Skip to main content

20 พฤศจิกายน 2550

1

คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า

ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น

ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า
“ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน”
“แล้วมีคนที่หมู่บ้านถูกเกณฑ์ให้ไปกับทหารพม่าบ้างหรือเปล่า”
“มีลุงของแม่คนหนึ่งไปกับทหารพม่าไปแล้วไม่เห็นหน้ากันจนถึงวันนี้”

แม่เฒ่าตอบพลางรินป่าเหล้าดีกรีแรงผ่านลำคอระหงที่ร้อยด้วยห่วงทองเหลืองแวววาว
“พอแม่คลอดลูกคนที่เจ็ดได้ไม่นานก็มีคนที่มาเมืองไทยส่งข่าวว่าอยู่ที่เมืองไทยสุขสบายกว่าอยู่นี่เดิมมาก พอมีคนมารับแม่ก็เลยตัดสินใจหอบลูกสามคนมาที่นี่”
“แม่มาเส้นทางไหน เพราะทหารพม่าอยู่กันให้ยุบยับตามชายแดน”
“ไม่รู้มีคนจากเมืองไทยมานำทาง ตอนนั้นมาได้สองทางคือขึ้นเกวียนกับเดินเท้าแต่แม่ไม่มีเงินจึงเดินเท้าเจ็ดวันเจ็ดคืน ลูกคนเล็กอายุยังไม่ครบสองเดือนเลย”

“แล้วพ่อเฒ่ากับลูกอีกสี่คนละแม่” ฉันถามต่อ
“ตอนนั้นพ่อเฒ่ายังไม่แน่ใจเลยว่าจะมาเมืองไทยดีหรือเปล่า ก็เลยแบ่งลูกกัน ให้ลูกชายช่วยพ่อทำนา พอแม่มาอยู่ที่นี่ได้ 3-4 เดือนก็ส่งข่าวกลับไปให้พ่อหอบลูกอีกสี่คนตามมา”

ไม่ได้มีเพียงพ่อเฒ่าและแม่เฒ่ากระยันครอบครัวนี้เท่านั้นที่หนีความยากจนและภัยสงครามมาอยู่ที่ใต้บรมโพธิสมภารในราชอาณาจักรไทย ยังมีชนกลุ่มน้อยอีกมากมายที่อพยพลี้ภัยมาอยู่ตามศูนย์อพยพค่ายๆของไทย แต่แม่เฒ่าผู้มีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์น่าสนใจต่อผู้พบเห็นจนดูเหมือนมีอภิสิทธิ์มากกว่าชนเผ่าอื่นในการได้ในการอาศัยอยู่นอกเขตศูนย์อพยพ

ฉันนึกภาพความยากจนของครอบครัวของสามีออก เพราะก่อนนั้นฉันเคยถามชีวิตความเป็นอยู่พี่สาวสามีเมื่อครั้งยังอยู่พม่า เธอเล่าให้ฟังว่า ต้องตื่นไล่วัวแต่เช้า ต้อนวัวนับร้อยตัวไปเลี้ยงในทุ่งหญ้า พอพ้นหน้าเกี่ยวข้าวเจ้าของวัวก็จะให้ค่าจ้างเป็นข้าวเปลือก  แต่ถ้าทำวัวของเขาตายสักตัว บางปีก็จะอดได้ค่าจ้างซ้ำยังต้องชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มก็มี

แม้ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงจะมีอยู่ทุกสังคม แต่สำหรับชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่า กับถูกรุกรานซ้ำเติมจากระบบการปกครอง นำไปสู่การปล้นชิงเอารัดเอาเปรียบเพียงเพราะมีความแตกต่างทางชาติพันธุ์
ดวงเทียนถูกจุดเติมให้สว่างแท่งแล้วแท่งเล่า แม่เฒ่าเล่าเรื่องราวระลึกหนหลังเมื่อนานมาแล้ว เมื่อครอบครัวของแม่เฒ่าอยู่พร้อมหน้าได้ไม่นาน พ่อเฒ่าก็มาด่วนจากไปด้วยไข้มาเลเรียทิ้งให้แม่เฒ่าดูแลลูกที่ยังเล็กทั้งเจ็ดคน

หลังจากพ่อเฒ่าตายได้ประมาณสี่ห้าปี แม่เฒ่าก็แต่งงานใหม่ แต่อยู่เป็นเสาหลักให้ครอบครัวไม่นานก็เกิดเรื่องสะเทือนใจขึ้น พ่อเฒ่าหายตัวไปหลังจากต้องไปเฝ้าไข้ลูกชายที่โรงพยาบาล มีคนไปพบร่างที่ไร้วิญญาณอยู่ที่ชายแดนไทยพม่า
เมื่อแม่เฒ่าทราบข่าวก็โศกเศร้ากินไม่ได้นอนไม่หลับจนกระทั่งล้มป่วยลง ต้องไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน

ฉันจึงไม่แปลกใจ ที่มักจะเห็นห้วงรำพึงถึงความหลังของแม่เฒ่านั่งจิบสุราเดียวดายยามค่ำคืน
“ตอนนี้แม่ไม่คิดอะไรสักอย่าง  ดื่มวันละนิดละหน่อยเป็นยา”

แม่เฒ่าจิบเหล้าบ่อยครั้งในแต่ละวัน แม้ลูกหลานจะคอยห้ามปรามแต่เหมือนไม้แก่ดัดยาก แม่เฒ่าดื่มเหล้าเป็นยา ยาแก้ช้ำใน ยาชูกำลังใจ

ฉันรู้ซึ้งถึงความในใจของแม่เฒ่าที่แม่เฒ่าที่มีความหวังอยากจะไปเห็นทะเลสักครั้งในชีวิต แต่เป็นเรื่องยากที่ทางการจะอนุญาตให้ชนเผ่าที่มีค่าตัวแพงอย่างกระเหรี่ยงคอยาว ออกไปเดินเพ่นพ่านโชว์ตัวให้ผู้อื่นพบเห็น

แม้ลูกหลานจะคอยบอกให้แม่เลิกคิดเลิกหวังแม่เฒ่าก็ยังมีความหวังอยู่เสมอเมื่อครั้งใดที่มีเพื่อนผู้มาเยือนแม่เฒ่าเป็นคนไทยพูดจาชักชวนให้ไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ

“แม่จะไปเจเปน (ญี่ปุ่น) เพื่อนญี่ปุ่นชวนแม่แล้ว ปีหน้าแม่จะไป เมืองไทยแม่ไม่ไปก็ได้ แต่เจเปนแม่คงจะไปได้”
แม่เฒ่าเปรยถึงความหวังครั้งใหม่ให้ลูกสะใภ้อย่างฉันฟัง เหมือนก้อนกลมสักอย่างวิ่งมาชนที่อกให้หายใจติดขัด คำพูดก็ดูเหมือนตีบตันตามไปด้วย

ฉันจะทำลายความหวังของแม่เฒ่าด้วยการพูดความจริงว่า ก่อนจะไปเจเปนก็ต้องออกจากเมืองแม่ฮ่องสอนให้ได้ก่อนจึงจะไปขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิอันโอ่อ่า เพื่อจะลัดฟ้าข้ามเขตอาณาจักรไทย ไปยังประเทศอื่นๆของบรรดานักท่องเที่ยวที่มาเยือนแม่เฒ่าถึงหัวกระไดบ้าน

“แม่มีเงินค่าเครื่องบินแล้ว แต่ลูกๆจะปล่อยแม่ไปไหมก็ไม่รู้” แม่เฒ่ารำพึงถึงความฝัน หัวใจนั้นบินไปไกลแล้ว สวนทางความเข้าใจในพื้นที่ของแม่เฒ่าที่ยังไปไม่พ้นหัวกระไดบ้าน
“แม่จะไปเจเปนได้อย่างไร ที่นั่นเขาไม่มีเหล้าแบบนี้นะ เขาไม่ให้เอาขึ้นเครื่องบินไปด้วยซี แม่ต้องอดเหล้านะ ” ฉันหาทางออก
“โอ้ะ! จริงหรือแม่ไม่รู้เลย” แม่เฒ่าตกใจกับข่าวที่ฉันบอกก่อน
“ งั้นแม่ไม่ไปแล้วเจปงเจเปน กินเหล้าเฉยๆ ขายของอยู่ที่บ้านดีกว่า” แม่เฒ่าเอื้อยเอ่ยช้าๆดังจะหาทางออกให้กับตัวเอง หลังจากเงียบครุ่นคิดด้วยสีหน้าผิดหวัง ฉันจึงรีบตัดบทว่า “ถ้าแม่อยากไปจริงๆ แม่เลิกเหล้าก่อนนะ ถ้าแม่เลิกได้ หนูจะพาไปเที่ยวบางกอกเอง”

ฉันทิ้งความหวังใบสุดท้ายที่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงในวันใด แต่คงไม่ไกลเกินไปถึงเจเปน หากวันหนึ่งรัฐไทยจะให้สิทธิ์ความเป็นพลเมืองสำหรับนกน้อยในกรงทองเลอค่าที่ยังคงทำคุณให้แผ่นดินเช่นชนกลุ่มนี้.

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
  สาละวิน,ลูกรัก เมื่อครั้งที่แม่มาจังหวัดเชียงใหม่ครั้งแรกนั้น แม่อายุได้ 18 ปี เชียงใหม่ในความรู้สึกของแม่มันช่างกว้างใหญ่สวยงาม  แม่เป็นเพียงเด็กบ้านนอกจนๆ ที่มีเพียงเงินค่ารถติดตัวไม่กี่บาท ที่เหลือก็เป็นค่าลงทะเบียนสอบเอ็นทรานซ์ แม่มองเห็นพระธาตุดอยสุเทพจากวิวนอกเมืองยามรถแล่นผ่าน  แม่อธิษฐานในใจว่า หากมีบุญที่จะได้มาอยู่เชียงใหม่  ก็จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุฯ ให้ได้
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก แม่ได้เล่าถึงพิธีกรรมในการเรียกขวัญลูกในบทบันทึกที่ผ่านมา แม่ก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีพิธีกรรมเกี่ยวกับแม่ ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ของแม่เช่นกัน
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก พ่อกับแม่ต่างเกิดขึ้นมาในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างริบลับ แม่นั้นแม้จะเกิดที่ภาคอีสานของประเทศ แต่ก็ซึมซับวัฒนธรรมอีสานได้เพียงน้อยนิด ก็ต้องมาใช้ชีวิตและเติบโตที่ภาคเหนือจนกระทั่งเมื่อเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ก็ดูเหมือนจะตัดขาดกับฐานวัฒนธรรมของตัวเอง เพราะอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่สังคมชั้นกลางเป็นกระแสหลักอยู่รายล้อม
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก เช้าวันที่สองของการไปคลอด ในมือของแม่ยังคงว่างเปล่า ทั้งที่ทุกคนในห้องหลังคลอดต่างมีห่อของขวัญอยู่ในมือกันคนละห่อ พ่อของลูกเทียวไปมาระหว่างห้องหลังคลอด ซึ่งอยู่ชั้นบนของห้องรอคลอด กับห้องพักเด็กอ่อน ที่อยู่ไกลออกไปอีกหนึ่งช่วงตึก ที่นั่นมีห่อของขวัญของแม่นอนอยู่ในตู้อบเล็กๆ ขนาดเท่ากับตัวลูก
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก ในเช้าที่แม่ต้องเดินทางไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลในเมือง เป็นเช้าสุดท้ายที่แม่ได้นอนตื่นสายเช่นที่แม่เคยเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลังจากมีสาละวินแล้ว แม่ก็ไม่ได้ตื่นสายอีกเลย มันเป็นเช้าปกติที่แม่ตื่นขึ้นมาพบว่าอุ้มท้องลูกได้เก้าเดือนแล้ว และวันนี้หมอนัดให้แม่ไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล
เจนจิรา สุ
 สาละวิน,ลูกรัก  ลูกมักตื่นแต่เช้า เช้าที่เรียกว่าไก่โห่เลยที่เดียว  มีคนเคยพูดไว้ว่า มีเด็กทารก กับคนแก่ที่มีพฤติกรรมคล้ายกัน คือตื่นเช้ามากๆ  แต่จุดประสงค์ของการตื่นเช้าของคนต่างวัยกลับต่างกัน เด็กทารกนั้น ตื่นเต้นกับโลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย และหลับมานานในท้องแม่จนกระตือรือร้นที่จะตื่นมาเรียนรู้โลกใบกว้าง  ในขณะที่คนแก่ซึ่งอยู่บนโลกมานานรู้ว่าจะเหลือเวลาอยู่ดูโลกนี้ได้อีกไม่นาน  จึงไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการนอน
เจนจิรา สุ
แม่มองย้อนกลับไปในวัยเด็ก อุปนิสัยก้าวร้าวรุนแรง ที่เคยแสดงออกทางกายภาพนั้นมันยังคงซ่อนอยู่ในจิตใจและแสดงออกมาในรูปแบบอื่นเมื่อเราโตขึ้น เช่น เมื่อก่อนที่แม่จะมีลูก แม่เป็นนักดื่มตัวยงคนหนึ่ง เมื่อเมาจนได้ที่ ความก้าวร้าวรุนแรงก็จะปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะ จนบางครั้งเพื่อนฝูงต่างก็เอือมระอา 
คนที่ขาดพื้นฐานความรักความอบอุ่นจากครอบครัวเช่นแม่นั้น ย่อมมีผลต่อพฤติกรรมจากเด็กจนถึงผู้ใหญ่และอาจติดตัวไปตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้ หากแม่ไม่มองย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นและไล่เรียงสิ่งผิดพลาดในชีวิตที่ผ่านมา เพื่อเป็นอุทาหรณ์และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เพราะหากแม่มัวแต่โทษว่าสิ่งที่ตัวเองทำผิดต่างๆ…
เจนจิรา สุ
สาละวิน, ลูกรัก ในวันที่แม่เริ่มจับปากกาเขียนถึงลูก สาละวินอายุได้หนึ่งเดือนกับสิบแปดวัน แม่นั่งอยู่ข้างๆ เบาะเล็กๆสีชมพู ซึ่งลูกอาจจะแปลกใจที่แม่เลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้เป็นสีชมพูนั้น แม่ยอมรับว่าในใจตอนแรกของแม่ก็หวังจะให้ลูกคนแรกเป็นผู้หญิง
เจนจิรา สุ
นักท่องเที่ยวต่างชาติยอมจ่ายค่าตั๋วอย่างต่ำหนึ่งร้อยถึงสองร้อยห้าสิบบาทเป็นค่าเข้าชม วิถีชีวิตที่จำลองขึ้นของชาวกระยันที่ถูกเรียกขานเสียใหม่เพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวว่า "กะเหรี่ยงคอยาว" และนับเป็นความสำเร็จของกลุ่มนายทุนและการโปรโมทการท่องเที่ยวของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ทำให้คนทั่วประเทศหลั่งไหลเข้ามาชมกระเหรี่ยงคอยาว จนเป็นที่รับรู้กันว่าหากจะมาดูชนเผ่าที่มหัศจรรย์ที่สุดต้องมาที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนแห่งนี้
เจนจิรา สุ
สาละวิน, ลูกรัก ลูกลืมตาดูโลกในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.2550 ในตอนค่ำเวลา 19.21 น. ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำเดือน 4 ปีกุน แม่ให้ชื่อลูกไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิดว่า "สาละวิน" ชึ่งหมายถึงชื่อของแม่น้ำพรมแดนกั้นระหว่างไทยกับพม่า สาละวินของแม่ถือกำเนิดมาจากแม่ซึ่งเป็นคนไทยและพ่อที่อพยพมาจากพม่า ชื่อของลูกที่เปรียบเทียบได้กับแม่น้ำพรมแดนเชื่อมสายสัมพันธ์ให้เราสองคนอยู่เคียงข้างกันตลอดไปดังเช่นไทยและพม่า
เจนจิรา สุ
มะโนตัดสินใจอยู่นานกว่าสองวันหลังจากที่หญิงกระยันร่างกายผอมบางอายุ 52 ปี สะดุดล้มในห้องน้ำจนทำให้ให้เกิดอาการบวมที่ท้องด้านขวา เมื่อทนการรบเร้าจากคนรอบข้างไม่ไหวให้ไปหาหมอ เธอจึงเปิดหีบใบใหญ่ที่ใส่ข้าวของเงินทองที่มีอยู่รวมไปถึงเอกสารประจำตัวต่างๆ เพื่อค้นใบเล็กๆ สีเขียว มันเป็นบัตรเข้ารับการบริการที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่พบ
เจนจิรา สุ
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นอีกจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินึกถึงเมื่อเดินทางมาเยือนภาคเหนือของไทยแม้หนทางที่มุ่งสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนจากจังหวัดเชียงใหม่   จะคดโค้งลาดชันน่าหวาดเสียวจนขึ้นชื่อว่า   หากใครเดินทางมาถึงแม่ฮ่องสอนจะเป็นดั่งผู้พิชิตจำนวนโค้งมากที่สุดถึง 1,864 โค้งเลยทีเดียว