นายหัว ส.
การรณรงค์เรียกร้องต่อศาลให้พิจารณาคดีด้วยความยุติธรรมอย่างเสมอภาค จึงจะเป็นหนทางนำไปสู่การปรองดองของคนในชาติ
สภาผู้แทนคนเสื้อแดงในคุกรู้สึกสงสารและเห็นใจคนเสื้อแดงที่ยังถูกคุมขังอยู่ในคุกทุกคน และมีความคิดเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะศาลมีความยุติธรรมลำเอียงระหว่างคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง เป็นการสร้างเงื่อนไข ร้ายแรงที่ก่อให้เกิดความแตกยกของคนในชาติ เพราะคนเสื้อแดงยากจะทำใจได้ต่อความอยุติธรรมที่ได้รับจนเป็นกล่าวสรุปที่ว่า “คนเสื้อเหลืองทำอะไรก็ไม่ผิด คุกก็ไม่ต้องติด แต่คนเสื้อแดงทำอะไรก็ผิดหมดต้องติดคุกอยู่ฝ่ายเดียว ช่างน่าแค้นใจนัก”
มีการลำดับเปรียบเทียบการกระทำความผิดระหว่างคนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดงดังนี้ คนเสื้อเหลืองชุมนุมสนับสนุนการให้ก่อรัฐประหารในปี 2549 ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำร้ายนายณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสงที่เป็นฝ่ายเสื้อแดงจนเสียชีวิต และพกพาอาวุธปืนขับรถไปยิงคนจนได้รับบาดเจ็บหลายคน ที่ถนนวิภาวดีซอย 3 ใน 2550 บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ บุกล้อมรัฐสภา ขัดขวางการต่อสู้การปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ขับรถชน พยายามฆ่าเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ แล้วถอยรถยนต์ชนซ้ำ พยายามฆ่าเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อนอีกกระทงหนึ่ง ทั้งหมดนี้เหตุเกิดในปี 2551
คดีต่างๆ เหล่านี้ผ่านมาห้าปีแล้วยังไม่มีคนเสื้อเหลืองคนใดถูกขังอยู่ในคุกเลย ที่ถูกดำเนินคดีได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวหมด ไม่ว่าจะเป็นคดีร้ายแรงแค่ไหน ยึดสนามบินสุวรรณภูมิเสียหายกว่าสองแสนล้านบาท มากกว่าศาลากลางที่ถูกเผาเป็นไหนๆ แล้วยังเข้าข่ายเป็นผู้ก่อการร้ายสากล ก็ยังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
ส่วนคดีพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ถึงสองกระทง นอกจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวตั้งแต่ต้นแล้ว สุดท้ายศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี ให้มีการรอลงอาญาไม่ต้องติดคุก แล้วทราบว่าอัยการก็ไม่อุทธรณ์ คดีสิ้นสุดอย่างน่าอัศจรรย์
ต่างจากคดีฝ่ายเสื้อแดง คือ นายประสิทธิ์ พลอยทับทิม ที่ขัดขวางการเข้ารื้อเวทีและเต็นท์ของกลุ่ม “พิราบขาว 2006” ที่ชุมนุมขับเผด็จการ คมช. ที่ท้องสนามหลวงในเช้าตรู่ของวันที่ 14 มีนาคม 2550 ขัดขวางการเข้ารื้อเวทีและเต็นท์ของกลุ่ม “คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ” โดยเจ้าหน้าที่เทศกิจในวันที่ 15 มีนาคม ถูกศาลจำคุกคดีละ 6 เดือน รวม 1 ปี
คนเสื้อแดงอื่นๆ ที่ถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดในปี 2553 หลังคดีคนเสื้อเหลืองถึง 3 ปี และความร้ายแรงของคดีก็น้อยกว่า เวลานี้ถูกขังอยู่ในคุกหลายสิบคน นี่คือสิ่งที่คนเสื้อแดงมองว่าไม่ยุติธรรมอย่างมาก เป็นสองมาตรฐานที่น่าแค้นเคือง จึงควรที่คนเสื้อแดงทั้งประเทศ นปช. และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องออกมาเรียกร้องต่อศาลให้พิจารณาให้เกิดความยุติธรรมอย่างเสมอภาค ถ้าไม่ปล่อยคนเสื้อแดง ก็ต้องเอาคนเสื้อเหลืองที่คดีร้ายแรงกว่ามาขังคุกด้วยกัน
ขอให้คนเสื้อแดงจัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งเพื่อรณรงค์เรียกร้องต่อศาลสถิตยุติธรรมให้พิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่คนไทยทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความปรองดองของคนในชาติ
6 ตุลาคม 2555
บล็อกของ นายหัว ส. และมิตรสหาย
นายหัว ส. และมิตรสหาย
โดย ... นายหัว ส.
ชื่อบทความเดิม: สถานการณ์ประเทศไทย ...ยุทธศาสตร์ยังไม่เปลี่ยน การปรองดองเป็นเพียงยุทธวิธีเท่านั้น
นายหัว ส. และมิตรสหาย
มีคำกล่าวที่ว่า “คุกเจริญสังคมเสื่อม คุกเสื่อมสังคมเจริญ” เป็นดัชนีชี้วัดสังคมไทยปัจจุบันอย่างหนึ่ง เพราะเวลานี้คุกของประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองมาก มีผู้ต้องขัง 240,000 คน ล้นทุกคุก ทั้งๆ ที่เพิ่งมีการพระราชทานอภัยทาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ที่เพิ่งผ่านมา 3 เดือนเท่านั้น