เพลงรบต่อเนื่องกันมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ยังมีบันไดอีกหลายขั้นทอดไป และยังมีบันไดขั้นใหม่ๆทอดข้ามไปมา ข้ามพรมแดนแปลกหน้าหากันและกัน ไม่ว่าเพลงจะเกิดขึ้นในถ้ำ เกิดในศูนย์ลี้ภัย เกิดตามป่า เกิดในเมือง เพลงยังมีชีวิตเดินทางไปตามหาคนฟังต่อไป
ยามเพลงเดินไปตามไร่ข้าว ห้างไร่ ออกตามหาคนฟัง ผมไม่นึกว่าภาพนั้นจะกลายเป็นเรื่องราวอื่นไปได้มากกว่านั้น
คนเกี่ยวข้าวหยุดพัก ตีวงล้อมเข้ามา นั่งฟังเพลง
คนหนุ่มที่ใช้เวลากับการเล่นเพลง แต่งเพลง ร้องฟังกันเองในแค้มป์ผู้ลี้ภัย เหมือนโลกไม่เคยเห็น โลกไม่เคยรับรู้
ออกเดินไปร้องเพลงกันในถ้ำ
เสียงปืนที่คำรามอยู่อีกฟากยอดเขา เด็กหนุ่มกำลังแต่งเพลง เขาเขียนเพลงที่สั่นใจคนหนุ่มให้ออกไปรบ ...คงเป็นฉากฝันไป ฉากฝันไปจริงๆ
หลายครั้งที่ผมไปอยู่ร่วมวงเพลงในไร่ข้าว รวงข้าวคงไม่อยากรักนวลสงวนตัว โยกรวงไปตามเพลง รวงข้าวฟังเพลง แต่เนื้อหาเพลงนั้น เล่าถึงเด็กๆที่นอนฟังเสียงปืนทั้งคืน ชีวิตที่อยู่ด้วยความหวาดหวั่น
เสียงเพลงจริงจังเหลือเกิน มันเป็นเสียงของการมองโลกอย่างมีความหวัง มองโลกในแง่ดีผ่านชีวิตอันโหดร้าย ปลุกปลอบ ให้รู้สึกถึงกำลังใจ
เพลงริมตะเข็บชายแดน ยังทำหน้าที่นั้น ผมเชื่ออย่างนั้น คนสร้างเพลงปรารถนาจะให้ก๊อปปี้ไปฟังกันเยอะๆโดยปราศจากราคา
ที่ทางที่อยู่ที่ยืนของเพลงบนความยากลำบาก ต่อสู้ ดิ้นรน พลัดพราก สูญเสีย ขมขื่น ถึงกระนั้น เพลงยังกังวานขึ้นมาด้วยความหวังเสมอ
ผมเขียนถึงเพลงรบบนแผ่นดินตะวันตก คารวะบทเพลงเหล่านั้น คนสร้างเพลงเหล่านั้น บทเพลงที่ไม่มีทางจะพลิกผันกลายเป็นอื่นไปมากกว่าเพลงร้องปลอบตัวเอง เผ่าพันธุ์ตัวเอง
เป็นฝุ่นลมในคืนดำมืด เป็นเสียงร้องที่ไม่ปรารถนาน้ำตาจากใครอื่น
แต่ใครจะรู้ว่าสักวันหนึ่ง รั้วกั้นขวางความเกลียดชังกันระหว่างเผ่าพันธุ์จะพังลง แล้วเพลงที่เกิดจากพลังต่อสู้ดิ้นรน จะกังวานไปทั่วแผ่นดินนั้น แผ่นดินประเทศพม่า
มีโอกาสเหมาะเมื่อไหร่ หรือมีอื่นใดเติมเข้ามา ผมคงได้กลับไปเขียนถึงอีกครั้ง
*** ปล. เพลงของเหล่อวา มีอันต้องยกรอไว้ก่อน มาถึงมือเมื่อไหร่ คงได้นำมาเขียนเพิ่มเติม