Skip to main content
ผมเคยดูวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ชื่อ "แฮมเมอร์" แสดงสดหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ ดูครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ยอมรับว่าประทับใจมาก ครั้งต่อ ๆ มาก็ยังประทับใจ ทุกคนในวงตั้งใจเล่น ตั้งใจร้อง นักดนตรีหลายคนสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น เดี๋ยวขลุ่ย เดี๋ยวไวโอลิน ดูแล้วเพลิดเพลินนัก


แตกต่างจากวงดนตรี
"เพื่อชีวิต" ทั่ว  ๆ ไป แม้จะมีหนวดเครายาวรุงรัง แต่แฮมเมอร์ดูสะอาด ไม่มีลีลาหรือพิธีรีตองอะไรมาก ไม่ต้องเก๊กหน้าให้ดูเหมือนกับคนมีความคิดลึกซึ้งหรือดัดเสียงให้ฟังซึ้งเศร้าหรือด่านักการเมืองก่อนเข้าเพลง  วงดนตรีแฮมเมอร์เป็นอะไรที่น่าจดจำ

อย่างไรก็ตาม เสียงเพลงและการแสดงของแฮมเมอร์ไม่น่าประทับใจและน่าจดจำอีกแล้วเมื่อแฮมเมอร์เลือกที่จะสร้างอะไรใหม่ ๆ ให้กับตนเองโดยการกระโดดขึ้นเวทีของแก๊งค์ก่อการร้ายพันธมิตร เดินตามรอยวงดนตรีอย่าง "คาราวาน" เข้าสมทบเป็นหนึ่งของกลุ่มเสื้อเหลือง  ฝักใฝ่ศักดินา ใช้ความเป็นศิลปินฉวยโอกาสเกาะไปกับกระแสเพื่อหาที่ปักหลักให้กับตนเอง

วงแฮมเมอร์เกิดขึ้นมาในบริบทของการต่อสู้ทางการเมืองแห่งเดือนตุลาคม ร้องเล่นอยู่ในหมู่กรรมกรและนักศึกษา เปลี่ยนชื่อวงไปเรื่อย  ๆ เพื่อความปลอดภัย  กระทั่งกลายเป็นแฮมเมอร์ในที่สุด

เพลง
"บินหลา" ซึ่งเป็นเพลงสร้างชื่อของแฮมเมอร์ (มีการนำไปประกอบภาพยนตร์) เพลงนี้มีการแก้ไขคำเพียงเล็กน้อยจากบทเพลงที่   วิสา คัญทัพ แต่งให้กับขบวนการฝ่ายซ้าย ทำนองโดย จิ้น  กรรมาชน (เกิดกรณีเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์อยู่ช่วงหนึ่งระหว่างแฮมเมอร์กับวิสา  คัญทัพ เพราะแฮมเมอร์ไม่ให้เครดิตกับเจ้าของเพลงตัวจริง) ส่วนเพลง "แม่" ก็ดัดแปลงมาจากเพลง "ความแค้นของแม่" ของวงคาราวาน

การรำลึกถึงเหตุการณ์ในเดือนตุลาคมที่จัดขึ้นตามที่ต่าง ๆ วงดนตรีเพื่อชีวิตหลายวงรวมทั้งแฮมเมอร์จะได้โอกาสขึ้นแสดง ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่าวงแฮมเมอร์เติบโตมาพร้อมกับการต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการประชาธิปไตย

ความขัดแย้งทางการเมือง และการเกิดขึ้นของกลุ่มก่อการร้ายพันธมิตรถือเป็นอีกวาระหนึ่งที่เหล่าวงดนตรีเพื่อชีวิตจะได้แสดงบทบาท ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายที่วงดนตรีที่เป็นตำนานและสร้างเพลงดี ๆ ไว้มากอย่างคาราวานเลือกไปยืนกับฝ่ายเหลือง  พร้อมพ่วงเอาแฮมเมอร์และเหล่ากวีซีไรท์ล้าหลังเข้าไปด้วยโดยคิดเอาง่าย ๆ ว่าแค่ต่อต้านอะไรที่มันดูเป็นทุนนิยมก็ถือว่าใช้ได้แล้วทั้งที่ตามจริงแล้วทุกลมหายใจเข้าออกในยุคปัจจุบันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ทุนนิยม การทำทีเป็นต่อต้านทุนนิยมที่แท้แล้วคือการปฏิเสธ
"ปิศาจ" ที่อยู่ในตัวเอง

การเลือกข้างสีเหลืองทำให้แฮมเมอร์มีแฟนเพลงที่หลากหลาย และกลับมามีชื่ออีกครั้งหลังจากที่เป็นที่รู้จักกันในวงแคบ ๆ เท่านั้น   หากไม่ใช่เพราะความเป็นสีเหลือง หากไม่ใช่เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้วคงเป็นไปได้ยากที่แฮมเมอร์จะจัดคอนเสิร์ตในอินดอร์ สเตเดื้ยม หัวหมาก ในวาระที่ครบรอบ 30 ปี เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
           



อารี ประธาน นักร้องนำของวงกล่าวถึงคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเขาว่า
"จุดประสงค์ของแฮมเมอร์หวังเพียงว่าฝันของเราคือ 30 ปีคอนเสิร์ต ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำได้เมื่อไหร่ แต่เวลานี้ทำได้ กลุ่มมวลชนพันธมิตรฯ ก็จะเป็นกำลังใจสูงด้วย ฉะนั้นหากเราทำแล้วมันเกิดประโยชน์ต่อสังคมร่วมไปกับเอเอสทีวี ดูน่าจะเป็นความน่ารักในการสร้างประวัติศาสตร์ 30 ปีด้วย"
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000012705

ความพิเศษของคอนเสิร์ตนี้นอกจากจะมีแขกรับเชิญจากกลุ่มพันธมิตรอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล 
ศรัณยู วงศ์กระจ่างและมงคล  อุทกแล้ว แฮมเมอร์ยังได้ขับขานบทเพลง "พ่อของเรา" ที่แต่งโดย "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" เป็นครั้งแรกด้วย

"ป๋าเปรมเป็นคนเขียนเพลงนี้ แล้วส่งมาให้แฮมเมอร์, ให้แฮมเมอร์ได้นำเสนอต่อไป ให้ทำในสไตล์ของแฮมเมอร์ 
เป็นเพลงที่ป๋าเขียนถึงในหลวง เราก็อยากให้คนไทยคิดตามเพลงนั้น" อารีเล่าต่อ "แต่การสื่ออารมณ์ของเพลง ป๋าเปรมบอกให้แฮมเมอร์ใช้อารมณ์ความเป็นแฮมเมอร์ อันนี้จึงเป็นเอกสิทธิ์หนึ่งที่ท่านบอกให้นำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้มากที่สุด การนำเพลงของป๋าเปรมมาไว้ในคอนเสิร์ตแล้วเป็นการเทิดทูนในหลวง เป็นเรื่องที่เรากตัญญู แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือเกียรติยศของเราด้วย กับ 30 ปีที่เราทำงานมา"
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000012705


ภาพการสวมกอดกันระหว่างสมาชิกวงแฮมเมอร์กับสนธิ  ลิ้มทองกุล เป็นอะไรที่เหนือคำบรรยาย  ความเขลาทำให้เสื่อมได้จริง ๆ .

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
บทความเรื่อง "แรงฤทธิ์ แต่อ่อนผล" ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในมติชนรายวันhttp://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01020352&sectionid=0130&day=2009-03-02 (วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11314) มีหลายประโยค หลายวลี หลายคำที่อ่านแล้วต้องส่ายหัวด้วยความอิดหนาระอาใจกับอคติและภูมิปัญญาของเขา แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่อ่านแล้วทำให้ผมสะดุดหยุดกึกในทันทีคือประโยคที่ว่า "ไม่ผิดอะไรที่จะรักทักษิณ แต่รักทักษิณและรักประชาธิปไตยพร้อมกันไม่ได้เพราะสองอย่างนี้ขัดแย้งกันเอง"
เมธัส บัวชุม
ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง "ผู้หญิง 5 บาป" เพราะเคเบิลทีวีเอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก อันที่จริงหนังเกรดต่ำแบบนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดอยากจะดูเลย แต่ผมก็เหมือนคนอื่น ๆ คือฉากรักร้อน ๆ ดิบ ๆ ที่ปรากฏอยู่มากมายสะกดให้ต้องหยุดดู หนังเรื่องนี้เหมือนหนังโป๊ะที่ดูแล้ว ถึงจุดออกัสซั่มแล้ว ไม่ควรจะมีอะไรให้พูดถึงอีกหรือหากอยากจะพูดถึงก็คงเป็นเรื่องความไม่เอาไหนของคนทำหนังที่อุตส่าห์ขนดาราและนักแสดงรับเชิญมาเพียบ แต่ทำได้เพียงแค่หลอกขายฉาก "เอากัน" เท่านั้น โดยให้ผู้หญิง 5 คนผลัดกันมาเล่าประสบการณ์ทางเพศที่โลดโผนโจนทะยาน (มีอะไรกับลูกศิษย์ตัวเอง โดนยามข่มขืน ได้กับวินมอไซค์)
เมธัส บัวชุม
31 มกราคมที่ผ่านมา ทีมงานความจริงวันนี้ สร้างปรากฏการณ์ "แดงทั้งแผ่นดิน- Red in The Land" ที่ท้องสนามหลวงด้วยประชาชนหลายหมื่น คนรวยคนจน นักวิชาการหัวก้าวหน้า นักปฏิวัติ คนรุ่นใหม่รุ่นเก่ามากันพร้อมหน้า บรรยากาศฮึกเหิมคึกคัก ส่งสัญญาณความไม่พอใจที่ล้นอกไปยังเหล่าศักดินา เขย่าขวัญพวกอมาตยาธิปไตยให้หยุดสำเหนียกให้มากก่อนจะกระทำการใด อันที่จริงการสำแดงพลังที่รัชมังคลาภิเษกเมื่อวันที่ 1 พ.ย.51 ที่ประชาชนเข้าร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่งนั้นน่าพรั่นพรึงและเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าชาว “แดง” พร้อมชนกับซากเดนของระบอบศักดินาเพียงขอให้มีเงื่อนไขที่เอื้อหรือสถานการณ์สุกงอมพอเท่านั้น…
เมธัส บัวชุม
  ผมชอบดูและเล่นฟุตบอลแม้ว่าจะเล่นไม่ดีเลยก็ตาม  มันเป็นความบันเทิงและกีฬาที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนเข้าฟิตเนส  แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผมไม่เคยชอบดูฟุตบอลไทยเลย อาจจะเปิดโทรทัศน์ไปเจอโดยบังเอิญ หยุดดูสักครึ่งนาที พอได้ยินเสียงพากย์ของนักพากย์กีฬาช่อง 7 ซึ่งไม่พากย์ไปตามเกมกีฬา หากแต่จ้องจะเข้าข้างทีมไทยท่าเดียวทำให้เสียอารมณ์จนต้องรีบเปลี่ยนช่องยิ่งเมื่อได้เห็นภาพข่าวนักฟุตบอลไทย แสดงอาการกักขฬะมีเรื่องวิวาทกับนักเตะต่างชาติอยู่บ่อย ๆ ด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกสมน้ำหน้า รู้สึกสมน้ำหน้ามากขึ้นเมื่อนักพากย์กีฬา…
เมธัส บัวชุม
ข่าวการตัดสินจำคุกชาวต่างชาติ “แฮร์รี่ นิโคไลเดส” ชาวออสเตรเลีย ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นนอกจากจะน่าอนาถใจไทยแลนด์แล้ว ยังสร้างแรงสะเทือนต่อสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” อยู่ไม่น้อยผมเคยคิดว่าไทยเป็นประเทศที่มี “เสรีภาพ” มากพอสมควร ถึงตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่ เพียงแต่ว่า “เสรีภาพ” ในไทยนั้นมี “เพดาน” กั้น มี “ขีด” ที่ข้ามไปไม่ได้ เราไม่อาจใช้เสรีภาพไปวิพากษ์วิจารณ์บางคนหรือบางองค์กรหรือเข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสได้ เช่น องคมนตรี ศาล กองทัพ เสรีภาพที่เรามีอยู่จึงเป็น “เสรีภาพแบบพอเพียง”
เมธัส บัวชุม
การเมืองหลังการเข้ามาของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร คือการแข่งขันกันนำเสนอด้านนโยบายที่ตอบสนองความต้องการสิ่งอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งถูกละเลยมาตลอด ผลงานของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ยิ่งยงและพรรคไทยรักไทยที่ได้ทำไว้ในเรื่องการกำหนดนโยบายสำหรับคนยากคนจน และผลักดันสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงกระทั่งใครต่อใครพรรคประชาธิปัตย์ปากว่าตาขยิบลอกมาหน้าตาเฉย แม้แต่พรรคภูมิใจของเนวิน ชิดชอบที่เพิ่งเปิดตัวไปก็ชูเรื่องประชานิยมเป็นม็อตโตของพรรค
เมธัส บัวชุม
-1-เมื่อกลุ่มก่อการร้ายพันธมิตร ฯ แยกย้ายสลายตัว เดินลงจากเวทีหลังจากสร้างความยับเยินสาธารณะจนสาแก่ใจ แล้วส่งพรรคประชาธิปัตย์วิ่งราวเข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาลโดยผนวกรวมกลุ่มงูเห่าของพวกเนวิน ชิดชอบ เข้าไปด้วยแล้ว การเมืองก็หมดสีสันลงอย่างมากเหมือนกับละครน้ำเน่าที่ตัวอิจฉาหายไปจากจอ ยอมรับนะครับ ว่ากลุ่มก่อการร้ายพันธมิตรที่เป็นม็อบมีเส้นนั้นดึงดูดกระแสความสนใจการเมืองขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด แม้แต่คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยใส่ใจเรื่องการเมืองเลยนั้นก็หันไปใส่เสื้อเหลือง เสื้อแดงกับเขาด้วย บางคนใส่ได้ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลืองแล้วแต่ว่ากระแสความนิยมของฝ่ายใดจะมาแรงกว่า
เมธัส บัวชุม
ชัยชนะที่ได้มาด้วยการฉ้อฉลของพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปธรรมด้วยการจัดตั้งรัฐบาลสมความมุ่งมาดปรารถนาที่รอคอยมาเกือบสิบปี แต่ก็ด่างพร้อยอย่างยิ่ง ไม่มีความสง่างามแม้แต่นิดเดียว ล่อนจ้อนน่าละอาย ผิดกติกามารยาทรวมไปถึงผิดกฏหมาย กระทั่งก่อให้เกิดความระอาเกลียดชัง บทบาทพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกข้างต้น ทำให้หลายคนตั้งฉายา สร้างวาทกรรมในการใช้เรียกขานพรรคประชาธิปัตย์ไปต่าง ๆ  นานาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปในแง่ลบฉายาที่ 1 "รัฐบาลต่างตอบแทน" ตอบแทนกระทรวงกลาโหมให้กองทัพที่ยืนหยัดช่วยเหลือทั้งทางตรงทางอ้อมแก่พรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด…
เมธัส บัวชุม
  เป็นการพังทลายลงของสถาบันตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความน่าเชื่อถือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคการเมืองซีกรัฐบาลรวดเดียว 3 พรรค อย่างรวบรัดตัดความ เร่งร้อนลนลานและผิด ๆ ถูก ๆ นักวิชาการผู้เคารพในหลักการ และคอการเมืองทั้งหลายพากันวิพากษ์วิจารณ์กันขรมถึงสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำลงไป เริ่มตั้งแต่ประเด็นเรื่องคุณสมบัติของตุลาการผู้เอาตัวรอดด้วยการท่องคาถาคุณธรรม จริยธรรม เป็นนิจสิน อย่างนายจรัล ภักดีธนากุล ไปจนถึงการย้ายสถานที่พิจารณาตัดสินคดีอย่างปุบปับ รวมไปถึงการนำทหารป่าหวายเข้ามาอารักขาตุลาการ แทนที่จะหยุดยั้งเหล่ามารพันธมิตร บางคนต่อรองไว้ว่าร้อยนึงเอาบาทเดียว…
เมธัส บัวชุม
ไม่กี่วันที่ผ่านมาเราคงได้เห็นกันแล้วว่าลัทธิพันธมิตรสามารถทำอะไรได้บ้าง ลัทธิพันธมิตรทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าอยากทำ ตั้งแต่การปิดสี่แยกเพื่อให้การจราจรเป็นอัมพาต ยึดรถเมล์ ล้อมรัฐสภา ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ไปจนถึงการปิดสนามบินเพื่อทำให้ผู้อื่น-ชาวต่างชาติ เดือดร้อนอย่างจงใจบัดนี้ ใครที่ยังเชื่อว่าลัทธิพันธมิตรชุมนุมแบบอหิงสาอันหมายความว่าไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นคงจะปัญญาอ่อนเต็มที ใครที่ยังเห็นว่าลัทธิพันธมิตรเป็นการเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยคงจะเป็นคนโง่ดักดาน และดังนั้นเพื่อชีวิตจะได้กลับสู่ความปกติ จึงควรหยุดให้ท้ายลัทธิพันธมิตรในทุกทาง…
เมธัส บัวชุม
อัสนี วสันต์ ในเพลง "ก็เคยสัญญา" เคยแหกปากตะโกนประโยคที่ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"  อันหมายถึงความรักที่แปรผันตามวันเวลาที่ผ่านพ้น   แม้ว่าจะสัญญากันไว้หนักแน่นก็ตาม ประโยคนี้ถูกตอกย้ำให้ฮือฮาอีกครั้งจากปาก แอ๊ด คาราบาว ผู้ซึ่งสวมบทนักร้อง นักดนตรี "เพื่อชีวิต"  วิพากษ์วิจารณ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่โฆษณามอมเมาให้คนซื้อทั้งที่ไม่มีคุณค่าสารอาหารแต่ประการใด แต่ในเวลาต่อมา แอ๊ด คาราบาว กลับมาทำธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง "คาราบาวแดง" อย่างที่รู้กัน เมื่อมีคนถาม แอ๊ด คาราบาว บอกง่าย ๆ ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"
เมธัส บัวชุม
เพราะว่าในนามของความถูกต้อง จะทำผิดอย่างไรก็ได้ ดังนั้นม็อบพันธมิตร ฯ จึงพากันทำผิดร้อยแปดพันเก้าประการ การกระทำทั้งร้อยแปดพันเก้าประการนั้นแม้จะเลวร้ายอย่างไรก็ไม่สำคัญนักเพราะถูกฉาบเคลือบไว้ในนามของความถูกต้อง เช่นนี้เองที่เป็นเหตุนำไปสู่คือปัญหาความขัดแย้งยุ่งเหยิงและความรุนแรงในทุก ๆ ทาง การหลบอยู่หลังวาทกรรมประเภท “กู้ชาติ” “พิทักษ์สถาบัน” ฯลฯ การหลงว่าตนเองหรือกลุ่มตนเองเป็นฝ่ายถูก เป็นฝ่ายจงรักภักดี รักชาติ ทำถูกกฏหมาย ตีตราฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายผิด ขายชาติ ไม่จงรักภักดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เลว ดังนั้นในนามของความถูกต้อง จำเป็นต้องกำจัดให้หายไปไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม