Skip to main content

ลมบาดหิน ของอา…


ผู้ชายคนนั้นกับผู้หญิงของเขาตัดสินใจแรมคืนในกระโจม(เต็นท์)

เขาพบว่าการเสียบก้านปลั๊กตัวผู้ลงในรูปลั๊กตัวเมียเพื่อต้มน้ำกับกาไฟฟ้านั้นเป็นความสะดวกสบายของคนในทาวน์เฮาส์ที่กรุงเทพฯ และอย่างน่าอิจฉา

แต่การมองหาก้อนหินนำมาวางเป็นก้อนเส้า

กิ่งไม้ง่ามปักกับดินแล้วพาดราวแขวนหม้อและริ้วชิ้นวัวฝานหมักเกลือ

ก่อกองไฟและต้มกาแฟ

นี้เป็นบางแบบของชีวิตซึ่งผู้ชายควรเรียนรู้...”




 

ทุกคำ ทุกประโยคบดเจียรนัยจนได้มุมแสงโชนฉาย เห็นเต็มตา พรั่งพรูถึงใจ ผมหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านบ่อยๆ อ่านอย่างมีความสุขทุกครั้ง ความหมายชีวิตที่เปลือยออกมาดิบๆ กินดิบๆ ให้ฉุกคิดถึงชีวิตจริง

ข้ามปี ผมยังข้ามผ่านตัวหนังสือเล่มนี้

ข้ามปี ผมยังข้ามผ่านห้วงเวลาอย่างยากเหมือนเดิม

อามาถึงศาลาในวัดตอนบ่ายแก่ๆ หลังกลับมาจากฟอกไต อารู้ข่าวจากไหน ผมยังไม่ได้ถาม มือหนึ่งของอาถือไม้เท้า อีกมืออาตบไหล่ผม แล้วหลายประโยคที่ผู้ชายควรรู้จัก ก็ดังกังวานอยู่ในหูผม


ผมไม่ได้กลิ่นธูปไปชั่วขณะ ดอกไม้สดสีขาวโพลนอยู่ตรงหน้า

อาพูดถึงความตาย สัมผัสลึกซึ้งที่ใครสักคนเข้าไปอยู่ร่วมอันหนึ่งอันเดียวกัน อาไม่บอกให้ผมเช็ดน้ำตา หรือหยุดเช็ดน้ำตา แต่อาเล่าถึงบทเรียนความตายที่ผู้ชายต้องพบในชีวิต


อาไม่ได้บอกหนทางว่าผมควรผ่านนาทีวิกฤติชีวิตไปได้อย่างไร

แต่เล่าถึงความตายอันเจ็บปวด ยอกย้อนชีวิตได้ทุกนาม ทุกยุคสมัย

ผมบอกอาได้อย่างไรนะว่า ผมยังไปร้องเพลงในสุสานก่อนวันสิ้นปี วันเกิดของดอกไม้สีขาว

ดอกไม้ บทกวีและบทเพลง

ออกมาจากใจทุกปี

มวลมิตร พี่น้องราวญาติ มาร่วมด้วยทุกปี

 




 


อาคงไม่บอกว่า ผมควรเลิกกิจกรรมชีวิตเปิดแผลเก่าเย็บแผลใหม่ และอาคงไม่แนะนำให้ผู้ชายคนหนึ่งควรเลิกความผูกพันอาลัยต่อคนเป็นที่รักไปง่ายๆ

ผมออกไปร้องเพลงให้ดอกไม้สีขาวฟังตอนแสงแรกมาถึง

29 ธันวาคม เช้า 7 นาฬิกา ปล่อยหัวอกกระเพื่อนไหวทุกปี

ประโยคเหล่านี้ของอา อยู่ในความเงียบและอ่านในใจ น่าจะเหมาะกว่ามั้ย ถ้าอ่านออกเสียงดังๆ กอไผ่ข้างบ้านคงไม่เคลิบเคลิ้มถึงขนาดบอกให้ผมอ่านซ้ำใหม่อีกครั้งหนึ่ง


ผู้ชายเรียนรู้จากป่าและดอกไม้

ราคะและความรัก และความหวงแหนชีวิต

เพลงกีตาร์บรรเลง

วิถีแห่งความรักมิเป็นอื่นนอกจาก, ความสวย

ดิฉันรักคุณหมดทั้งเปลือกนอกและใน

และที่เป็นตัวคุณนี้,

ดิฉันรัก,

เกลียวสว่านของคุณนอนอ้อนอยู่ในมือดิฉัน,

สะทกสะเทื้อนราวนก,

ในมือดิฉัน,”


ความตายที่ก่อเกิดขึ้นมาจากความรัก และจากไปด้วยความรัก ผมนั่งพูดคุยกับอาด้วยเนื้อหาทำนองนี้ ชีวิตก่อนมีชีวิต ชีวิตหลังไม่มีชีวิต


ความตายที่พ่อมองเห็นอยู่เต็มตา และต้องออกไปฝังร่างไร้ชีวิตตามลำพัง ตรึงอยู่ในใจ ยากลบลืมออกไป


ผู้ชายเรียนรู้จากป่าและดอกไม้

ราคะและความรัก และความหวงแหนชีวิต...”

 

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
เพลงรบต่อเนื่องกันมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย  ยังมีบันไดอีกหลายขั้นทอดไป  และยังมีบันไดขั้นใหม่ๆทอดข้ามไปมา  ข้ามพรมแดนแปลกหน้าหากันและกัน  ไม่ว่าเพลงจะเกิดขึ้นในถ้ำ  เกิดในศูนย์ลี้ภัย  เกิดตามป่า  เกิดในเมือง  เพลงยังมีชีวิตเดินทางไปตามหาคนฟังต่อไปยามเพลงเดินไปตามไร่ข้าว  ห้างไร่  ออกตามหาคนฟัง  ผมไม่นึกว่าภาพนั้นจะกลายเป็นเรื่องราวอื่นไปได้มากกว่านั้น  คนเกี่ยวข้าวหยุดพัก  ตีวงล้อมเข้ามา  นั่งฟังเพลงคนหนุ่มที่ใช้เวลากับการเล่นเพลง  แต่งเพลง  ร้องฟังกันเองในแค้มป์ผู้ลี้ภัย  เหมือนโลกไม่เคยเห็น …
ชนกลุ่มน้อย
ระหว่างรอความหมายเพลงของเหล่อวา  ซึ่งผมเขียนไว้ว่าจะนำมาขึ้นจอ  แต่เพลงของเขาอยู่ระหว่างทางแปลความหมาย  สัปดาห์ต่อไปน่าจะถึงฝั่งน้ำปิง  นอนรอ  นั่งรอ ... บังเอิญนึกถึงเพลงศิลปินเพลงอีกชุดหนึ่ง  รูปปกเทปดอกกุหลาบแดงพ้อต่อฉื่อโพ  -- กุหลาบน้อย   เป็นชื่อบนปกเทปนานมาแล้วผมเคยเขียนถึง  ผ่านคนบอกเล่า  และคนแปลความหมายเนื้อเพลง  ว่ากันว่า  เป็นงานเพลงที่รวบรวมเอาเพลงอมตะสองฟากฝั่งสาละวิน  เลือกเอาคุ้นหูคนตะเข็บชายแดนมาไว้ในที่เดียวกัน  ผ่านเสียงร้องหวานเศร้าจับใจ  ในโทนเนื้อเสียงใกล้เคียง  นอร่าห์ โจนส์ (Norah…
ชนกลุ่มน้อย
ผมพบเขาครั้งแรกในหน้าหนาวเมื่อหลายปีก่อน  หมู่บ้านเล็กๆ  ใจกลางเทือกถนนธงชัย  เขาไม่ค่อยมองสบตาในช่วงแรกๆ  เงียบเหมือนหิน  ยิ้มยาก  เคร่งขรึมอบอวลอยู่ภายใน  ผมนึกว่าคนจากพื้นล่าง  ขึ้นมารอซื้อของป่า  หรือพูดง่ายๆว่าอาจเป็นพ่อค้าซื้อของป่าสักอย่าง  ซึ่งมักปิดปากเงียบ  ไม่อยากให้รายละเอียดใครต่อใคร  ถึงจุดหมายที่มาของตัวเองต่อคนแปลกหน้าด้วยกัน  และของป่าที่จะซื้อก็ใช่ว่ามันจะเถรตรงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย  หรือจะพูดอีกอย่างว่า  ได้มาง่าย  ได้มาถูกๆ  ได้ของมาโดยไม่เหมือนคนอื่น …
ชนกลุ่มน้อย
ขณะผมนั่งเขียนต้นฉบับ พระสงฆ์ในพม่าออกมาเดินบนท้องถนนเป็นวันที่แปด คนออกมาร่วมเดินไปตามถนนด้วยนับแสนคน ถนนกลางกรุงร่างกุ้งเชิญชวนให้คนออกมาเดิน ดูท่าคนจะเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆผมเห็นทิวแถวพระสงฆ์เหมือนแม่น้ำใหญ่สาละวินหน้าฝน พร้อมถั่งโถมใส่สิ่งกีดขวางทุกอย่าง หอบลงอันดามันสายตานักรบมองจ้องนักบวช ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สะท้อนถึงเรื่องใด รัฐบาลเผด็จการทหารจะใช้วิธีสลายผู้ชุมนุมด้วยกระสุนปืนอีกหรือไม่ ล้วนเป็นที่จับตามองจากชาวโลกเย็นนี นักศึกษาพม่ากำลังขมักเขม้นทำเพลง ว่าด้วยโศกนาฏกรรมฆ่าประชาชนกลางกรุงร่างกุ้งเมื่อปี 1988 เกือบยี่สิบปีก่อน เขาเลือกเอาเชียงใหม่เป็นสถานที่ทำเพลง…