พรุ่งนี้ก็คงจะเป็นวันที่เราจะรู้ชะตาชีวิตของเด็กหนุ่มทั้ง 7 คน ว่าพวกเขาจะได้อิสรภาพชั่วคราวจากการที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัวหรือว่าศาลจะมีคำสั่งไม่ให้ฝากขังต่อเหมือนกับการจับกุมในช่วงเดือนมิถุนาปีที่แล้วหรือไม่
เมื่อมีการพูดคุยถึงสถานการณ์การจับกุมปีนี้มักจะมีการเทียบโยงไปถึงสถานการณ์เมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาโดยมีข้อสรุปง่ายๆว่า ปีนี้กระแสไม่ขึ้นเหมือนปีที่แล้ว
ก็มีส่วนจริง ในทางปรากฎการณ์กระแสไม่ขึ้นเท่ากับปีที่แล้วถือว่าถูกต้อง แต่ต้องไม่ลืมว่าในปี 58 มันมีการสร้างกระแสปูทางกันมาตั้งแต่ต้นปี การรณรงค์ชู 3 นิ้ว ต่อหน้าประยุทธ์หน้าสนามศาลากลาง ขอนแก่น ของ นศ. ดาวดิน การจับ นศ. หลายสถาบันในการรณรงค์ 1 ปีรัฐประหาร ที่หน้าหอศิลป กรุงเทพ ไล่เรื่อยกันมา
แรงกดดันมีมากพอจนทำให้ คสช. ต้องยอมปล่อยตัวชั่วคราว
มาถึงปีนี้คนมาร่วมน้อยจริง ดูเหมือนว่าความสนใจของคนในโซเชี่ยลมีเดียลดลงจริง อาจเพราะว่าประเด็นมันเก่าแล้ว กลัวติดร่างแหถูกดำเนินคดี หรืออาจรอปล่อยของตอนลงประชามติซึ่งปลอดภัยกว่าก็สุดจะคาดเดา
พอคนน้อย ก็มีข้อเสนอด้วยความห่วงใยว่า 7 ผู้ต้องขัง น่าจะยื่นขอประกันตัว ซึ่งผมเข้าใจความหวังดีของผู้เสนอ เพราะตอนโดนจับ มันก็ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาโดน แต่เป็นเพราะทาง คสช . ใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายได้ปัญญาอ่อนบัดซบจริงๆ ถ้าพวกเขายอมถอยโดยยื่นประกันตัวก็เท่ากับว่า เส้นเขตแดนเสรีภาพในการเคลื่อนไหวทางการเมืองจะถูกจำกัดให้ลดลงอีก
การยอมติดคุกของพวกเขาคือการ ต่อสู้ยืนยันสิทธิส่วนหนึ่งของนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเอาไว้ !
ต้องออกตัวล่วงหน้าว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมพวกเขา 3 วัน ได้คุยไม่เยอะ เพราะต้องแบ่งปันเวลากับเพื่อนมิตรท่านอื่น ก็แค่เข้าไปให้เห็นหน้า เล่าสถานการณ์ข้างนอกให้ฟังตามจริง รับฝากข้อความมาหาทางส่งให้กับคนใกล้ชิดบ้าง แต่ก็ไม่ได้เสนอให้ยอมติดคุกต่อ ไม่ต้องประกันตัวแต่อย่างใด
ให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง เคารพการตัดสินใจของเขา
แต่สำหรับเพื่อนมิตรที่ประเมินอยู่ภายนอก ผมอยากแลกเปลี่ยนว่าการเปรียบเทียบปรากฎการณ์สิบกว่าวันจากสองเหตุการณ์ข้างต้น อาจไม่เพียงพอที่จะนำมาสรุปจังหวะก้าวว่าควรจะถอยโดยการขอประกันตัวหรือไม่
ผมเคยเป็นผู้สังเกตุการณ์การเคลื่อนไหวกรณีการอดข้าวของ ฉลาด วรฉัตร ในเหตุการณ์ปี 35 ซึ่งผมมองว่ามันคล้ายกันกับกรณีนี้ก็ยังใช้เวลาร่วมเดือนกว่าจะจุดติด กว่าที่จะถึงจุดที่ทั้งมวลชนและผู้เล่นการเมืองอื่นๆ จะขยับเข้ามาร่วมวง
ตอนแรกก็ชุมนุมปราศรัย พูดกันเอง ฟังกันเอง ช่วงต้นบางวันคนไม่ถึงสิบคน
ไม่มีใครคิดว่ามันจะขยายตัวเป็นกระแสใหญ่โต แม้แต่แกนนำ นศ. ในรุ่นนั้นก็ยังเสนอว่าต้องสู้กันยาวๆ ต้องค่อยๆเสนอแก้ไข รธน. ไป
แต่ที่จัดกิจกรรมก็เพราะไม่อยาให้ฉลาดอดข้าวอยู่คนเดียว เลยจัดเพื่อให้มีคนอยู่เป็นเพื่อนฉลาด
ชักจะยาว เอาเป็นว่าโดยเฉพาะหน้าสำหรับผมแล้ว จะสู้อย่างไรต่อ ขอให้พวกเขาที่ต่อสู้อยู่ข้างในนั้นเป็นคนกำหนด
ไม่ว่าจะสู้อยู่ที่ไหน ข้างในหรือข้างนอก พวกเราก็จะไม่ทิ้งกัน
อยู่เป็นเพื่อนเขา
ผมบอกกับตัวเองได้เท่านั้น
0000
เขียนเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 เวลาประมาณ 03.00 น. ก่อนวันที่เจ้าหน้าที่จะนำ 7 นักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยใหม่มาศาลทหารเพื่อฝากขังผัด 2 ในเช้าวันเดียวกัน
เผยแพร่ครั้งแรกใน : Facebook Sarayut Tangprasert