Skip to main content

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนในอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี นานมาแล้วที่ผมไม่ได้ออกไปไหน เพื่อนพาไปเที่ยวป่าและแวะที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แลดูลี้ลับ วังเวงและยากไร้


ในสภาพแวดล้อมที่เห็น ผมไม่อยากจะเชื่อว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ ทุกอย่างดูหยุดนิ่ง เป็นอย่างที่เคยเป็นมา ผมสงสัยเหลือเกินว่าเหตุผลอะไรหนอที่ทำให้ผู้คนพากันปลีกตัว หลบลี้หนีหน้าอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนี้


เสียงสุนัขเห่ากรรโชกพอเป็นสัญญาณว่าที่แห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ สุนัขท่าทางดุร้ายเป็นฝูงวิ่งไล่ตามรถพวกเราและเห่าอย่างดุเดือดจนผู้คนที่อยู่ในเรือนต้องชะเง้อออกมาดู ฝูงสุนัขติดตามเราไปจนกระทั่งมีคนออกมาไล่


เราพักที่เรือนผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านต้อนรับเราอย่างดีตามธรรมเนียมของคนชนบทลมพัดหวีดหวิวตลอดเวลาดั่งเสียงครวญครางของผีร้ายที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิด อากาศในเดือนกันยายนเย็นสบายกำลังดี ผมสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด ดีใจที่มายืนในที่แห่งนี้ ลืมเรื่องสีเหลือง เสื้อแดง เรื่องอำมาตย์ เรื่องไพร่


เราและชาวบ้านหลายคนนั่งอยู่รอบท่อนไม้ใหญ่ที่ติดไฟร้อนแดง ชาวบ้านพูดไป สูบบุหรี่ไป เล่าให้ฟังถึงเรื่องสามัญธรรมดาอย่างการประกอบอาชีพ ความเป็นอยู่ในแต่ละวัน และเล่าให้ฟังว่าหนุ่มสาวหลายคนในหมู่บ้านเข้าไปทำงานในกรุงเทพมหานคร บางคนไปแล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย


ชายคนหนึ่งท่าทางเจ็บป่วยพูดถึงอาการของตนเองให้ฟังว่าท้องเสียอย่างรุนแรงติดต่อกันหลายวันแล้วและยังไม่ได้กินยาอะไรเลย เมื่อถามถึงโรงพยาบาลเขาก็บอกว่าอยู่ไกลไม่อยากเสียเวลา เขาถามพวกเราว่ามียาอะไรที่พอจะช่วยรักษาอาการท้องเสียได้บ้าง เราส่ายหัว เราไม่ได้ตระเตรียมยาอะไรมาเลย


เมื่อแสงไฟวาบขึ้น ผมได้สังเกตเห็นใบหน้าของชายท่าทางเจ็บป่วยที่ผอมซูบ แก้มตอบ จนกระดูกบริเวณโหนกแก้มปูดโปนออกมา ดวงตาจมลึกลงไปในเบ้า ไร้ประกายแม้เมื่อยามต้องแสงไฟ ริมฝีปากห้อยย้อยลงมา ดูเหมือนว่าวี่แววแห่งความตายได้คืบคลานมาสู่ในเกือบทุกองคาพยพของเขาแล้ว ในวันรุ่งขึ้นเขาก็ตายจริง ๆ


รุ่งขึ้น เราออกเดินกันตั้งแต่เช้า เด็กวัยรุ่นและเด็กเล็กอาสาที่จะนำทางให้ พวกเด็ก ๆ อธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็นให้ฟัง


สภาพบนภูที่เราเดินไต่ขึ้นไปนั้น สวยงามมากพอที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้สบาย สวยงามกว่าอุทยานแห่งชาติหลายแห่งด้วยซ้ำไป มีทั้งทุ่งดอกไม้ หน้าผา พืชรูปทรงแปลก ๆ มีเถื่อนถ้ำ ลำธาร ลานหินที่ราบเรียบและกว้างใหญ่


เราพักเหนื่อยกันที่บริเวณลานหิน และเตรียมตัวกินอาหารเที่ยง ชาวบ้านยิงไก่ป่าได้ตัวหนึ่ง ทั้งยังเข้าไปจับค้างคาวในถ้ำเพื่อเอามาย่างเป็นอาหารมื้อกลางวัน พวกเขากินค้างคาวย่างอย่างเอร็ดอร่อย


พอคล้ายบ่ายพวกเราก็กลับ เด็ก ๆ เดินไป ร้องเพลงไป เด็กคนหนึ่งสามารถจับตัวอ้นหายากที่อาศัยอยู่ในห้วยได้ ผมจ้องมอง ลูบคลำตัวอ้นด้วยความพิศวง ไม่เคยเห็นตัวเป็น ๆ แบบนี้มาก่อน


เราเดินกลับอย่างไม่เร่งรีบกระทั่งถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านคนแรกที่เราพบ เล่าให้ฟังด้วยความตระหนกว่าชายคนที่ป่วยด้วยอาการท้องเสียเกิดอาการชักและตัวแข็งคล้ายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ ตอนที่เราไปถึงนั้น เพื่อนบ้านกำลังช่วยกันบีบนวดคลายกล้ามเนื้อจนกระทั่งชายคนป่วยอาการดีขึ้น


เพื่อนบ้านเห็นพ้องต้องกันว่าควรนำส่งโรงพยาบาลแม้จะอยู่ไกลมากก็ตาม เพื่อนบ้านช่วยกันหามชายคนป่วยขึ้นรถอีแต๊กซึ่งคงจะใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะไปถึง มีเมียและลูกของผู้ป่วยนั่งไปด้วย


ไม่ทันลับตาที่โค้งข้างหน้า รถอีแต๊กคันนั้นก็หยุดลง ชายคนป่วยสิ้นใจเสียแล้ว ลูกสาวที่นั่งไปด้วยร่ำไห้ราวคนเสียสติ ดึงทึ้งผมเผ้าของตัวเองจนยุ่งเหยิง ส่วนเมียร่ำไห้เสียงดังจนพาให้ผู้คนในที่นั้นร่ำไห้ไปด้วย


บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความเศร้าสลดและความประหลาดใจ ชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่า การที่ชายคนป่วยต้องตายลงอย่างฉับพลันเมื่อออกพ้นบริเวณบ้านเช่นนี้เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เพราะคืนก่อนหน้านี้ มีคนเห็นหมาดำตัวขนาดเท่าวัวปรากฏตัวขึ้นอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นเครื่องหมายของลางร้ายที่เกิดจากอำนาจของภูติผี


ศพวางไว้ในบ้าน ไม่มีโลงใส่ ไม่มียาฉีดเพื่อกำจัดกลิ่น มีเพียงผ้าขาวบางที่ขึงเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่เหนือศพ และธูปที่จุดอยู่ตลอดเวลา


ดูเหมือนว่าความโศกเศร้าคลายลงบ้างแล้ว ชาวบ้านมารวมตัวกัน บางคนเริ่มตั้งวงเล่นการพนัน บางคนตั้งวงกินเหล้าที่ต้มกันขึ้นเอง


ศพถูกเผาในวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านช่วยกันหามศพซึ่งบัดนี้อยู่ในโลงที่ต่อขึ้นอย่างง่าย ๆ มาที่สำนักสงฆ์ ไม่มีเชิงตะกอน มีเพียงไม้ยาว ๆ ที่กองรวมกันไว้ ศพถูกวางลงบนกองไม้ ชายคนหนึ่งขึ้นไปยืนอยู่ใกล้ ๆ ศพ โยนผ้าขาวม้าข้ามโลงศพสามครั้ง และราดรดน้ำมันจนทั่ว ก่อนจะจุดไฟง่ายดายอะไรเช่นนั้น.

 

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
บทความเรื่อง "แรงฤทธิ์ แต่อ่อนผล" ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในมติชนรายวันhttp://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01020352&sectionid=0130&day=2009-03-02 (วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11314) มีหลายประโยค หลายวลี หลายคำที่อ่านแล้วต้องส่ายหัวด้วยความอิดหนาระอาใจกับอคติและภูมิปัญญาของเขา แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่อ่านแล้วทำให้ผมสะดุดหยุดกึกในทันทีคือประโยคที่ว่า "ไม่ผิดอะไรที่จะรักทักษิณ แต่รักทักษิณและรักประชาธิปไตยพร้อมกันไม่ได้เพราะสองอย่างนี้ขัดแย้งกันเอง"
เมธัส บัวชุม
ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง "ผู้หญิง 5 บาป" เพราะเคเบิลทีวีเอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก อันที่จริงหนังเกรดต่ำแบบนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดอยากจะดูเลย แต่ผมก็เหมือนคนอื่น ๆ คือฉากรักร้อน ๆ ดิบ ๆ ที่ปรากฏอยู่มากมายสะกดให้ต้องหยุดดู หนังเรื่องนี้เหมือนหนังโป๊ะที่ดูแล้ว ถึงจุดออกัสซั่มแล้ว ไม่ควรจะมีอะไรให้พูดถึงอีกหรือหากอยากจะพูดถึงก็คงเป็นเรื่องความไม่เอาไหนของคนทำหนังที่อุตส่าห์ขนดาราและนักแสดงรับเชิญมาเพียบ แต่ทำได้เพียงแค่หลอกขายฉาก "เอากัน" เท่านั้น โดยให้ผู้หญิง 5 คนผลัดกันมาเล่าประสบการณ์ทางเพศที่โลดโผนโจนทะยาน (มีอะไรกับลูกศิษย์ตัวเอง โดนยามข่มขืน ได้กับวินมอไซค์)
เมธัส บัวชุม
31 มกราคมที่ผ่านมา ทีมงานความจริงวันนี้ สร้างปรากฏการณ์ "แดงทั้งแผ่นดิน- Red in The Land" ที่ท้องสนามหลวงด้วยประชาชนหลายหมื่น คนรวยคนจน นักวิชาการหัวก้าวหน้า นักปฏิวัติ คนรุ่นใหม่รุ่นเก่ามากันพร้อมหน้า บรรยากาศฮึกเหิมคึกคัก ส่งสัญญาณความไม่พอใจที่ล้นอกไปยังเหล่าศักดินา เขย่าขวัญพวกอมาตยาธิปไตยให้หยุดสำเหนียกให้มากก่อนจะกระทำการใด อันที่จริงการสำแดงพลังที่รัชมังคลาภิเษกเมื่อวันที่ 1 พ.ย.51 ที่ประชาชนเข้าร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่งนั้นน่าพรั่นพรึงและเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าชาว “แดง” พร้อมชนกับซากเดนของระบอบศักดินาเพียงขอให้มีเงื่อนไขที่เอื้อหรือสถานการณ์สุกงอมพอเท่านั้น…
เมธัส บัวชุม
  ผมชอบดูและเล่นฟุตบอลแม้ว่าจะเล่นไม่ดีเลยก็ตาม  มันเป็นความบันเทิงและกีฬาที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนเข้าฟิตเนส  แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผมไม่เคยชอบดูฟุตบอลไทยเลย อาจจะเปิดโทรทัศน์ไปเจอโดยบังเอิญ หยุดดูสักครึ่งนาที พอได้ยินเสียงพากย์ของนักพากย์กีฬาช่อง 7 ซึ่งไม่พากย์ไปตามเกมกีฬา หากแต่จ้องจะเข้าข้างทีมไทยท่าเดียวทำให้เสียอารมณ์จนต้องรีบเปลี่ยนช่องยิ่งเมื่อได้เห็นภาพข่าวนักฟุตบอลไทย แสดงอาการกักขฬะมีเรื่องวิวาทกับนักเตะต่างชาติอยู่บ่อย ๆ ด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกสมน้ำหน้า รู้สึกสมน้ำหน้ามากขึ้นเมื่อนักพากย์กีฬา…
เมธัส บัวชุม
ข่าวการตัดสินจำคุกชาวต่างชาติ “แฮร์รี่ นิโคไลเดส” ชาวออสเตรเลีย ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นนอกจากจะน่าอนาถใจไทยแลนด์แล้ว ยังสร้างแรงสะเทือนต่อสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” อยู่ไม่น้อยผมเคยคิดว่าไทยเป็นประเทศที่มี “เสรีภาพ” มากพอสมควร ถึงตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่ เพียงแต่ว่า “เสรีภาพ” ในไทยนั้นมี “เพดาน” กั้น มี “ขีด” ที่ข้ามไปไม่ได้ เราไม่อาจใช้เสรีภาพไปวิพากษ์วิจารณ์บางคนหรือบางองค์กรหรือเข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสได้ เช่น องคมนตรี ศาล กองทัพ เสรีภาพที่เรามีอยู่จึงเป็น “เสรีภาพแบบพอเพียง”
เมธัส บัวชุม
การเมืองหลังการเข้ามาของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร คือการแข่งขันกันนำเสนอด้านนโยบายที่ตอบสนองความต้องการสิ่งอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งถูกละเลยมาตลอด ผลงานของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ยิ่งยงและพรรคไทยรักไทยที่ได้ทำไว้ในเรื่องการกำหนดนโยบายสำหรับคนยากคนจน และผลักดันสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงกระทั่งใครต่อใครพรรคประชาธิปัตย์ปากว่าตาขยิบลอกมาหน้าตาเฉย แม้แต่พรรคภูมิใจของเนวิน ชิดชอบที่เพิ่งเปิดตัวไปก็ชูเรื่องประชานิยมเป็นม็อตโตของพรรค
เมธัส บัวชุม
-1-เมื่อกลุ่มก่อการร้ายพันธมิตร ฯ แยกย้ายสลายตัว เดินลงจากเวทีหลังจากสร้างความยับเยินสาธารณะจนสาแก่ใจ แล้วส่งพรรคประชาธิปัตย์วิ่งราวเข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาลโดยผนวกรวมกลุ่มงูเห่าของพวกเนวิน ชิดชอบ เข้าไปด้วยแล้ว การเมืองก็หมดสีสันลงอย่างมากเหมือนกับละครน้ำเน่าที่ตัวอิจฉาหายไปจากจอ ยอมรับนะครับ ว่ากลุ่มก่อการร้ายพันธมิตรที่เป็นม็อบมีเส้นนั้นดึงดูดกระแสความสนใจการเมืองขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด แม้แต่คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยใส่ใจเรื่องการเมืองเลยนั้นก็หันไปใส่เสื้อเหลือง เสื้อแดงกับเขาด้วย บางคนใส่ได้ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลืองแล้วแต่ว่ากระแสความนิยมของฝ่ายใดจะมาแรงกว่า
เมธัส บัวชุม
ชัยชนะที่ได้มาด้วยการฉ้อฉลของพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปธรรมด้วยการจัดตั้งรัฐบาลสมความมุ่งมาดปรารถนาที่รอคอยมาเกือบสิบปี แต่ก็ด่างพร้อยอย่างยิ่ง ไม่มีความสง่างามแม้แต่นิดเดียว ล่อนจ้อนน่าละอาย ผิดกติกามารยาทรวมไปถึงผิดกฏหมาย กระทั่งก่อให้เกิดความระอาเกลียดชัง บทบาทพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกข้างต้น ทำให้หลายคนตั้งฉายา สร้างวาทกรรมในการใช้เรียกขานพรรคประชาธิปัตย์ไปต่าง ๆ  นานาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปในแง่ลบฉายาที่ 1 "รัฐบาลต่างตอบแทน" ตอบแทนกระทรวงกลาโหมให้กองทัพที่ยืนหยัดช่วยเหลือทั้งทางตรงทางอ้อมแก่พรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด…
เมธัส บัวชุม
  เป็นการพังทลายลงของสถาบันตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความน่าเชื่อถือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคการเมืองซีกรัฐบาลรวดเดียว 3 พรรค อย่างรวบรัดตัดความ เร่งร้อนลนลานและผิด ๆ ถูก ๆ นักวิชาการผู้เคารพในหลักการ และคอการเมืองทั้งหลายพากันวิพากษ์วิจารณ์กันขรมถึงสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำลงไป เริ่มตั้งแต่ประเด็นเรื่องคุณสมบัติของตุลาการผู้เอาตัวรอดด้วยการท่องคาถาคุณธรรม จริยธรรม เป็นนิจสิน อย่างนายจรัล ภักดีธนากุล ไปจนถึงการย้ายสถานที่พิจารณาตัดสินคดีอย่างปุบปับ รวมไปถึงการนำทหารป่าหวายเข้ามาอารักขาตุลาการ แทนที่จะหยุดยั้งเหล่ามารพันธมิตร บางคนต่อรองไว้ว่าร้อยนึงเอาบาทเดียว…
เมธัส บัวชุม
ไม่กี่วันที่ผ่านมาเราคงได้เห็นกันแล้วว่าลัทธิพันธมิตรสามารถทำอะไรได้บ้าง ลัทธิพันธมิตรทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าอยากทำ ตั้งแต่การปิดสี่แยกเพื่อให้การจราจรเป็นอัมพาต ยึดรถเมล์ ล้อมรัฐสภา ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ไปจนถึงการปิดสนามบินเพื่อทำให้ผู้อื่น-ชาวต่างชาติ เดือดร้อนอย่างจงใจบัดนี้ ใครที่ยังเชื่อว่าลัทธิพันธมิตรชุมนุมแบบอหิงสาอันหมายความว่าไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นคงจะปัญญาอ่อนเต็มที ใครที่ยังเห็นว่าลัทธิพันธมิตรเป็นการเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยคงจะเป็นคนโง่ดักดาน และดังนั้นเพื่อชีวิตจะได้กลับสู่ความปกติ จึงควรหยุดให้ท้ายลัทธิพันธมิตรในทุกทาง…
เมธัส บัวชุม
อัสนี วสันต์ ในเพลง "ก็เคยสัญญา" เคยแหกปากตะโกนประโยคที่ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"  อันหมายถึงความรักที่แปรผันตามวันเวลาที่ผ่านพ้น   แม้ว่าจะสัญญากันไว้หนักแน่นก็ตาม ประโยคนี้ถูกตอกย้ำให้ฮือฮาอีกครั้งจากปาก แอ๊ด คาราบาว ผู้ซึ่งสวมบทนักร้อง นักดนตรี "เพื่อชีวิต"  วิพากษ์วิจารณ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่โฆษณามอมเมาให้คนซื้อทั้งที่ไม่มีคุณค่าสารอาหารแต่ประการใด แต่ในเวลาต่อมา แอ๊ด คาราบาว กลับมาทำธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง "คาราบาวแดง" อย่างที่รู้กัน เมื่อมีคนถาม แอ๊ด คาราบาว บอกง่าย ๆ ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"
เมธัส บัวชุม
เพราะว่าในนามของความถูกต้อง จะทำผิดอย่างไรก็ได้ ดังนั้นม็อบพันธมิตร ฯ จึงพากันทำผิดร้อยแปดพันเก้าประการ การกระทำทั้งร้อยแปดพันเก้าประการนั้นแม้จะเลวร้ายอย่างไรก็ไม่สำคัญนักเพราะถูกฉาบเคลือบไว้ในนามของความถูกต้อง เช่นนี้เองที่เป็นเหตุนำไปสู่คือปัญหาความขัดแย้งยุ่งเหยิงและความรุนแรงในทุก ๆ ทาง การหลบอยู่หลังวาทกรรมประเภท “กู้ชาติ” “พิทักษ์สถาบัน” ฯลฯ การหลงว่าตนเองหรือกลุ่มตนเองเป็นฝ่ายถูก เป็นฝ่ายจงรักภักดี รักชาติ ทำถูกกฏหมาย ตีตราฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายผิด ขายชาติ ไม่จงรักภักดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เลว ดังนั้นในนามของความถูกต้อง จำเป็นต้องกำจัดให้หายไปไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม