู มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, พระสูตรและอรรถกถา แปล เล่มที่ 40. (กรุงเทพฯ : มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2543) หน้า 2

[5] “องคุลิมาลสูตร” [มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์] พระไตรปิฎก เล่มที่ 13 ข้อ 521-525.

[6] มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, พระวินัยเล่ม เล่มที่ 6: จุลวรรค ปฐมภาคและอรรถกถา. (กรุงเทพฯ : มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2543) หน้า 105-122.

[7] Loy, David R., “Healing Justice : A Buddhist Perspective”. Http://www.zen-occidental.net/articles1/loy2.html. [online  23/07/2012]

[8] ดูตัวอย่างเรื่อง “พระติสสะผู้เข้าถึงสกุลของนายช่างแก้ว” ธัมมปทัฎฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย ใน มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, พระสูตรและอรรถกถา แปล เล่มที่ 42. (กรุงเทพฯ: มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2543) หน้า 51-52

[9] ดู วินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม 7 [กัมมักขันธกะ]

 

บล็อกของ กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร

กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
ชาญณรงค์ บุญหนุน กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
ภิญญพันธุ์  พจนะลาวัณย์ กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร 1.