รัฐเมียนมาอยู่ในช่วง "Praetorian Transition" หรือ การเปลี่ยนผ่านอำนาจชนชั้นนำทหารซึ่งกินเวลาราวๆ 55 ปี นับแต่รัฐประหารโดยนายพลเนวินเมื่อปี ค.ศ. 1962 จนถึงปัจจุบัน
Robert Taylor ปรมาจารย์การเมืองเมียนมา เคยกล่าวว่า แผนการเปลี่ยนผ่านระบอบการเมืองจาก "เสนาธิปัตย์" (Praetorianism) มาสู่ "ประชาธิปไตยแบบมีระเบียบวินัยที่กำลังจะเบ่งบาน" (Flourishing Disciplined Democracy) เกิดขึ้นตั้งแต่ครากองทัพทำรัฐประหารยุติภาวะจลาจลในปี ค.ศ. 1988 โดยทุกครั้งที่ทหารเมียนมาแทรกแซงการเมืองมักจะอ้างเสมอว่าตนเป็นเพียงรัฐบาลชั่วคราวที่เข้ามารักษาเสถียรภาพแห่งรัฐเท่านั้น ทว่า คำว่า "ชั่วคราว" หรือ "รักษาการณ์" ของทหารเมียนมา ก็กินเวลาเข้าไปถึง 20 ปี เช่น อายุขัยรัฐบาลเนวินซึ่งตกอยู่ราว 26 ปี (1962-1988) และอายุขัยรัฐบาลตานฉ่วย ราว 19 ปี (1992-2011)
พลเอกอาวุโสตานฉ่วย (คนกลางภาพ)
เมียนมาระยะเปลี่ยนผ่านที่เห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้ คือ ผลผลิตทางยุทธศาสตร์ของพลเอกอาวุโสตานฉ่วยซึ่งปกครองประเทศด้วยระบอบอำนาจนิยมทหาร หากแต่ก็ตัดสินใจกดปุ่มเซ็ตกระบวนการแปลงสัณฐานรัฐผ่านแผนโรดแมป 7 ขั้น ทั้งร่างรัฐธรรมนูญ ทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง และการจัดตั้งสถาบันการเมืองใหม่ พร้อมพัฒนารัฐให้ทันสมัยบนเงื่อนไขที่ว่ากองทัพยังคงมีบทบาทนำในการเมืองระดับชาติและสามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลไกบริหารปกครองรัฐได้ทุกระดับ
ผลที่ตามมา คือ "ประชาธิปไตยอำนาจนิยมใต้เงาเสนาธิปัตย์" ซึ่งในช่วงต้นปี 2011 นายพลตานฉ่วย ประธานสภาทหาร (SPDC) ได้จับมือกับนายพลหม่องเอ ผบ.ทบ. ถอนตัวออกจากระบบการเมืองใหม่ แล้วหันไปดันนายพลเต็งเส่งและธุระฉ่วยมานขึ้นคุมแผงบริหารรัฐและนิติบัญญัติ แต่ทว่า สำหรับการปกครองกองทัพ มินอ่องหล่าย ถูกสถาปนาขึ้นเป็น ผบ.สส. คนใหม่ พร้อมต่ออายุราชการเป็น ผบ.สส. สองสมัยซ้อน หรือพูดอีกแง่คือมินอ่องหล่ายจะกินตำแหน่งราว 10 ปี นับแต่ครารัฐบาลเต็งเส่งไปจนถึงการสิ้นสุดอายุบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล NLD ที่นำโดยติ่นจ่อ-ซูจี
พลเอกอาวุโสมินอ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา
จริงอยู่ แม้ทหารเมียนมาจะเปลี่ยนบทบาทจาก "Direct Ruler" มาเป็น "Indirect Ruler" ซึ่งสะท้อนการลดระดับลงของอิทธิพลทหารในทางการเมือง กระนั้น อายุขัยของเสนาธิปัตย์เมียนมาที่ลากยาวกว่า 55 ปี ก็คงทำให้ "The Man on Horseback" ยังคงฝังรากลึกสถิตอยู่ในโครงสร้างสังคมการเมืองเมียนมาสืบไป
สำหรับทหารไทย ก็กำลังอยู่ในช่วง "Praetorian Transition" เช่นกัน ดังเห็นได้จากโรดแมปของ คสช. ซึ่งมีลู่วิ่งคล้ายคลึงกับกรณีเมียนมา การแปลงสัณฐานรัฐไทยครานี้ เข้าหลักรัฐศาสตร์ที่ว่า หากชนชั้นนำทหารมิได้ถูกกดดันอย่างหนักหน่วงจากพลังประท้วงประชาธิปไตย สงครามกลางเมือง การแทรกแซงจากมหาอำนาจ หรือความแตกแยกเปราะบางของขั้วอำนาจภายในกองทัพ เมื่อนั้น ทหารผู้ปกครองจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าตนจะถอนตัวกลับเข้ากรมกองเวลาใด และยังสามารถผลิตสูตรการเมืองใหม่เพื่อให้กองทัพมีบทบาทนำในระยะเปลี่ยนผ่าน
อาจเว้นเสียแต่ปัจจัยฝืดเคืองทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อการล่มสลายของระบอบอำนาจนิยมแบบฉับพลัน แต่ถ้าหาก คสช. ยังสามารถประคับประคองประวิงเวลาสืบไป คล้ายๆ กับทหารเมียนมา ผลลัพธ์การเมืองไทย คงหนีไม่พ้น "Authoritarian Democracy under Praetorian Shadow" ซึ่งเป็นระบอบพันทาง (Hybrid Regime) ที่พบเห็นได้ทั่วไปในกระบวนการแปลงสัณฐาน (Metamorphosis) ของพลังอำนาจนิยมในรัฐกำลังพัฒนาทางแถบเอเชีย แอฟริกาและละตินอเมริกา
ดุลยภาค ปรีชารัชช