การเข้าครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยงอย่างผิดกฏหมายขององคมนตรีคุณธรรมสูงอย่างสุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้แต่น้อย ไม่ใช่ข้อค้นพบที่น่าตื่นเต้น ไม่ใช่ความลับที่น้อยคนรู้ ชาวบ้านร้านตลาดในบริเวณนั้นต่างก็รู้กันเป็นอย่างดีว่าวิลล่าสวยงามบนเขายายเที่ยงนั้นเป็นของใคร
ว่าที่จริงคนไทยโดยทั่วไปคุ้นเคย (กระทั่งถึงขั้นยอมรับ) เป็นอย่างดีอยู่แล้วกับการที่ผู้มีอำนาจอย่างนักการเมือง พวกข้าราชการระดับสูง หรือกลุ่มที่ถูกเรียกรวม ๆ ว่า “อำมาตย์” จะฮุบเอาสมบัติสาธารณะมาเป็นสมบัติส่วนตน การทำเช่นนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นประเพณีปฏิบัติของพวกอำมาตย์เลยด้วยซ้ำ
พวกอำมาตย์ทำเช่นนี้มาช้านานแล้ว (และพวกเศรษฐีใหม่ก็เอาอย่าง) ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุกป่าสงวนเพื่อทำบ้านพักตากอากาศส่วนตัวหรือรีสอร์ทค้ากำไร การขยายอาณาเขตด้วยการรุกล้ำที่สาธารณะอันสวยงามเช่นชายหาดริมแม่น้ำ การตู่เอาดื้อๆ ว่าที่ดินสาธารณะตรงนั้นตรงนี้เป็นของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวี่ทุกวัน ทุกหนทุกแห่ง หากทำการสำรวจจะพบว่ามีกรณีทำนองนี้อยู่ทุกจังหวัดเลยก็ได้
พวกอำมาตย์อยากที่ได้ที่ดินตรงไหนก็เพียงแต่ชี้เอาเท่านั้น อาจทำให้ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยแบบที่องคมนตรีสุรยุทธ จุลานนท์ ทำคือซื้อต่อเป็นรายที่สาม ที่สี่ จ่ายเงินเท่าที่จำเป็นต้องจ่ายให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หากเกิดซวยเรื่องแดงขึ้นมาอย่างมากก็ถูกยึดที่คืนเท่านั้นซึ่งก็เป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกอำมาตย์ที่จะทำการเอาสมบัติชาติมาเป็นสมบัติตนโดยการตู่เอาดื้อ ๆ กระทั่งทำให้ถูกกฏหมาย เพราะคนพวกนี้คิดว่าชาติหรือสมบัติชาตินั้นเป็นของพวกตนมากกว่าจะเป็นของใครอื่น ตาสีตาสานั้นไม่ได้เป็นเจ้าของชาติเหมือนเช่นพวกอำมาตย์จึงไม่มีสิทธิ์ในเรื่องนี้ เช่นนี้แล้วจึงไม่ใช่เรื่องน่าละอายใจแม้แต่น้อยที่สมบัติชาติบางส่วนจะตกไปอยู่ในมือของพวกอภิสิทธิ์ชน
ดังนั้น ไม่แปลกอะไรเลยที่คนเสื้อแดงจะพบความไม่ชอบมาพากลเรื่องการบุกรุกป่าหลายพันไร่ที่เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีคนรวยแห่งธนาคารกรุงเทพเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเสื้อแดงจะทำการเปิดโปงต่อไป เชื่อว่าหากคนเสื้อแดงตรวจสอบไปเรื่อย ๆ ก็จะพบกรณีแบบนี้อีกมาก
ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การบังคับใช้กฏหมายเพียงอย่างเดียวหาก แต่เป็นประเพณีปฏิบัติหรืออาจเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมของพวกอำมาตย์ที่จะต้องมีอภิสิทธิ์บางประการเหนือประชาชนคนสามัญอยู่ร่ำไป (เพราะไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนหรือเป็นอำมาตย์ได้) ทั้งนี้เพราะหลาย ๆ กรณีแสดงให้เห็นแล้วว่าการทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนได้รับการยกย่องมากกว่าจะถูกสังคมประณาม
กรณีเขายายเที่ยงก็เช่นเดียวกัน ชาวบ้านยอมรับอยู่กลาย ๆ รวมทั้งชื่นชมยกย่องถึงบุญบารมีขององคมนตรีสุรยุทธ จุลานนท์ ที่ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ชาวบ้านบางคนอาจมองด้วยความคิดฝันอยู่ลึก ๆ ว่าสักวันหนึ่งหากมีโชควาสนาได้เป็นเจ้าเป็นนาย ก็จะทำแบบที่องคมนตรีกระทำบ้างคือยึดเอาสมบัติชาติมาเป็นของตนเองโดยไม่ต้องรู้สึกละอาย
แม้อัยการสูงสุดจะไม่รู้ แต่ชาวบ้านรู้ดีว่าที่ดินที่ปลูกสร้างวิลลาบนเขายายเที่ยงนั้นไม่ชอบด้วยกฏหมาย แต่ชาวบ้านรู้มากไปกว่านั้นว่า กฏหมายหาได้ศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใดสำหรับคนบางประเภท กฏหมายใช้ไม่ได้สำหรับคนมีบุญบารมีไว้ ชาวบ้านรู้ต่อไปอีกว่าตนเองนั้นไร้บุญบารมี ดังนั้นจึงไม่อาจทำอย่างที่องคมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ทำได้เพราะจะต้องถูกจับเข้าคุกอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่แบบแผนปฏิบัติของสังคมไทยที่เติบโตมากับการเป็นข้าเป็นทาสยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก
พวกอำมาตย์ยังอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าใครเพื่อนอยู่เสมอ นอกจากลอยนวลไม่ถูกดำเนินคดีเมื่อทำผิดกฏหมายแล้ว บางรายยังได้รับการสิทธิให้ปลอดพ้นจากการตรวจสอบของสังคมอีกด้วย มีใครตรวจสอบได้บ้างว่าองคมนตรีเปรม ติณสูลานนท์ นั้นมีรายได้เข้ากระเป๋าปีละเท่าไหร่ เสียภาษีให้รัฐมากน้อยแค่ไหน
แม้เมื่อถูกตรวจสอบแบบที่คนเสื้อแดงตรวจสอบองคมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ พวกอำมาตย์ก็หาได้รู้สึกผิดไม่ พวกอำมาตย์จะไม่รู้สึกผิดแม้ว่าถูกจับได้ ไม่ใช่ว่าหน้าหนาแต่เป็นเพราะคิดว่ากฏหมายนั้นไม่ได้มีไว้ใช้กับพวกตน กฏหมายมีไว้ใช้ในสถานการณ์ที่ทำให้ตนได้เปรียบเท่านั้น ดังนั้นองคมนตรีสุรยุทธ จุลานนท์ จะไม่แยแสหลักธรรมเรื่องหิริโอตตัปปะ แม้ว่าคนเสื้อแดงจะประจานความไม่ถูกต้องของตนเองให้โลกรู้แล้วก็ตาม
โลกของพวกอำมาตย์เป็นแดนสนธยาที่แสงสว่างสาดส่องไปไม่ถึง พวกเขาอยู่กันอย่างผาสุกโดยไม่มีใครตรวจสอบนอกจากคำซุบซิบนินทาที่เล็ดรอดออกมาเป็นครั้งคราว พวกเขาเดียดฉันท์ประชาชนและระบอบประชาธิปไตยที่โปร่งใส นิยมเผด็จการที่เคลือบหน้าทาแป้งประชาธิปไตยไว้บนผิวนอก หัวเราะเยาะใส่คุณธรรมปลอมๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาหลอกประชาชน
ตราบใดที่สังคมไทยยังยกย่องพวกอำมาตย์ ปล่อยให้เทวดาออกมาทำรุ่มร่าม ละเว้นการตั้งคำถามและตรวจสอบแล้วโลกของพวกอำมาตย์แล้ว ชาตินี้เราคงหาสิ่งที่เรียกว่า “มาตรฐาน” ไม่ได้เลย