Skip to main content

-1-


ฉันเดินตัดผ่านสนามหลวงเพื่อไปขึ้นรถเมล์กลับหอพักเกือบทุกวัน เรื่องราวที่แทบจะเป็นแบบฉบับและเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ที่ได้พบเห็นจากผู้คนแห่งสนามหลวงวันแล้ววันเล่า ทำให้เกิดภาพประทับในใจโดยไม่รู้ตัว


เมื่อฉันได้รู้จักกับสนามหลวงมากขึ้น ฉันก็ได้พบว่าสถานที่แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยสีสันและชีวิตชีวาอย่างแท้จริง ที่แห่งนี้มีเรื่องราวชีวิตของคนระดับล่างมากมาย แต่ละคน แต่ละชีวิตนั้นน่าจะปรากฏอยู่ในนิยายมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง คนเหล่านี้ไม่ควรจะมีอยู่จริง!


ฉันคิดว่าผู้ที่เป็นนักเขียน คงจะมองเห็นวัตถุดิบชั้นดีเหลือเฟือสำหรับรังสรรค์วรรณกรรมชิ้นเยี่ยมออกมาสักชิ้นหรือหลาย ๆ ชิ้น ฉันรู้ทีเดียวว่าสภาพเช่นนี้แหละที่จะฟูมฟักให้กำเนิดนักเขียนที่มีคุณภาพและงานเขียนที่มีน้ำเนื้อเปี่ยมสาระออกมา เพียงแต่อย่าเขียนออกมาให้มันเชย นักเขียนควรสรรหาวิธีการใหม่ ๆ ในการบอกเล่า


ชีวิตของคนสนามหลวงคือถ้อยคำที่มีเนื้อหาหนักแน่น น่าสนใจแต่สะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง ศิลปะจะช่วยยกระดับของถ้อยคำเหล่านี้ให้กลายเป็นวรรณกรรมได้


สายตาแบบคนชั้นกลางคงจะมองเห็นว่าท้องสนามหลวงเป็นสถานที่อันอุดมด้วยความคับแค้น มีชีวิตสีเทากระทั่งหมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมายและครรลองคลองธรรมนานาชนิด ดูเหมือนว่าภาพร่างแห่งความล้มเหลวของชนบทและส่วนที่เลวร้ายด้านต่าง ๆ ของสังคมเมืองได้มาบรรจบกันและถูกนำมากองรวมไว้ในที่แห่งนี้


บางทีเมื่อมีโอกาส ฉันก็พูดคุยทำความรู้จักกับผู้คนสนามหลวง ซึ่งการเป็นเรื่องของอัตวิสัยล้วน ๆ ฉันสังเกตทุกอย่างอย่างละเอียดลออไม่ว่าจะเป็น เด็กขายอาหารนกพิราบ, วณิพก, คนไร้บ้าน, เด็กที่ครอบครัวแตกแยก, โสเภณีหลากหลายแบบ, คนพลัดถิ่นผู้ซึ่งเสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในมหานครกรุงเทพ ฯลฯ เกือบทุกครั้งที่ได้แลกเปลี่ยนพูดคุย ฉันมักได้แรงดลใจหลายอย่างรวมทั้งความปรารถนาที่จะเรียงร้อยภาพเหล่านั้นออกมาเป็นตัวอักษร แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือชีวิตคนสนามหลวงทำให้ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง


อย่างไรก็ตาม การทำความรู้จักกับคนสนามหลวงนั้นต้องใช้ความอดทนและพยายามอยู่พอสมควร หลายคนพูดจาหยาบคายแทบทนไม่ได้ทั้งที่ยังเป็นเด็กอยู่ด้วยซ้ำ หนูน้อยใช้คำว่า “เหี้ย” “สัตว์” “ค-ย” อย่างเป็นปกติธรรมชาติ ผู้หญิงบางคนชวนฉันไปนอนด้วย ในขณะที่บางคนมองโลกในแง่ร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนพูดถึงความจริงง่าย ๆ ทว่าลึกซึ้งซึ่งฉันไม่คิดว่าจะไม่ได้ยินจากที่ไหนนอกจากที่นี่ที่เดียว

ด้วยความที่ฉันผ่านสนามหลวงอยู่ทุกวี่วัน ฉันจึงสามารถสร้างความคุ้นเคยกับคนสนามหลวงได้โดยไม่ยากเย็นนัก มิตรภาพที่ไม่เรียกร้องอะไรสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพียงเปิดใจรับฟังผู้อื่นบ้าง แล้วความรู้สึกดี ๆ ก็จะตอบกลับมา


-2-


ยามเย็นที่แสงเศร้าแห่งอาทิตย์ทอทาบยอดหญ้า ฉันเดินตัดผ่านสนามหลวงอีกครั้ง แต่บัดนี้สนามหลวงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว สนามหลวงร้างไร้ผู้คน ไม่มีเด็กมอมแมมเร่งเร้าให้ซื้ออาหารนกพิราบ แทบไม่เหลือร่องรอยฝูงนกพิราบที่ก่อความรำคาญ ไม่มีหมอนวดไร้สังกัด คนเก็บของเก่าขาย คนชินตาเหล่านี้หายไปแล้ว พวกเขาหายไปเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า ?


ผู้มีอำนาจเห็นตรงกันมานานแล้วว่า ผู้คนที่หากินหลับนอนอยู่ที่ท้องสนามหลวงคือความอัปลักษณ์และด้านมืดของเมือง มีความพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะขจัดภาพลักษณ์ด้านลบของเมืองออกไปแต่ไม่เคยทำได้สำเร็จอย่างแท้จริง เพราะคงไม่มีที่ไหนในประเทศไทยจะเหมือนที่แห่งนี้


สนามหลวงซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเป็นดั่งแม่เหล็กดึงดูดผู้คนชายขอบจากส่วนต่าง ๆ ของประเทศเข้ามารุ่นแล้วรุ่นเล่า มันสะท้อนให้เห็นถึงความพิกลพิการและความล้มเหลวของประเทศ ความล้มเหลวของผู้มีอำนาจ


ครั้งหนึ่งฉันได้ยินบทสนทนาของคนสนามหลวงซึ่งทำให้ฉันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งยึดสนามหลวงเป็นที่พักอาศัย ขณะที่ฉันเดินเข้าไปใกล้นั้น ฉันได้ยินหนูน้อยร้องขออนุญาตพ่อออกไปวิ่งเล่น ผู้เป็นพ่อตอบว่า

เล่นเสร็จแล้วให้รีบกลับบ้านนะ”


ฉันฉงนใจที่เขาเรียกกองสัมภาระซึ่งมีกระเป๋าเพียงสองใบกับเสื่อปูนอนว่า “บ้าน” ในตอนนั้นฉันมีคำถามในใจว่าลักษณะที่ว่าจะเป็น “บ้าน” ได้อย่างไร อย่างไรก็ตามฉันทำความเข้าใจเรื่องนี้อยู่นาน ฉันคิดว่าคนชั้นกลางไม่อาจเข้าใจนิยาม “บ้าน” ของคนสนามหลวงได้เช่นเดียวกับฉัน


คนชั้นกลางอาจรู้สึกละอายใจกับคนสนามหลวง บางทีมันอาจทำให้พวกคนที่อ่อนไหวรู้สึกแย่กับตนเอง เพราะได้เห็นเด็กเล็ก ๆ ยืนดมกาวในถุงพลาสติก คนกำลังคุ้ยถังขยะเพื่อหาขวดสักใบ หญิงนั่งฉี่กลางสนามโดยไม่สนใจอะไร ผู้ชายเสียสตินอนแก้ผ้า เรื่องแบบนี้เป็นความจริงเกินไป ไม่แปลกอะไรที่ผู้ว่า ฯ กทม. ต้องการกวาดล้างหรือเรียกให้ไพเราะว่าปรับปรุงพื้นที่สนามหลวง


วันนี้ก็เหมือนวันอื่น ๆ ที่ฉันต้องเดินผ่านสนามหลวงเพื่อไปขึ้นรถเมล์กลับหอพัก แต่ฉันสัมผัสได้ว่าสนามหลวงไม่เหมือนเก่า เมื่อไม่มีคนสนามหลวงมันก็เป็นแค่ทุ่งโล่งไร้ชีวิตชีวาที่มีไว้สำหรับจัดงานประจำปีเท่านั้น.

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “…
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ…
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน…