Skip to main content

 

เมื่อความขัดแย้งระหว่างฝักฝ่ายต่าง ๆ เขม็งเกลียวแน่นใกล้ถึงจุดวิกฤติ ข่าวเกี่ยวกับการทำรัฐประหารก็ลอยมาจากทางโน้นทางนี้เป็นระยะ น่าเชื่อบ้าง ไม่น่าเชื่อบ้าง ราวกับว่ารัฐประหารเป็นทางออกเดียวในการจัดการปัญหา
\\/--break--\>
บางคนหวาดวิตกขนาดหนักเพราะตระหนักดีว่ารัฐประหารไม่ได้นำอะไรมาเลยนอกจากทำให้ทุกอย่างแย่ลง เศรษฐกิจตกต่ำกันเห็น ๆ (แม้แต่เด็กนั่งดริ๊งค์ยังรู้ว่ารัฐประหารทำให้รายได้ตนเองลดน้อยลง) รสชาติของเสรีภาพหายไป หลักการสูงสุดที่เคยบูชาเป็นสิ่งว่างเปล่า บรรยากาศแห่งความเท็จตามมา ฯลฯ

ทว่าบางคนกลับรู้สึกเฉย ๆ ด้วยเห็นว่ารัฐประหารไม่กระทบอะไรกับชีวิตตนหรือกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เผลอ ๆ มีข้อดีเสียอีกคือทำให้มีวันหยุดเพิ่มขึ้น ได้เห็นทหารออกมาจากกรมกอง ได้ถ่ายรูปคู่รถถังไว้เป็นที่ระลึก ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ฯลฯ

ใครจะยังไงก็แล้วแต่ ตัวผมเองนั้นต้องการให้เกิดรัฐประหาร เอาชนิดแรง ๆ ก็ดี ครั้งที่แล้วนั้นง่ายเกินไป

ผมไม่ใคร่แน่ใจตนเองมากนักว่าเพราะเหตุใดจึงเรียกร้องต้องการให้เกิดรัฐประหารจนแทบจะบนบานศาลกล่าวเลยทีเดียว คิดไปคิดมาผมมีคำตอบให้กับตนเองว่า

1.เพราะผมเป็นพวกฮาร์ดคอร์ ที่เห็นว่าบางสถานการณ์นั้นสันติวิธีนั้นเป็นอะไรที่ชักช้า เสียเวลาและไม่ได้ผล ความรุนแรงต่างหากที่สามารถสร้างแรงสะเทือนและนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งเปลี่ยนแปลงใหญ่ ขนาดของความรุนแรงก็ต้องเพิ่มขึ้น และผมก็อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่

ดูเหมือนผมจะคิดว่าพวกอำมาตย์นั้นนิยมใช้ความรุนแรงในการกำราบประชาชนมาแต่ไหนแต่ไรและได้ผลมาโดยตลอด แต่เมื่อประชาชนมีโอกาสโต้กลับด้วยความรุนแรงดุจเดียวกันพวกอำมาตย์ซึ่งที่แท้แล้วก็ใจเสาะกลับขลาดกลัว การเกิดรัฐประหารถือเป็นโอกาสอันดีที่ฝักฝ่ายต่าง ๆ จะได้ใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกันชนิดใครแรงใครอยู่ คนเสื้อแดงจะมีโอกาสสูงขึ้นในการเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลง

2.เพราะอึดอัดกับสิ่งที่เป็นอยู่และคิดว่าคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว บางทีผมรู้สึกอย่างนี้จริง ๆ ดูโทรทัศน์ช่องหอยม่วงแล้วรู้สึกอย่างนี้จริง ๆ เจือด้วยความรู้สึกโกรธนิด ๆ การโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบของ “สกู๊ป” โดยช่องหอยม่วงนั้นเป็นการมอมเมาแบบไร้สมอง ชวนให้น่าขยะแขยง ช่องหอยม่วงเอาเงินภาษีประชาชนซึ่งรวมทั้งคนเสื้อแดงไปใช้แต่กลับตอบแทนคนเสื้อแดงด้วยการใส่ร้ายเกินจริง

เมื่อหันมองไปที่รัฐบาลพบว่า เรามีประมุขฝ่ายบริหารที่ฉลาดในการเอาสีข้างเข้าถู, ทำงานวันต่อวันด้วยโวหารที่ว่างเปล่า, วางท่า ตีสีหน้าและใช้น้ำเสียงราวกับกำลังเล่นละครในบทพระเอก,เอาใจใส่กับการสร้างภาพประชาสัมพันธ์, ตั้งหน้าตั้งตาตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม, ปล่อยให้ปัญหาสำคัญที่รัฐบาลต้องทำผ่านเลยไปตามกาลเวลาโดยคิดว่าประชาชนคงจะลืมไปเอง, แสดงความเป็นศัตรูกับประชาชน(เสื้อแดง) อย่างเปิดเผย

แม้เมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นแล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ผมก็ยังคิดว่าคงไม่ได้แย่ไปกว่าที่แย่อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดรัฐประหารจะตอกย้ำให้เห็นถึงความไร้น้ำยา และวุฒิภาวะการเป็นผู้นำของนายก ฯ ผู้นี้ อย่างน้อยที่สุดประวัติศาสตร์ก็พูดได้เต็มปากเต็มคำว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายก ฯ รัฐประหาร

3.เพราะผมคิดว่า “ผู้ใดทำรัฐประหารผู้นั้นทำลายตัวเอง” พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่คนเสื้อแดงเชื่อว่าบงการให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยา 49 นั้นเป็นตัวอย่างอันดี ชื่อเสียงบารมีที่สั่งสมมาตลอดชีวิตแทบไม่เหลือ ได้รับการเหยียดหยามดูแคลนจากคนทั่วไป เรื่องส่วนตัวอย่างรสนิยมทางเพศถูกขุดคุ้ยขึ้นมาโจมตี กลายเป็นตัวโกงที่ทำลายประชาธิปไตย แง่หนึ่งเราอาจจะมองได้ว่ารัฐประหาร 19 กันยา 49 ประสบผลสำเร็จในการผลักทักษิณให้ตกจากเก้าอี้ แต่อีกแง่หนึ่งพลเอกเปรม ติณสูลานนท์มีราคาที่ต้องจ่ายมากมายอย่างคาดไม่ถึง

หากมีการทำรัฐประหารอีกครั้งเชื่อเถอะว่าเป็นการซ้ำเติมหายนะให้กับส่วนรวม อาจมีคนสมประโยชน์บ้างถ้ารัฐประหารสำเร็จ แต่โดยรวมแล้วประเทศชาติเสียหาย คนส่วนใหญ่เสียหาย ดังนั้นหากรัฐประหารเกิดขึ้นจริงจะมีคนออกมาต่อต้านกันมากขึ้น จะไหลรวมมาสู่คนเสื้อแดงมากขึ้น ผู้ที่ทำและผู้อยู่เบื้องหลังรัฐประหารจะถูกประณามและได้รับเคราะห์กรรมกลับไป

"การทำรัฐประหารสะท้อนให้เห็นความมักง่ายของพวกอำมาตย์ ประชาชนจะได้รู้เช่นเห็นชาติว่าที่แท้แล้วพวกอำมาตย์เกลียดกลัวประชาธิปไตย เกลียดกลัวการเติบโตของขบวนการภาคประชาชน

4.ถูกทุกคำตอบ ทั้งสามข้อนั้นมีเป็นไปได้ทั้งหมด คือผมเป็นพวกฮาร์ดคอร์ที่เห็นว่าความรุนแรงเป็นเรื่องจำเป็นในการจัดการกับพวกอำมาตย์ ไม่มีความสุขกับสภาพการเมืองที่เป็นอยู่ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นศัตรูร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตย ทั้งผมต้องการให้พวกอำมาตย์สำลักอำนาจและทำลายตัวเอง ดังนั้น ขอให้พวกอำมาตย์โปรดทำรัฐประหารเสียทีเถอะ.

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
บทความเรื่อง "แรงฤทธิ์ แต่อ่อนผล" ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในมติชนรายวันhttp://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01020352&sectionid=0130&day=2009-03-02 (วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11314) มีหลายประโยค หลายวลี หลายคำที่อ่านแล้วต้องส่ายหัวด้วยความอิดหนาระอาใจกับอคติและภูมิปัญญาของเขา แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่อ่านแล้วทำให้ผมสะดุดหยุดกึกในทันทีคือประโยคที่ว่า "ไม่ผิดอะไรที่จะรักทักษิณ แต่รักทักษิณและรักประชาธิปไตยพร้อมกันไม่ได้เพราะสองอย่างนี้ขัดแย้งกันเอง"
เมธัส บัวชุม
ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง "ผู้หญิง 5 บาป" เพราะเคเบิลทีวีเอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก อันที่จริงหนังเกรดต่ำแบบนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดอยากจะดูเลย แต่ผมก็เหมือนคนอื่น ๆ คือฉากรักร้อน ๆ ดิบ ๆ ที่ปรากฏอยู่มากมายสะกดให้ต้องหยุดดู หนังเรื่องนี้เหมือนหนังโป๊ะที่ดูแล้ว ถึงจุดออกัสซั่มแล้ว ไม่ควรจะมีอะไรให้พูดถึงอีกหรือหากอยากจะพูดถึงก็คงเป็นเรื่องความไม่เอาไหนของคนทำหนังที่อุตส่าห์ขนดาราและนักแสดงรับเชิญมาเพียบ แต่ทำได้เพียงแค่หลอกขายฉาก "เอากัน" เท่านั้น โดยให้ผู้หญิง 5 คนผลัดกันมาเล่าประสบการณ์ทางเพศที่โลดโผนโจนทะยาน (มีอะไรกับลูกศิษย์ตัวเอง โดนยามข่มขืน ได้กับวินมอไซค์)
เมธัส บัวชุม
31 มกราคมที่ผ่านมา ทีมงานความจริงวันนี้ สร้างปรากฏการณ์ "แดงทั้งแผ่นดิน- Red in The Land" ที่ท้องสนามหลวงด้วยประชาชนหลายหมื่น คนรวยคนจน นักวิชาการหัวก้าวหน้า นักปฏิวัติ คนรุ่นใหม่รุ่นเก่ามากันพร้อมหน้า บรรยากาศฮึกเหิมคึกคัก ส่งสัญญาณความไม่พอใจที่ล้นอกไปยังเหล่าศักดินา เขย่าขวัญพวกอมาตยาธิปไตยให้หยุดสำเหนียกให้มากก่อนจะกระทำการใด อันที่จริงการสำแดงพลังที่รัชมังคลาภิเษกเมื่อวันที่ 1 พ.ย.51 ที่ประชาชนเข้าร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่งนั้นน่าพรั่นพรึงและเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าชาว “แดง” พร้อมชนกับซากเดนของระบอบศักดินาเพียงขอให้มีเงื่อนไขที่เอื้อหรือสถานการณ์สุกงอมพอเท่านั้น…
เมธัส บัวชุม
  ผมชอบดูและเล่นฟุตบอลแม้ว่าจะเล่นไม่ดีเลยก็ตาม  มันเป็นความบันเทิงและกีฬาที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนเข้าฟิตเนส  แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผมไม่เคยชอบดูฟุตบอลไทยเลย อาจจะเปิดโทรทัศน์ไปเจอโดยบังเอิญ หยุดดูสักครึ่งนาที พอได้ยินเสียงพากย์ของนักพากย์กีฬาช่อง 7 ซึ่งไม่พากย์ไปตามเกมกีฬา หากแต่จ้องจะเข้าข้างทีมไทยท่าเดียวทำให้เสียอารมณ์จนต้องรีบเปลี่ยนช่องยิ่งเมื่อได้เห็นภาพข่าวนักฟุตบอลไทย แสดงอาการกักขฬะมีเรื่องวิวาทกับนักเตะต่างชาติอยู่บ่อย ๆ ด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกสมน้ำหน้า รู้สึกสมน้ำหน้ามากขึ้นเมื่อนักพากย์กีฬา…
เมธัส บัวชุม
ข่าวการตัดสินจำคุกชาวต่างชาติ “แฮร์รี่ นิโคไลเดส” ชาวออสเตรเลีย ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นนอกจากจะน่าอนาถใจไทยแลนด์แล้ว ยังสร้างแรงสะเทือนต่อสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” อยู่ไม่น้อยผมเคยคิดว่าไทยเป็นประเทศที่มี “เสรีภาพ” มากพอสมควร ถึงตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่ เพียงแต่ว่า “เสรีภาพ” ในไทยนั้นมี “เพดาน” กั้น มี “ขีด” ที่ข้ามไปไม่ได้ เราไม่อาจใช้เสรีภาพไปวิพากษ์วิจารณ์บางคนหรือบางองค์กรหรือเข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสได้ เช่น องคมนตรี ศาล กองทัพ เสรีภาพที่เรามีอยู่จึงเป็น “เสรีภาพแบบพอเพียง”
เมธัส บัวชุม
การเมืองหลังการเข้ามาของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร คือการแข่งขันกันนำเสนอด้านนโยบายที่ตอบสนองความต้องการสิ่งอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งถูกละเลยมาตลอด ผลงานของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ยิ่งยงและพรรคไทยรักไทยที่ได้ทำไว้ในเรื่องการกำหนดนโยบายสำหรับคนยากคนจน และผลักดันสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงกระทั่งใครต่อใครพรรคประชาธิปัตย์ปากว่าตาขยิบลอกมาหน้าตาเฉย แม้แต่พรรคภูมิใจของเนวิน ชิดชอบที่เพิ่งเปิดตัวไปก็ชูเรื่องประชานิยมเป็นม็อตโตของพรรค
เมธัส บัวชุม
-1-เมื่อกลุ่มก่อการร้ายพันธมิตร ฯ แยกย้ายสลายตัว เดินลงจากเวทีหลังจากสร้างความยับเยินสาธารณะจนสาแก่ใจ แล้วส่งพรรคประชาธิปัตย์วิ่งราวเข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาลโดยผนวกรวมกลุ่มงูเห่าของพวกเนวิน ชิดชอบ เข้าไปด้วยแล้ว การเมืองก็หมดสีสันลงอย่างมากเหมือนกับละครน้ำเน่าที่ตัวอิจฉาหายไปจากจอ ยอมรับนะครับ ว่ากลุ่มก่อการร้ายพันธมิตรที่เป็นม็อบมีเส้นนั้นดึงดูดกระแสความสนใจการเมืองขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด แม้แต่คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยใส่ใจเรื่องการเมืองเลยนั้นก็หันไปใส่เสื้อเหลือง เสื้อแดงกับเขาด้วย บางคนใส่ได้ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลืองแล้วแต่ว่ากระแสความนิยมของฝ่ายใดจะมาแรงกว่า
เมธัส บัวชุม
ชัยชนะที่ได้มาด้วยการฉ้อฉลของพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปธรรมด้วยการจัดตั้งรัฐบาลสมความมุ่งมาดปรารถนาที่รอคอยมาเกือบสิบปี แต่ก็ด่างพร้อยอย่างยิ่ง ไม่มีความสง่างามแม้แต่นิดเดียว ล่อนจ้อนน่าละอาย ผิดกติกามารยาทรวมไปถึงผิดกฏหมาย กระทั่งก่อให้เกิดความระอาเกลียดชัง บทบาทพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกข้างต้น ทำให้หลายคนตั้งฉายา สร้างวาทกรรมในการใช้เรียกขานพรรคประชาธิปัตย์ไปต่าง ๆ  นานาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปในแง่ลบฉายาที่ 1 "รัฐบาลต่างตอบแทน" ตอบแทนกระทรวงกลาโหมให้กองทัพที่ยืนหยัดช่วยเหลือทั้งทางตรงทางอ้อมแก่พรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด…
เมธัส บัวชุม
  เป็นการพังทลายลงของสถาบันตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความน่าเชื่อถือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคการเมืองซีกรัฐบาลรวดเดียว 3 พรรค อย่างรวบรัดตัดความ เร่งร้อนลนลานและผิด ๆ ถูก ๆ นักวิชาการผู้เคารพในหลักการ และคอการเมืองทั้งหลายพากันวิพากษ์วิจารณ์กันขรมถึงสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำลงไป เริ่มตั้งแต่ประเด็นเรื่องคุณสมบัติของตุลาการผู้เอาตัวรอดด้วยการท่องคาถาคุณธรรม จริยธรรม เป็นนิจสิน อย่างนายจรัล ภักดีธนากุล ไปจนถึงการย้ายสถานที่พิจารณาตัดสินคดีอย่างปุบปับ รวมไปถึงการนำทหารป่าหวายเข้ามาอารักขาตุลาการ แทนที่จะหยุดยั้งเหล่ามารพันธมิตร บางคนต่อรองไว้ว่าร้อยนึงเอาบาทเดียว…
เมธัส บัวชุม
ไม่กี่วันที่ผ่านมาเราคงได้เห็นกันแล้วว่าลัทธิพันธมิตรสามารถทำอะไรได้บ้าง ลัทธิพันธมิตรทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าอยากทำ ตั้งแต่การปิดสี่แยกเพื่อให้การจราจรเป็นอัมพาต ยึดรถเมล์ ล้อมรัฐสภา ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ไปจนถึงการปิดสนามบินเพื่อทำให้ผู้อื่น-ชาวต่างชาติ เดือดร้อนอย่างจงใจบัดนี้ ใครที่ยังเชื่อว่าลัทธิพันธมิตรชุมนุมแบบอหิงสาอันหมายความว่าไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นคงจะปัญญาอ่อนเต็มที ใครที่ยังเห็นว่าลัทธิพันธมิตรเป็นการเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยคงจะเป็นคนโง่ดักดาน และดังนั้นเพื่อชีวิตจะได้กลับสู่ความปกติ จึงควรหยุดให้ท้ายลัทธิพันธมิตรในทุกทาง…
เมธัส บัวชุม
อัสนี วสันต์ ในเพลง "ก็เคยสัญญา" เคยแหกปากตะโกนประโยคที่ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"  อันหมายถึงความรักที่แปรผันตามวันเวลาที่ผ่านพ้น   แม้ว่าจะสัญญากันไว้หนักแน่นก็ตาม ประโยคนี้ถูกตอกย้ำให้ฮือฮาอีกครั้งจากปาก แอ๊ด คาราบาว ผู้ซึ่งสวมบทนักร้อง นักดนตรี "เพื่อชีวิต"  วิพากษ์วิจารณ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่โฆษณามอมเมาให้คนซื้อทั้งที่ไม่มีคุณค่าสารอาหารแต่ประการใด แต่ในเวลาต่อมา แอ๊ด คาราบาว กลับมาทำธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง "คาราบาวแดง" อย่างที่รู้กัน เมื่อมีคนถาม แอ๊ด คาราบาว บอกง่าย ๆ ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"
เมธัส บัวชุม
เพราะว่าในนามของความถูกต้อง จะทำผิดอย่างไรก็ได้ ดังนั้นม็อบพันธมิตร ฯ จึงพากันทำผิดร้อยแปดพันเก้าประการ การกระทำทั้งร้อยแปดพันเก้าประการนั้นแม้จะเลวร้ายอย่างไรก็ไม่สำคัญนักเพราะถูกฉาบเคลือบไว้ในนามของความถูกต้อง เช่นนี้เองที่เป็นเหตุนำไปสู่คือปัญหาความขัดแย้งยุ่งเหยิงและความรุนแรงในทุก ๆ ทาง การหลบอยู่หลังวาทกรรมประเภท “กู้ชาติ” “พิทักษ์สถาบัน” ฯลฯ การหลงว่าตนเองหรือกลุ่มตนเองเป็นฝ่ายถูก เป็นฝ่ายจงรักภักดี รักชาติ ทำถูกกฏหมาย ตีตราฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายผิด ขายชาติ ไม่จงรักภักดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เลว ดังนั้นในนามของความถูกต้อง จำเป็นต้องกำจัดให้หายไปไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม