ถือเป็นความคืบหน้าทางการเมืองอีกขั้น ที่ประชาชนแห่งกองทัพแดงสามารถ "ลาก" เอาประธานองคมนตรีออกมาชันสูตรกันในที่แจ้ง จับแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าสาธารณชน เปลื้องเปลือยรอยตำหนิและแผลเป็นน่าเกลียด
ไม่เคยมียุคสมัยใดของการเมืองไทยที่ประธานองคมนตรี และองคมนตรีจะโดนเล่นงานขนาดนี้ แต่ปรากฏการณ์การณ์นี้มีที่มาที่ไป ประชาชนตระหนักชัดแล้วว่าทางเดินของระบอบประชาธิปไตยถูกขวางด้วยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาตลอด โดยที่ครั้งนี้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ โดดเข้ามาเล่นชัดเจน แม้จะเคยบอกว่า "ผมพอแล้ว" แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้น "หากองคมนตรีมายุ่งการเมือง ก็ต้องพร้อมรับให้การเมืองเข้าไปยุ่งด้วย"
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี จึงเป็นเป้าและเป้านิ่งให้กองทัพแดงรุมถล่มหนักหน่วง ในฐานะที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารโดยกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารโดยทหารเมื่อ 19 กันยา 49 ซึ่งเป็นการหมุนเข็มนาฬิกาถอยหลังกลับไปหลายสิบปี
นักแสดงตลกบนเวที นำบุคลิกของประธานองคมนตรีมาล้อเลียนอย่างเปิดเผย เรื่องเล่าเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศถูกแปลงให้เป็นเรื่องขำขัน ชาวบ้านต่างจังหวัดกล้ากล่าวคำบริภาษเต็มปากเต็มคำ แกนนำกองทัพแดง- จตุพร พรหมพันธุ์ หาญกล้าที่จะเรียกประธานองคมนตรีเสียงดังฟังชัดว่า "ไพร่"
"องคมนตรีต้องพิจารณาตัวเองมากกว่าคนอื่น เมื่อไม่ยอมปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ก็ควรแสดงความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น ความพยายามกล่าวอ้างว่า องคมนตรีคือสถาบัน มันไม่ใช่ องคมนตรีไม่ใช่เจ้า แต่เป็นไพร่เหมือนคนทั่วไป" http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pol01300352§ionid=0133&day=2009-03-30 (มติชนรายวัน, 30 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉ. 11342)
มายาภาพลวง ๆ ที่เคยปกป้ององคมนตรีได้อันตรธานไปเสียแล้วจริง ๆ แสงสว่างสาดส่องเข้าไปถึงในที่ซ่อนและทำให้ความจริงปรากฏ การวิพากษ์วิจารณ์อันเข้มข้นและการพูดความจริงโยกคลอนความศรัทธาที่ประชาชนเคยมีต่อองคมนตรีทั้งสองรายอย่างถึงรากถึงโคน
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อีกหนึ่งแกนนำกองทัพแดง กล่าวโจมตีหัวขบวนของระบอบอมาตยาธิปไตยว่า
"อยากเตือน อยากเตือน พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าอย่าเชื่อมั่นตนเองมากนัก เพราะต้นทุนความน่าเชื่อถือไม่เหลือแล้ว อยากให้สังคมไทยใช้สติพิจารณาความน่าเชื่อถือของตัวบุคคลจากอดีตที่ผ่านมา การกระทำของ พล.อ.สุรยุทธ์ชี้ชัดว่าพูดอย่าง ทำอย่าง ยกตัวอย่างเมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่เขาใหญ่ แต่ในขณะที่เป็นประธานฯกลับบุกรุกและครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง โดยไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ทั้งที่เป็นพื้นที่ป่าสงวน" http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=130376 (ไทยรัฐ,วันจันทร์ ที่ 30 มีนาคม 2552)
อันที่จริงการเข้าไปบงการวางแผน หรือมีส่วนร่วมในการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยขององคมนตรีทั้งสองรายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าประชาชนจะทราบกันโดยทั่วไป บางเสี้ยวของการเคลื่อนไหวทางการเมืองขององคมนตรีปรากฎเป็นข่าวเป็นระยะ ๆ
แต่การ "ให้รายละเอียด" เพื่อต่อจิ๊กซอว์ให้สมบูรณ์ขึ้นโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และการซ้ำเข้าไปแบบเนื้อๆ อีกหลายดอกจากพลเอก พัลลภ ปิ่นมณี และการออกมาแก้ข่าวของบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงซึ่งเป็นเหมือนการให้ข้อมูลเพิ่ม ล้วนเน้นย้ำให้สิ่งที่เป็นจริงอยู่แล้วเป็นจริงมากยิ่งขึ้นอีก พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี อัดองคมนตรีตรงๆ ว่า
"ผิดหวังที่ พล.อ.สุรยุทธ์เสียสัจจะที่ว่าจะไม่รับตำแหน่งหลังการปฏิวัติ แต่ก็มาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เรื่องตำแหน่งต่างๆ นั้น พล.อ.สุรยุทธ์เป็นคนยกขึ้นมาเองว่า การดำเนินการโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ จะไม่ได้ทำเพื่อหวังตำแหน่งหรือลาภยศอะไร" http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0101290352§ionid=0101&selday=2009-03-29 (มติชนรายวัน 29 มี.ค. พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉ. 11341)
เป็นไปตามสูตรที่องคมนตรี จะออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร แต่อย่างที่พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี พูด "เป็นเรื่องปกติธรรมดา เรื่องแบบนี้ถ้าเขาออกมารับว่าจริง เขาคงต้องไปโรงพยาบาลประสาท" ทิ่มไปอีกดอก
แม้ว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ จะตีนิ่ง ทำทีเป็นเฉย ๆ ต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่โดยวิสัยของศักดินาที่มีความอดทนต่ำ โดยวิสัยของนักการเมืองที่ทำได้ทุกอย่าง โดยบุคลิกที่ต้องเป็นฝ่ายชนะตลอด เชื่อว่าการตอบโต้ที่รุนแรงคงเกิดขึ้นไม่ช้าและนั่นจะเป็นการล้างกลุ่มศักดินากลุ่มใหญ่ออกไป
ไม่เคยมียุคสมัยใดของการเมืองไทยที่ประธานองคมนตรี และองคมนตรีจะโดนเล่นงานขนาดนี้ แต่ปรากฏการณ์การณ์นี้มีที่มาที่ไป ประชาชนตระหนักชัดแล้วว่าทางเดินของระบอบประชาธิปไตยถูกขวางด้วยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาตลอด โดยที่ครั้งนี้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ โดดเข้ามาเล่นชัดเจน แม้จะเคยบอกว่า "ผมพอแล้ว" แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้น "หากองคมนตรีมายุ่งการเมือง ก็ต้องพร้อมรับให้การเมืองเข้าไปยุ่งด้วย"
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี จึงเป็นเป้าและเป้านิ่งให้กองทัพแดงรุมถล่มหนักหน่วง ในฐานะที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารโดยกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารโดยทหารเมื่อ 19 กันยา 49 ซึ่งเป็นการหมุนเข็มนาฬิกาถอยหลังกลับไปหลายสิบปี
นักแสดงตลกบนเวที นำบุคลิกของประธานองคมนตรีมาล้อเลียนอย่างเปิดเผย เรื่องเล่าเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศถูกแปลงให้เป็นเรื่องขำขัน ชาวบ้านต่างจังหวัดกล้ากล่าวคำบริภาษเต็มปากเต็มคำ แกนนำกองทัพแดง- จตุพร พรหมพันธุ์ หาญกล้าที่จะเรียกประธานองคมนตรีเสียงดังฟังชัดว่า "ไพร่"
"องคมนตรีต้องพิจารณาตัวเองมากกว่าคนอื่น เมื่อไม่ยอมปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ก็ควรแสดงความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น ความพยายามกล่าวอ้างว่า องคมนตรีคือสถาบัน มันไม่ใช่ องคมนตรีไม่ใช่เจ้า แต่เป็นไพร่เหมือนคนทั่วไป" http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pol01300352§ionid=0133&day=2009-03-30 (มติชนรายวัน, 30 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉ. 11342)
มายาภาพลวง ๆ ที่เคยปกป้ององคมนตรีได้อันตรธานไปเสียแล้วจริง ๆ แสงสว่างสาดส่องเข้าไปถึงในที่ซ่อนและทำให้ความจริงปรากฏ การวิพากษ์วิจารณ์อันเข้มข้นและการพูดความจริงโยกคลอนความศรัทธาที่ประชาชนเคยมีต่อองคมนตรีทั้งสองรายอย่างถึงรากถึงโคน
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อีกหนึ่งแกนนำกองทัพแดง กล่าวโจมตีหัวขบวนของระบอบอมาตยาธิปไตยว่า
"อยากเตือน อยากเตือน พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าอย่าเชื่อมั่นตนเองมากนัก เพราะต้นทุนความน่าเชื่อถือไม่เหลือแล้ว อยากให้สังคมไทยใช้สติพิจารณาความน่าเชื่อถือของตัวบุคคลจากอดีตที่ผ่านมา การกระทำของ พล.อ.สุรยุทธ์ชี้ชัดว่าพูดอย่าง ทำอย่าง ยกตัวอย่างเมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่เขาใหญ่ แต่ในขณะที่เป็นประธานฯกลับบุกรุกและครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง โดยไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ทั้งที่เป็นพื้นที่ป่าสงวน" http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=130376 (ไทยรัฐ,วันจันทร์ ที่ 30 มีนาคม 2552)
อันที่จริงการเข้าไปบงการวางแผน หรือมีส่วนร่วมในการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยขององคมนตรีทั้งสองรายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าประชาชนจะทราบกันโดยทั่วไป บางเสี้ยวของการเคลื่อนไหวทางการเมืองขององคมนตรีปรากฎเป็นข่าวเป็นระยะ ๆ
แต่การ "ให้รายละเอียด" เพื่อต่อจิ๊กซอว์ให้สมบูรณ์ขึ้นโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และการซ้ำเข้าไปแบบเนื้อๆ อีกหลายดอกจากพลเอก พัลลภ ปิ่นมณี และการออกมาแก้ข่าวของบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงซึ่งเป็นเหมือนการให้ข้อมูลเพิ่ม ล้วนเน้นย้ำให้สิ่งที่เป็นจริงอยู่แล้วเป็นจริงมากยิ่งขึ้นอีก พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี อัดองคมนตรีตรงๆ ว่า
"ผิดหวังที่ พล.อ.สุรยุทธ์เสียสัจจะที่ว่าจะไม่รับตำแหน่งหลังการปฏิวัติ แต่ก็มาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เรื่องตำแหน่งต่างๆ นั้น พล.อ.สุรยุทธ์เป็นคนยกขึ้นมาเองว่า การดำเนินการโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ จะไม่ได้ทำเพื่อหวังตำแหน่งหรือลาภยศอะไร" http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0101290352§ionid=0101&selday=2009-03-29 (มติชนรายวัน 29 มี.ค. พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉ. 11341)
เป็นไปตามสูตรที่องคมนตรี จะออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร แต่อย่างที่พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี พูด "เป็นเรื่องปกติธรรมดา เรื่องแบบนี้ถ้าเขาออกมารับว่าจริง เขาคงต้องไปโรงพยาบาลประสาท" ทิ่มไปอีกดอก
แม้ว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ จะตีนิ่ง ทำทีเป็นเฉย ๆ ต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่โดยวิสัยของศักดินาที่มีความอดทนต่ำ โดยวิสัยของนักการเมืองที่ทำได้ทุกอย่าง โดยบุคลิกที่ต้องเป็นฝ่ายชนะตลอด เชื่อว่าการตอบโต้ที่รุนแรงคงเกิดขึ้นไม่ช้าและนั่นจะเป็นการล้างกลุ่มศักดินากลุ่มใหญ่ออกไป
ในสถานการณ์ปกติ ไม่มีใครจะไปแตะต้ององคมนตรีได้ แต่การรุกรานจนเกินทนทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือกใดนอกจากหันหน้าสู้ ซึ่งผลลัพธ์ก็ปรากฏออกมาเป็นเบื้องต้นแล้วว่าองคมนตรีโดนหนักทีเดียว.
บล็อกของ เมธัส บัวชุม
เมธัส บัวชุม
บทความเรื่อง "แรงฤทธิ์ แต่อ่อนผล" ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในมติชนรายวันhttp://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01020352§ionid=0130&day=2009-03-02 (วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11314) มีหลายประโยค หลายวลี หลายคำที่อ่านแล้วต้องส่ายหัวด้วยความอิดหนาระอาใจกับอคติและภูมิปัญญาของเขา แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่อ่านแล้วทำให้ผมสะดุดหยุดกึกในทันทีคือประโยคที่ว่า "ไม่ผิดอะไรที่จะรักทักษิณ แต่รักทักษิณและรักประชาธิปไตยพร้อมกันไม่ได้เพราะสองอย่างนี้ขัดแย้งกันเอง"
เมธัส บัวชุม
ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง "ผู้หญิง 5 บาป" เพราะเคเบิลทีวีเอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก อันที่จริงหนังเกรดต่ำแบบนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดอยากจะดูเลย แต่ผมก็เหมือนคนอื่น ๆ คือฉากรักร้อน ๆ ดิบ ๆ ที่ปรากฏอยู่มากมายสะกดให้ต้องหยุดดู หนังเรื่องนี้เหมือนหนังโป๊ะที่ดูแล้ว ถึงจุดออกัสซั่มแล้ว ไม่ควรจะมีอะไรให้พูดถึงอีกหรือหากอยากจะพูดถึงก็คงเป็นเรื่องความไม่เอาไหนของคนทำหนังที่อุตส่าห์ขนดาราและนักแสดงรับเชิญมาเพียบ แต่ทำได้เพียงแค่หลอกขายฉาก "เอากัน" เท่านั้น โดยให้ผู้หญิง 5 คนผลัดกันมาเล่าประสบการณ์ทางเพศที่โลดโผนโจนทะยาน (มีอะไรกับลูกศิษย์ตัวเอง โดนยามข่มขืน ได้กับวินมอไซค์)
เมธัส บัวชุม
31 มกราคมที่ผ่านมา ทีมงานความจริงวันนี้ สร้างปรากฏการณ์ "แดงทั้งแผ่นดิน- Red in The Land" ที่ท้องสนามหลวงด้วยประชาชนหลายหมื่น คนรวยคนจน นักวิชาการหัวก้าวหน้า นักปฏิวัติ คนรุ่นใหม่รุ่นเก่ามากันพร้อมหน้า บรรยากาศฮึกเหิมคึกคัก ส่งสัญญาณความไม่พอใจที่ล้นอกไปยังเหล่าศักดินา เขย่าขวัญพวกอมาตยาธิปไตยให้หยุดสำเหนียกให้มากก่อนจะกระทำการใด อันที่จริงการสำแดงพลังที่รัชมังคลาภิเษกเมื่อวันที่ 1 พ.ย.51 ที่ประชาชนเข้าร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่งนั้นน่าพรั่นพรึงและเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าชาว “แดง” พร้อมชนกับซากเดนของระบอบศักดินาเพียงขอให้มีเงื่อนไขที่เอื้อหรือสถานการณ์สุกงอมพอเท่านั้น…
เมธัส บัวชุม
ผมชอบดูและเล่นฟุตบอลแม้ว่าจะเล่นไม่ดีเลยก็ตาม มันเป็นความบันเทิงและกีฬาที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนเข้าฟิตเนส แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผมไม่เคยชอบดูฟุตบอลไทยเลย อาจจะเปิดโทรทัศน์ไปเจอโดยบังเอิญ หยุดดูสักครึ่งนาที พอได้ยินเสียงพากย์ของนักพากย์กีฬาช่อง 7 ซึ่งไม่พากย์ไปตามเกมกีฬา หากแต่จ้องจะเข้าข้างทีมไทยท่าเดียวทำให้เสียอารมณ์จนต้องรีบเปลี่ยนช่องยิ่งเมื่อได้เห็นภาพข่าวนักฟุตบอลไทย แสดงอาการกักขฬะมีเรื่องวิวาทกับนักเตะต่างชาติอยู่บ่อย ๆ ด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกสมน้ำหน้า รู้สึกสมน้ำหน้ามากขึ้นเมื่อนักพากย์กีฬา…
เมธัส บัวชุม
ข่าวการตัดสินจำคุกชาวต่างชาติ “แฮร์รี่ นิโคไลเดส” ชาวออสเตรเลีย ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นนอกจากจะน่าอนาถใจไทยแลนด์แล้ว ยังสร้างแรงสะเทือนต่อสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” อยู่ไม่น้อยผมเคยคิดว่าไทยเป็นประเทศที่มี “เสรีภาพ” มากพอสมควร ถึงตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่ เพียงแต่ว่า “เสรีภาพ” ในไทยนั้นมี “เพดาน” กั้น มี “ขีด” ที่ข้ามไปไม่ได้ เราไม่อาจใช้เสรีภาพไปวิพากษ์วิจารณ์บางคนหรือบางองค์กรหรือเข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสได้ เช่น องคมนตรี ศาล กองทัพ เสรีภาพที่เรามีอยู่จึงเป็น “เสรีภาพแบบพอเพียง”
เมธัส บัวชุม
การเมืองหลังการเข้ามาของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร คือการแข่งขันกันนำเสนอด้านนโยบายที่ตอบสนองความต้องการสิ่งอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งถูกละเลยมาตลอด ผลงานของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ยิ่งยงและพรรคไทยรักไทยที่ได้ทำไว้ในเรื่องการกำหนดนโยบายสำหรับคนยากคนจน และผลักดันสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงกระทั่งใครต่อใครพรรคประชาธิปัตย์ปากว่าตาขยิบลอกมาหน้าตาเฉย แม้แต่พรรคภูมิใจของเนวิน ชิดชอบที่เพิ่งเปิดตัวไปก็ชูเรื่องประชานิยมเป็นม็อตโตของพรรค
เมธัส บัวชุม
-1-เมื่อกลุ่มก่อการร้ายพันธมิตร ฯ แยกย้ายสลายตัว เดินลงจากเวทีหลังจากสร้างความยับเยินสาธารณะจนสาแก่ใจ แล้วส่งพรรคประชาธิปัตย์วิ่งราวเข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาลโดยผนวกรวมกลุ่มงูเห่าของพวกเนวิน ชิดชอบ เข้าไปด้วยแล้ว การเมืองก็หมดสีสันลงอย่างมากเหมือนกับละครน้ำเน่าที่ตัวอิจฉาหายไปจากจอ ยอมรับนะครับ ว่ากลุ่มก่อการร้ายพันธมิตรที่เป็นม็อบมีเส้นนั้นดึงดูดกระแสความสนใจการเมืองขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด แม้แต่คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยใส่ใจเรื่องการเมืองเลยนั้นก็หันไปใส่เสื้อเหลือง เสื้อแดงกับเขาด้วย บางคนใส่ได้ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลืองแล้วแต่ว่ากระแสความนิยมของฝ่ายใดจะมาแรงกว่า
เมธัส บัวชุม
ชัยชนะที่ได้มาด้วยการฉ้อฉลของพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปธรรมด้วยการจัดตั้งรัฐบาลสมความมุ่งมาดปรารถนาที่รอคอยมาเกือบสิบปี แต่ก็ด่างพร้อยอย่างยิ่ง ไม่มีความสง่างามแม้แต่นิดเดียว ล่อนจ้อนน่าละอาย ผิดกติกามารยาทรวมไปถึงผิดกฏหมาย กระทั่งก่อให้เกิดความระอาเกลียดชัง บทบาทพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกข้างต้น ทำให้หลายคนตั้งฉายา สร้างวาทกรรมในการใช้เรียกขานพรรคประชาธิปัตย์ไปต่าง ๆ นานาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปในแง่ลบฉายาที่ 1 "รัฐบาลต่างตอบแทน" ตอบแทนกระทรวงกลาโหมให้กองทัพที่ยืนหยัดช่วยเหลือทั้งทางตรงทางอ้อมแก่พรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด…
เมธัส บัวชุม
เป็นการพังทลายลงของสถาบันตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความน่าเชื่อถือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคการเมืองซีกรัฐบาลรวดเดียว 3 พรรค อย่างรวบรัดตัดความ เร่งร้อนลนลานและผิด ๆ ถูก ๆ นักวิชาการผู้เคารพในหลักการ และคอการเมืองทั้งหลายพากันวิพากษ์วิจารณ์กันขรมถึงสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำลงไป เริ่มตั้งแต่ประเด็นเรื่องคุณสมบัติของตุลาการผู้เอาตัวรอดด้วยการท่องคาถาคุณธรรม จริยธรรม เป็นนิจสิน อย่างนายจรัล ภักดีธนากุล ไปจนถึงการย้ายสถานที่พิจารณาตัดสินคดีอย่างปุบปับ รวมไปถึงการนำทหารป่าหวายเข้ามาอารักขาตุลาการ แทนที่จะหยุดยั้งเหล่ามารพันธมิตร บางคนต่อรองไว้ว่าร้อยนึงเอาบาทเดียว…
เมธัส บัวชุม
ไม่กี่วันที่ผ่านมาเราคงได้เห็นกันแล้วว่าลัทธิพันธมิตรสามารถทำอะไรได้บ้าง ลัทธิพันธมิตรทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าอยากทำ ตั้งแต่การปิดสี่แยกเพื่อให้การจราจรเป็นอัมพาต ยึดรถเมล์ ล้อมรัฐสภา ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ไปจนถึงการปิดสนามบินเพื่อทำให้ผู้อื่น-ชาวต่างชาติ เดือดร้อนอย่างจงใจบัดนี้ ใครที่ยังเชื่อว่าลัทธิพันธมิตรชุมนุมแบบอหิงสาอันหมายความว่าไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นคงจะปัญญาอ่อนเต็มที ใครที่ยังเห็นว่าลัทธิพันธมิตรเป็นการเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยคงจะเป็นคนโง่ดักดาน และดังนั้นเพื่อชีวิตจะได้กลับสู่ความปกติ จึงควรหยุดให้ท้ายลัทธิพันธมิตรในทุกทาง…
เมธัส บัวชุม
อัสนี วสันต์ ในเพลง "ก็เคยสัญญา" เคยแหกปากตะโกนประโยคที่ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน" อันหมายถึงความรักที่แปรผันตามวันเวลาที่ผ่านพ้น แม้ว่าจะสัญญากันไว้หนักแน่นก็ตาม ประโยคนี้ถูกตอกย้ำให้ฮือฮาอีกครั้งจากปาก แอ๊ด คาราบาว ผู้ซึ่งสวมบทนักร้อง นักดนตรี "เพื่อชีวิต" วิพากษ์วิจารณ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่โฆษณามอมเมาให้คนซื้อทั้งที่ไม่มีคุณค่าสารอาหารแต่ประการใด แต่ในเวลาต่อมา แอ๊ด คาราบาว กลับมาทำธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง "คาราบาวแดง" อย่างที่รู้กัน เมื่อมีคนถาม แอ๊ด คาราบาว บอกง่าย ๆ ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"
เมธัส บัวชุม
เพราะว่าในนามของความถูกต้อง จะทำผิดอย่างไรก็ได้ ดังนั้นม็อบพันธมิตร ฯ จึงพากันทำผิดร้อยแปดพันเก้าประการ การกระทำทั้งร้อยแปดพันเก้าประการนั้นแม้จะเลวร้ายอย่างไรก็ไม่สำคัญนักเพราะถูกฉาบเคลือบไว้ในนามของความถูกต้อง เช่นนี้เองที่เป็นเหตุนำไปสู่คือปัญหาความขัดแย้งยุ่งเหยิงและความรุนแรงในทุก ๆ ทาง การหลบอยู่หลังวาทกรรมประเภท “กู้ชาติ” “พิทักษ์สถาบัน” ฯลฯ การหลงว่าตนเองหรือกลุ่มตนเองเป็นฝ่ายถูก เป็นฝ่ายจงรักภักดี รักชาติ ทำถูกกฏหมาย ตีตราฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายผิด ขายชาติ ไม่จงรักภักดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เลว ดังนั้นในนามของความถูกต้อง จำเป็นต้องกำจัดให้หายไปไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม