1
พลทหารรู้สึกตัว เขาตื่นขึ้นก่อนเสียงแตรปลุก ในความมืดสลัวของเรือนนอน เขาได้ยินเสียงพลิกตัวของเพื่อนทหารเกณฑ์ เสียงหายใจทั้งแผ่วเบาและหน่วงหนัก เสียงเหล่านั้นคล้ายตัดพ้อบางอย่างในความฝันที่ใกล้จบ
เขานึกภาพเพื่อนทหารกำลังหลับใหลได้เป็นอย่างดี คนเหล่านั้นมีผ้าห่มหนาสีเทาห่อคลุมตัว มีศรีษะและใบหน้าเหนื่อยล้า ท้ายทอยของพวกเขาเลื่อนไหลลงมาจากหมอน ทิ้งคราบน้ำลายและเส้นผมบนฟูก ทั้งหมดปนเปกันด้วยกลิ่นอับชื้นของรองเท้าคอมแบทใต้เตียง
สูงขึ้นไปในความมืด เขามองดูแผ่นกระเบื้องดินเผา เห็นแนวแถวของมันตามร่องไม้ยาวออกไปอีกฟากหนึ่งของเรือนนอน ความเข้มขลังของหลังคาเก่าแก่ แต่ซ่อนรอยแตกร้าวไว้ตรงบางจุด เพราะในคืนที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก เขารู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำหยดลงมาบนอก
2
เมื่อนึกถึงตัวเองตอนยังเด็ก พลทหารมักจะนึกถึงบ้านร้างหลังหนึ่งระหว่างเดินกลับจากโรงเรียนวัด เขากับเพื่อนชอบเอาก้อนหินเขวี้ยงแผ่นกระเบื้องให้ตกลงมาแตก พวกเขาชอบเสียงของก้อนหิน ตอนมันกระทบเข้ากับตัวบ้านหลังนั้น รูที่ก้อนหินก้อนหนึ่งทิ้งเอาไว้กลายเป็นรอยร้าวถาวร แล้ววันต่อมาหลังเลิกเรียน พวกเขาก็จะช่วยกันอีก ระดมเขวี้ยงหินจากในมือ เขวี้ยงกันจนรู้สึกพอใจ จนเบื่อหน่ายที่จะทำ
ทุกครั้งที่รู้สึกตัวก่อนเสียงแตรปลุก พลทหารชอบนึกถึงเรื่องทำนองนี้ฆ่าเวลา นึกถึงเพื่อนสองสามคนที่บ้านเกิด พวกเขาในวัยเด็กออกเดินลัดเลาะขึ้นเนินเขาลูกเตี้ยๆ ท้ายหมู่บ้าน เกาะกลุ่มกันในบ่ายอันร้อนอบอ้าว เดินบนทางดินเส้นเล็กๆ หยอกล้อกันระหว่างทางด้วยเรื่องของเด็กผู้หญิงสักคน เด็กคนที่ดูโดดเด่นออกมาจากเด็กผู้หญิงคนอื่นในหมู่บ้าน หมู่บ้านอันเล็กแสนเล็กใต้ตีนเขา พวกเขาผิวปากเลียนเสียงของนก ใต้ร่มไม้รกครึ้ม เพื่อนอีกคนคอยเรียกหาและเอาตัวของมันลงมาด้วยปางนู[1] เหมือนเรื่องสนุกพื้นเพ พวกเขาถอนขนและผ่าท้องของมันด้วยใบมีดโกน ซาวด้วยเกลือ ย่างด้วยไฟอ่อนๆ
ระหว่างนั้น พวกเขาล้อมวงพูดคุยถึงสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวดีนัก เรื่องของคนในหมู่บ้านที่เคยถูกยิงตายหรือหายตัวไป ร่องรอยของค่ายทหารชั่วคราว คำว่าถูกเผาในถัง คำว่าคอมฯ คำว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนอย่างเรา จนดูเหมือนกลายเป็นเรื่องผี หรือชื่อของผีที่ปู่ย่าตายายเอาไว้เอ่ยเพื่อให้เรากลัวและเชื่อฟัง
การที่ไม่มีใครยอมพูดถึงความตายเหล่านั้น หรือความเข้าใจร่วมกันว่าพูดถึงไม่ได้ บางครั้งพลทหารจะนึกถึงตา ตาของเขาที่ตายจากไปก่อนเขาเกิด ตายทั้งยังฉกรรจ์ ตาซึ่งมีเหลืออยู่แค่ในรูปซีดจางบนหิ้งพระ
ยายของเขาเคยบอกว่าตาเป็นหมอยา มีวิชาอาคม มีภูมิรู้รักษาคน มีที่ทางมากมายที่ตาของเขาถางไว้ด้วยมีดพร้าแค่เล่มเดียว ต่อมาตาของเขาถูกยิงตาย จากนั้นก็เริ่มเสียที่ทางแทบทั้งหมดให้กับใครต่อใคร พลทหารรู้เรื่องรู้ราวเพียงแค่นั้น
3
ตอนเขาอายุสิบเอ็ดขวบ เขานั่งอยู่หน้าจักรรีดยางแผ่นของป้า อ่านกองการ์ตูนผีเล่มละบาท เขาเห็นป้าคุยกับชายชราคนหนึ่งตรงรั้วไม้แกน วันนั้นไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเขากับป้า ชายคนนั้นท่าทางดุ แววตาแข็งเหมือนเหยี่ยว แม้เส้นผมบนหัวหงอกขาว แต่รูปร่างยังสันทัด หลังตั้งตรงแม้ไหล่ห่อ ชายชราสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีมอซอ คาดผ้าชุบ[2]สีเลือดนกไว้ที่เอว สะพายย่าม กางเกงขายาวสุภาพ แต่ไม่สวมรองเท้า
พลทหารจดจำสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะเขาจ้องชายคนนั้นไว้โดยไม่คลาดสายตา เขาไม่เคยเห็นใครแบบนี้มานานแล้ว ในมือของชายชรามีมีดพร้าด้ามสั้นเล่มหนึ่ง เขารู้สึกได้ว่ามีดพร้าเล่มนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเสื้อผ้าชุดนั้นคือชุดที่ดีที่สุดของตัวแก เขายังคงจ้องมองและอยากเอ่ยถามบางอย่าง แต่เขาไม่มีความกล้า เขาเกรงกลัวชายคนนั้นอยู่ลึกๆ
ป้าของเขาคุยกับชายชราไม่นานนัก แค่ยืนคุยกันอย่างคนแปลกหน้าแปลกถิ่น ป้าไม่ได้เอ่ยปากชวนให้เข้ามาในบ้าน เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาเข้าใจบางส่วนได้จากบทสนทนา ชายชราเดินมาจากถนนใหญ่ ก่อนหน้านั้นโบกรถบรรทุกมาจากที่ไหนสักแห่ง ลำสินธุ์[3]เคยเป็นเหมือนบ้านเกิดของแก ส่วนบ้านเกิดจริงๆเป็นเพียงที่อยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ชายชราบอกว่าเคยอยู่ที่นี่ตอนยังหนุ่ม แกถือตัวเองเป็นเพื่อนรักคนหนึ่งของตา เคยผูกพันกันนานเน แกแทบไม่เชื่อว่าตาได้ตายไปนานแล้ว แกบอกว่านึกไม่ถึง และตัวแกเองเก็บความเศร้านั้นไว้เกือบไม่มิด แววตาของแกอ่อนลง และเผลอยิ้มออกมาอย่างคนสิ้นหวัง
กว่าจะถึงถนนใหญ่ ชายชราต้องเดินเท้าย้อนกลับออกไปอีกเจ็ดกิโลเมตร ถนนยังเป็นดินและฝุ่นแดง นานๆ ถึงจะมีรถผ่านมาสักคัน จากนั้นต้องรอโบกรถเพื่อกลับไปยังจุดเดิม อาจจะย้อนกลับไปในที่ที่แกจากมา หรือไปหาใครคนอื่นอีกในความทรงจำที่เหลือ พลทหารไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้เอ่ยถาม วันนั้นเขาได้แต่มองชายชราเดินจากไป เขาแลเห็นถึงแผ่นหลังชุ่มเหงื่อ เห็นมือข้างที่ถือมีดพร้าสะบัดใส่ดอกหญ้าข้างทางอยู่เป็นระยะ
ภาพในวันนั้น ต่อมากลายเป็นความทรงจำอันแปลกประหลาด เขายังไม่เข้าใจว่าตัวเองเกี่ยวข้องอย่างไร แต่เขารู้สึกห่อเหี่ยวทุกครั้งเมื่อนึกถึง บ่ายวันนั้นชวนให้ใจพะว้าพะวงและรู้สึกผิด
4
นอกจากความมืด ข้างนอกเรือนนอนยังมองไม่เห็นอะไรดีนัก พลทหารได้ยินเสียงใครบางคนเปิดตู้ล๊อกเกอร์ คงเป็นเพื่อนทหารที่รอเข้าเวรผลัดถัดไป เขาคิดและเริ่มนึกภาพเพื่อนคนนั้นซึ่งมองไม่เห็นจากที่ที่ตัวเองนอนอยู่
ในตู้ล๊อกเกอร์ของเพื่อนคงมีบุหรี่สักตัว และเขาจุดบุหรี่มวนนั้น นั่งลงตรงปลายเตียง บิดตัวไปมาในความมืด มือหนึ่งเขี่ยเถ้าบุหรี่ลงในขวดโซดาข้างเท้า อีกมือหนึ่งเคาะรองเท้าคอมแบทกับพื้นให้แน่ใจว่าไม่มีตัวอะไรอยู่ข้างใน พลางคิดไปคิดมาว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่ ในเวลาแบบนี้ นั่งนึกถึงหน้าลูกเมียของตัวเอง นึกถึงบ้าน นึกถึงไร่ นึกถึงสิ่งที่ตัวเองมีและควรได้อยู่กับมัน จากนั้นจึงถอดกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนออก หยิบชุดเข้าเวรในล๊อกเกอร์ออกมาโยนลงบนเตียง
เริ่มจากสวมเสื้อขาวซับใน เสื้อตัวนั้นระบุชื่อสกุลและชื่อผลัดประจำการ เขาเริ่มยัดชายเสื้อลงไปในกางเกงใน ดึงชายเสื้อจนตึง จากนั้นจึงสวมเสื้อกะลาสีที่ติดเครื่องหมายและปลอกแขนแดง ผูกโบว์เล็กๆ พร้อมกับจัดเงื่อนเชือกสีขาวหน้ากระจก เขาทำทั้งหมดนั้นได้ในความมืดสลัว จากนั้นทิ้งบุหรี่ครึ่งตัวที่เหลือในขวดโซดา หากเพื่อนที่นอนอยู่เตียงบนรู้สึกตัว เขาจะส่งบุหรี่ตัวนั้นให้แทนการรบกวน เขาอาจจะขัดหัวเข็มขัดอีกนิดหน่อย ก่อนจะสวมมันทับกางเกงกะลาสี และนั่งลงที่ปลายเตียงอีกครั้ง คราวนี้เขาสวมถุงเท้ายาว เอาซิ่งเหล็กใส่ไว้ในขากางเกง จัดระดับของซิ่งตามระเบียบของกองทัพเรือ ว่าด้วยเครื่องแบบและวิธีแต่งเครื่องแบบเหล่าสารวัตรทหาร จากนั้นสวมรองเท้าคอมแบท ร้อยเชือก สวมหมวกครึ่งใบแข็งๆ สีขาว รัดปลายคางและเดินเชิดหัวออกไปด้านนอกเรือนนอน
พลทหารได้ยินเสียงรองเท้าคู่นั้น เสียงของเหล็กชิดเท้าที่ฟังดูห่างออกไป สักพักหนึ่งเสียงฝีเท้าอีกเสียงจึงเดินย้อนกลับเข้ามา เท้าคู่นั้นแตกต่างออกไป เสียงที่ได้ยินครั้งนี้เป็นเสียงลากเท้า ฟังดูโรยราและเหนื่อยล้าอย่างเหลือทน พลทหารยังคงนอนฟัง กระทั่งได้ยินร่างนั้นล้มตัวลงบนที่นอนทั้งยังสวมชุด
5
เขาไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ในช่วงอาทิตย์แรกของการฝึกในที่ตั้ง พลทหารถูกจัดให้เข้าเวรผลัดดึก ช่วงระหว่างตีสองถึงตีสี่ คืนนั้นเป็นการเข้าเวรกะสุดท้าย เขาแต่งชุดอย่างเงียบๆ มองดูเพื่อนเตียงข้างๆ หลับใหล
หลังจากแต่งตัวเสร็จ พลทหารเดินออกมารับเวรต่อจากเพื่อน ซึ่งยืนประจำการอยู่ตรงระเบียงของเรือนนอน ข้างล่างเรือนนอนยังมีพลทหารอีกคนเข้าเวรเดิน เขาพยักหน้าให้ บริเวณนั้นมีคลังเก็บอาวุธของกองพัน เวรที่เข้าจุดจึงต้องเดินตรวจตราตลอดเวลา
“คืนนี้โคตรหนาวเลยว่ะเพื่อน”
“มึงมีบุหรี่ไหม”
“กูเบื่อกองร้อยนี่ฉิบ”
“มึงเห็นวันนี้ไหม ไอ้คนที่กลับมาจากหนีราชการ พวกจ่าฝึกทำยังไงกับมัน แม่ง ให้แก้ผ้าแล้วยืนอยู่ที่สนามบอลทั้งวัน แล้วพวกแม่งก็ปล่อยมันไว้แบบนั้น นี่มันเหี้ยอะไรกันว่ะ คนมันมีพ่อมีแม่นะเว้ย กูอยู่ที่นี่นานๆ กูว่ากูต้องกลายเป็นบ้า ไม่ก็กลายเป็นพวกจิตวิปริต”
“บอกตรงๆ นะ กูอยากจะปลดวันนี้พรุ่งนี้แม่งเลย แล้วเอาเงินเดือนให้นายมันไป”
เขาได้แต่รับฟังและถอนใจ มือยื่นบุหรี่อีกตัวที่มีให้เพื่อน พลางรับปืนยาวกระบอกนั้นมาเหมือนของแลกเปลี่ยน คนทั้งคู่เดินเข้าแทนที่กันและกัน พลทหารยืนนิ่งๆ อยู่ในท่าระเบียบพัก
อย่างที่เพื่อนของเขาบอก คืนนั้นหนาวจับใจ พลทหารต้องคอยขยับตัวเพื่อให้แข้งขาไม่เมื่อยล้า ตรงระเบียงของเรือนนอนมีช่วงทางเดินยาว ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เขาจึงอาศัยการเดินไปและเดินกลับ ทำร่างกายของตัวเองให้อบอุ่น
ในระหว่างที่เดินอยู่นั้น เขาเหลือบเห็นร่างของใครคนหนึ่งในเรือนนอน ร่างนั้นเดินฝ่าความมืดออกมาระหว่างแถวของตู้ล๊อกเกอร์ พลทหารไม่ได้เอะใจอะไรนัก นอกจากคิดว่าเพื่อนทหารสักคนคงออกมาสูบบุหรี่กลางดึก แต่ร่างนั้นช่างเลือนราง มองไม่ออกเสียทีว่าเป็นใคร แม้แต่ตอนที่ก้าวผ่านประตูออกมาแล้ว พลทหารก็ยังทำได้แค่เพ่งมอง ร่างนั้นเคลื่อนผ่านหน้าของเขาและจับราวระเบียงของเรือนนอนอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะกระโจนลงไปเหมือนภาพเคลื่อนไหวลวงตา ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นได้จริง
พลทหารได้แต่ยืนนิ่ง ลมหนาวเหน็บจู่โจมอย่างไม่รู้ที่มา เขาไม่รู้ว่าตัวเองเห็นอะไร หรือมันเป็นการเคลื่อนไหวของสิ่งใด แต่มีบางสิ่งเคยอยู่ตรงนั้นและได้หายไปแล้ว คล้ายเรือนร่างของคน สิ่งนั้นจับราวระเบียงและกระโจนลงไปข้างล่าง เขาเห็นภาพการเคลื่อนไหวแต่ไร้สุ้มเสียงทั้งหมดนั้นต่อหน้าต่อตา ห่างออกไปแค่ไม่กี่ฟุต และกระโดดลงไปไม่ต่ำกว่าสามเมตรจากพื้น เขาไม่แน่ใจว่ากลัว สิ่งนั้นไม่ได้หลอกหลอนหรือทำให้สิ่งใดผิดปกติ ในเมื่อรอบตัวยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เขาผลักความคิดนั้น พยายามยอมรับว่าอาจเป็นเพียงภาพลวงตา แต่เขาไม่อยากเดินต่อไปอีกแล้ว, เมื่อย้อนกลับมาที่จุดเข้าเวรเดิมอีกครั้ง พลทหารจึงรู้ตัวว่าเขากลัว และยิ่งกลัวมากขึ้นอีกเมื่อยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ หากสิ่งที่เห็นนั้นคือ ผี
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พลทหารที่เดินตรวจตราอยู่ข้างล่างจึงผ่านมาให้เห็นอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้พลทหารเหมือนเคย เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่บนนั้นไม่มีใคร เหมือนช้าเกินไปอีกครั้งและอีกครั้ง พลทหารจึงได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อนและเดินกลับไปยืนเวรที่จุดเก่า พลางคิดไปคิดมาว่า เรื่องนี้หากลองเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อหรือใส่ใจ เหมือนเรื่องเล่าเรื่องอื่นๆ ที่จ่าฝึกชอบเอามาพูดแกมขู่ ทุกคนล้วนฟังเป็นเรื่องสนุกที่เหลวไหล หรือแค่เรื่องคั่นฆ่าเวลาระหว่างพักฝึก ทุกกองร้อยดูจะเต็มไปด้วยเรื่องทหารป่วยตายหรือหนาวตายคาเตียง แต่ไม่เคยมีเรื่องของพลทหารที่ตั้งคำถามเรื่องการฝึก-แล้วตาย คนที่คิดว่าการเกณฑ์ทหารทั้งหมดนี้ไม่ถูกต้อง-แล้วตาย ไปจนถึงคนที่เคยถูกซ่อม-จนตาย ดูเหมือนคนที่โชคร้ายที่สุดในผลัด คนที่เพื่อนในผลัดไม่กล้ามองย้อนกลับไป คนที่เพื่อนในผลัดหลงลืมและจดจำได้แค่ครั้งคราว คนที่เอาชีวิตมาทิ้งและสุดท้ายถูกแทงเป็นจำหน่ายตายในสมุดปลด
กลายเป็นผีที่ต่อมาได้แต่รอเสียงแตรปลุก ผลัดแล้วผลัดเล่า คืนแล้วคืนเล่า ได้แค่ปรากฏตัวให้เห็นอย่างเลือนรางกับพลทหารผลัดต่อมา แต่พูดอะไรไม่ได้ แม้แต่บอกลาหรือตักเตือน หรือแม้แต่ส่งข่าวถึงคนที่พวกเขายังรัก เพราะพวกเขาตายโดยไม่รู้สาเหตุ ตายโดยไม่เคยถูกสอบสวนหาคนผิด ตายโดยไม่สมควรต้องตาย ไม่ต่างอะไรจากไพร่ที่ถูกสักท้องมือ ไพร่ที่ไม่มีเงินจ่ายค่าส่วยให้ใคร หากเป็นแค่คนต่ำชั้น คนต้องโทษ คนที่ไม่เหลือทางเลือกอื่น มาจนถึงเด็กหนุ่มที่ต้องทิ้งครอบครัว ต้องหยุดเรียนลงกลางคัน ต้องออกจากงานและเสียเวลาในชีวิต ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุให้ออกรบ ไม่มีชนวนสงคราม ไม่มีศัตรูเสียด้วยซ้ำ
มันไม่เคยมีอะไรทั้งนั้นแหละ นอกจากการขูดรีดใช้แรงงาน และยัดเยียดเครื่องแบบเข้ามาเพื่อให้ถูกรังแกได้โดยง่าย ทำให้ต้อยต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้ความเป็นคนไม่มีหลงเหลือ จนเป็นได้แค่ผีที่หลงวนอยู่ในเรื่องเล่าของจ่าฝึก ซึ่งถูกแต่งไปแต่งมาด้วยอำนาจและความเถื่อนถ่อย
6
รุ่งสางของคืนนั้นผ่านพ้นไป พลทหารออกเวรพร้อมกับเสียงเพลงร้องตอนเช้า เพื่อนทหารบนเรือนนอนเปลี่ยนชุดเป็นชุดกีฬา เสียงจ่าเวรเรียกแถวหน้ากระดานเรียงสี่ออกไปวิ่งตามรปจ. เขาเป็นคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในเรือนนอน
หลังคืนปืนยาวให้พันจ่ากองเรียบร้อย พลทหารถอดรองเท้าคอมแบทของตัวเองออก เขาเดินอย่างอิดโรยกลับมาที่เตียง เส้นแสงรำไรของเช้าวันใหม่ส่องประกายเข้ามาทางช่องระบายอากาศ แต่ความรู้สึกภายในกลับเหน็บหนาวเยียบเย็นเหมือนคนเจ็บป่วย เขาล้มตัวลงบนเตียงทั้งยังสวมเครื่องแบบ
ในความฝัน พลทหารไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป ร่างกายของเขากลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า เรือนร่างของเขาเหนื่อยหน่ายเกินจะรับรู้เรื่องราวใดๆ ได้อีก
[1] ศัพท์ทางถิ่นใต้ใช้เรียก หนังสติ๊ก
[2] ศัพท์ทางถิ่นใต้ใช้เรียกผ้าคาดเอวอย่าง ผ้าขาวม้า
[3] ชื่อตำบลหนึ่งในอำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง