Skip to main content
เสาร์ 14 มีนาคม 2552 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ห้องเงียบ มีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานสามสี่คน เขาเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วถามหาชื่อ หนึ่งในนั้น ชี้ไปยังเตียงใกล้ๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตา เขาแทบจำไม่ได้ เขาเข้าไปกราบไหว้


มองร่างสงบนิ่ง เขาพยายามมองทุกส่วนที่จะมองเห็น เสียงเครื่องมือเป็นตู้สี่เหลี่ยมดังส่งเสียงช่วยชีวิต และเส้นกราฟวิ่งไปมา เขาเห็นตัวเลขหน้าปัด ข้างบน 80 ข้างล่าง 40 มองไปยังเตียงอื่น ร่างที่ทอดอยู่บนเตียงแทบไม่ต่างกัน หรือเขาเข้ามาในช่วงเวลาผู้ป่วยพักผ่อน


เขามองจ้องใบหน้า เหมือนแว่วเสียงดังชัดคำ "เฮ้ย เขียนหนังสือหนังสือเยอะๆ ตอนนี้เขียนที่ไหนบ้าง"  เขาตอบอยู่ข้างใน "เฮ้ย ตามสบาย"


เขาถือวิสาสะเลิกผ้าห่ม จับมือข้างซ้าย นิ้วมืออาอุ่น เขาวางมือทาบลงไปให้เบาที่สุด ก็ยังคิดว่าวางหนักไปหรือเปล่า พยายามควบคุมลมหายใจ ให้ฝ่ามือแตะได้เบาที่สุด เขามองใบหน้าที่ไม่ตอบสนองใดๆ มือไล่มาจับนิ้วแต่ละนิ้ว ข้างในเขาเหมือนเกิดหยดน้ำพรูออกมา


เขามองไม่เห็นใครเลย แม้แต่พยาบาล เขาเดินไปเลิกผ้าห่มอีกข้าง แตะมือขวาเบาๆ มืออาบวมมาก ปลายนิ้วเย็นเฉียบ นิ้วมือบวม อาเจ็บมั้ย เขาจับเบาๆ มือของอาที่สร้างงานเขียนออกมามากมาย


"
ต้นฉบับเราแค่นี้ อย่างที่เห็น"  เขาเห็นกระดาษสี่เหลี่ยมขนาดแทบจะกำรอบ ตัวหนังสือเขียนอัดแน่นอยู่ในนั้น


ท่อนแขนข้างขวาของอาบวมมาก สายท่อสอดเข้าในเนื้อบริเวณนั้น เขาเดินกลับไปยืนทางซ้ายมืออีกที พร้อมกับหยิบหนังสือชื่อ ลมบาดหิน จากกระเป๋าสะพาย พยาบาลสาวเดินเข้ามา

"หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ ต้องให้คนไข้พักผ่อนค่ะ"

"ผมขอเวลา 5 นาทีนะครับ"

"ได้ค่ะ"


เหมือนเขาได้ยินเสียง เฮ้ย มีอะไรว่ามา

"ผมมาแล้วครับอา ผมตั้งใจมาอ่านบทกวีให้อาฟัง บทกวีของอา ผู้ชายเรียนรู้จากป่าและดอกไม้.." เขาก้มหน้าลงใกล้หูอา "อาครับ ผมไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมอานานมาก บ่ายวันนี้ ผมรู้ข่าว ผมว่างเอาตอนเวลานี้เอง วันนี้วันที่ 14 มีนาคม สี่ทุ่มแล้วครับ ก่อนออกจากบ้านผมเลือกเสื้อสีขาวมีลายร่องเล็กๆ รีดอย่างดี รีดกางเกงยีนส์ ถุงเท้าใหม่ ผมไม่ได้ทำอย่างนี้กับตัวเองนานแล้วครับ และจะไม่ใส่หมวกมีตราโจรสลัดสักครั้งหนึ่ง ก่อนออกจากบ้าน ผมรดน้ำต้นไม้อย่างไม่มีเหตุผล จนลืมนึกถึงเข็มนาฬิกา คิดอะไรไปเรื่อยในความมืดสลัว และคิดถึงอามาก ชานเมืองเหมือนใกล้รุ่ง เห็นดวงจันทร์เหลืองแดงซีดเซียว ที่บ้านจักจั่นร้องดังมากครับ ดังทั้งวัน ..."


เสียงเขาดังเครือๆ หยุดอยู่พักใหญ่ ปรับน้ำเสียงใหม่ เขาไม่อยากให้เสียงสั่นเครือ เขาอยากให้อาฟังบทกวีของอาชิ้นที่เขารักมาก อ่านให้อาฟังด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด ..


"
ผู้ชายเรียนรู้จากป่าและดอกไม้

นก แมลง และผืนดิน

ราคะและความรัก และความหวงแหนชีวิต.."


เขาข้ามประโยค เขามีเวลาไม่มาก เขาอยากบอกประโยคงามๆ สว่างในใจ

"ต้นพะยอมดอกหอมอยู่ในป่าแถบต้นแม่น้ำปราณบุรี ท่านลงทุนแรงกายแรงใจขุดถอนมาทั้งรากแล้วชะลอล่องแพนำมาปลูกในบ้านในอำเภอ การแรมคืนและการแรมไกล

คืนนี้ป่าละแวกห้วยหม้อได้ยินเพลงกีตาร์และกลอนดิบของผู้ชายคนนั้นกับผู้หญิงของเขา.."  เขาเหลือบไปเห็นสายตาอ้อนวอนจากเตียงใกล้ๆ เตียงติดกับอาดูแข็งแรงกว่าเตียงอื่น


เขาเปิดหน้าผ่านไปอีกหน้า เขามีเวลาไม่มาก เขาเลือกประโยคที่ชอบ

"ผู้ชายเรียกร้องต้องการอะไรมากกว่านี้ในบางวัน

นาทีนั้นเขาได้ยินผู้หญิงของเขาหัวเราะกังวาน ระฆังแว่วมาจากโคนต้นตองดอกแดง

เขาหันมองพบว่าหล่อนกำลังขบขันอะไรบางอย่างบนผิวดินเบื้องหน้า.."


เขาไม่อ่านประโยคต่อจากนั้น ตัวหนังสือบรรทัดต่อไปนั้นชวนหัวเอามากๆ เขาอยากข้ามไปอ่านประโยคอื่น เวลาใกล้จะหมดลงเต็มที เขาอ่านบทสุดท้ายจนถึงคำว่า "เพลงกีตาร์บรรเลง วิถีแห่งความรักมิเป็นอื่นนอกจาก, ความสวย.."


เขารับรู้ได้ว่า มีคลื่นพึงพอใจล่องลอยมาหา ใต้เปลือกตาที่ปิดนั้น เหมือนเคลื่อนไหว เขาดีใจจนมองจ้อง สัมผัสคลื่นสัมผัสนั้น เขามั่นใจว่าอาฟังอย่างตั้งใจ


เช่นนั้น ดวงตาดวงอื่นมองผ่านประตูเข้ามา เห็นคนรุ่นลูกกำลังอ่านบางอย่างให้คนรุ่นพ่อที่นอนนิ่งบนเตียง ในแสงจากหลอดไฟสว่างเหลือเกิน เป็นชีวิตจริง ไม่ใช่ฉากแสดง เป็นความรู้สึกจริง ที่ดวงตานั้นมองเห็นร่างหนึ่งตั้งฉากกับร่างหนึ่ง สื่อเรื่องราวที่โลกไม่ได้ยิน


"
อาครับ ผมตั้งใจมาอ่านบทกวีให้อาฟัง ผมเลือกเอาบทชื่อ ผู้ชายเรียนรู้จากป่าและดอกไม้ นก แมลง และผืนดิน

ผมรักอาครับ"


เขาเขียนจดหมายน้อยบนหน้ากระดาษมีบรรทัด วางไว้บนที่วางพื้นเหล็ก หยิบผ้าสามเหลี่ยมลายดอกไม้ เขาโพกหัวเป็นประจำยามนั่งเขียนหนังสือ วางทับริมกระดาษอีกที ไหว้ลา ก่อนจะผละออกมายืนมองด้วยความอาลัยอาวรณ์ นับจากนี้ เขาจะไม่ได้ยินเสียงอาอีกแล้ว...

 

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เพลงรบต่อเนื่องกันมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย  ยังมีบันไดอีกหลายขั้นทอดไป  และยังมีบันไดขั้นใหม่ๆทอดข้ามไปมา  ข้ามพรมแดนแปลกหน้าหากันและกัน  ไม่ว่าเพลงจะเกิดขึ้นในถ้ำ  เกิดในศูนย์ลี้ภัย  เกิดตามป่า  เกิดในเมือง  เพลงยังมีชีวิตเดินทางไปตามหาคนฟังต่อไปยามเพลงเดินไปตามไร่ข้าว  ห้างไร่  ออกตามหาคนฟัง  ผมไม่นึกว่าภาพนั้นจะกลายเป็นเรื่องราวอื่นไปได้มากกว่านั้น  คนเกี่ยวข้าวหยุดพัก  ตีวงล้อมเข้ามา  นั่งฟังเพลงคนหนุ่มที่ใช้เวลากับการเล่นเพลง  แต่งเพลง  ร้องฟังกันเองในแค้มป์ผู้ลี้ภัย  เหมือนโลกไม่เคยเห็น …
ชนกลุ่มน้อย
ระหว่างรอความหมายเพลงของเหล่อวา  ซึ่งผมเขียนไว้ว่าจะนำมาขึ้นจอ  แต่เพลงของเขาอยู่ระหว่างทางแปลความหมาย  สัปดาห์ต่อไปน่าจะถึงฝั่งน้ำปิง  นอนรอ  นั่งรอ ... บังเอิญนึกถึงเพลงศิลปินเพลงอีกชุดหนึ่ง  รูปปกเทปดอกกุหลาบแดงพ้อต่อฉื่อโพ  -- กุหลาบน้อย   เป็นชื่อบนปกเทปนานมาแล้วผมเคยเขียนถึง  ผ่านคนบอกเล่า  และคนแปลความหมายเนื้อเพลง  ว่ากันว่า  เป็นงานเพลงที่รวบรวมเอาเพลงอมตะสองฟากฝั่งสาละวิน  เลือกเอาคุ้นหูคนตะเข็บชายแดนมาไว้ในที่เดียวกัน  ผ่านเสียงร้องหวานเศร้าจับใจ  ในโทนเนื้อเสียงใกล้เคียง  นอร่าห์ โจนส์ (Norah…
ชนกลุ่มน้อย
ผมพบเขาครั้งแรกในหน้าหนาวเมื่อหลายปีก่อน  หมู่บ้านเล็กๆ  ใจกลางเทือกถนนธงชัย  เขาไม่ค่อยมองสบตาในช่วงแรกๆ  เงียบเหมือนหิน  ยิ้มยาก  เคร่งขรึมอบอวลอยู่ภายใน  ผมนึกว่าคนจากพื้นล่าง  ขึ้นมารอซื้อของป่า  หรือพูดง่ายๆว่าอาจเป็นพ่อค้าซื้อของป่าสักอย่าง  ซึ่งมักปิดปากเงียบ  ไม่อยากให้รายละเอียดใครต่อใคร  ถึงจุดหมายที่มาของตัวเองต่อคนแปลกหน้าด้วยกัน  และของป่าที่จะซื้อก็ใช่ว่ามันจะเถรตรงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย  หรือจะพูดอีกอย่างว่า  ได้มาง่าย  ได้มาถูกๆ  ได้ของมาโดยไม่เหมือนคนอื่น …
ชนกลุ่มน้อย
ขณะผมนั่งเขียนต้นฉบับ พระสงฆ์ในพม่าออกมาเดินบนท้องถนนเป็นวันที่แปด คนออกมาร่วมเดินไปตามถนนด้วยนับแสนคน ถนนกลางกรุงร่างกุ้งเชิญชวนให้คนออกมาเดิน ดูท่าคนจะเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆผมเห็นทิวแถวพระสงฆ์เหมือนแม่น้ำใหญ่สาละวินหน้าฝน พร้อมถั่งโถมใส่สิ่งกีดขวางทุกอย่าง หอบลงอันดามันสายตานักรบมองจ้องนักบวช ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สะท้อนถึงเรื่องใด รัฐบาลเผด็จการทหารจะใช้วิธีสลายผู้ชุมนุมด้วยกระสุนปืนอีกหรือไม่ ล้วนเป็นที่จับตามองจากชาวโลกเย็นนี นักศึกษาพม่ากำลังขมักเขม้นทำเพลง ว่าด้วยโศกนาฏกรรมฆ่าประชาชนกลางกรุงร่างกุ้งเมื่อปี 1988 เกือบยี่สิบปีก่อน เขาเลือกเอาเชียงใหม่เป็นสถานที่ทำเพลง…