Skip to main content

-1-

หลานเกิดปีเดียวกับที่ผมเดินทางออกจากบ้าน มุ่งหาประสบการณ์และไล่คว้าหาความหมายของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต  คืนวันของหลานที่เติบโตขึ้นด้วยความเอาใจใส่ของพ่อแม่คือจำนวนเวลาที่ผมจากบ้านเกิดเมืองนอน


ผมดื่มด่ำกับรสชาติของชีวิตเสรีที่ไม่มีใครบังคับ กติกาชีวิตคือสามัญสำนึกซึ่งบางครั้งผิดเพี้ยนไปเพราะแรงกระตุ้นที่ไม่อาจยับยั้ง ปรารถนาจะทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น แต่ความหมายอีกด้านหนึ่งของชีวิตเสรีแบบนี้ก็คือไม่มีใครดูแล ไม่มีใครคอยปลุกให้ตื่นในตอนเช้า ไม่มีใครปลอบใจเมื่อผิดพลาด ไม่มีใครที่จะไว้ใจได้จริง ๆ


ในขณะที่หลานโตวันโตคืน ผมเดินทางไปเรื่อย ๆ จนการเดินทางแทบจะเป็นจุดหมายในตัวเอง แวะพักตามที่ต่าง ๆ นานเท่าที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม หลังจากออกจากบ้านประมาณหนึ่งปี ผมก็หาโอกาสกลับไปเพื่อเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องรวมทั้งหลาน


ผมมักจะขลุกอยู่กับย่าหรือไม่ก็หลานซึ่งร่าเริงไปตามวัย กำลังสนุกสนานกับการฝึกพูด ผมคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจหลานได้ด้วยการทำท่าทางตลกเพื่อให้หลานหัวเราะ เล่นกลง่าย  ๆ ให้หลานดู เล่นซ่อนแอบ เตะฟุตบอล  ฯลฯ


หลานชอบให้ผมอาบน้ำให้ การอาบน้ำกับหลานในวัยขวบเศษช่วยกระชับความสัมพันธ์อย่างน่าทึ่ง ผมพบว่าตนเองมีความอ่อนโยนอยู่ไม่น้อยเมื่ออาบน้ำถูสบู่ให้หลาน พอวันที่ผมจะจากบ้านกลับมหานครกรุงเทพ หลานมองด้วยความสงสัยไม่พอใจเมื่อเห็นผมเก็บเสื้อผ้า กระทั่งร้องไห้จะไปกับผมด้วย


เมื่อหลานจบชั้นประถม ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับหลานไม่กระชับแน่นเหมือนเก่า ความสนิทสนมแบบเด็ก  ๆ หายไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้กลับบ้าน ในขณะที่หลานเริ่มเป็นหนุ่มที่ไม่ชอบให้ใครบ่น คึกคะนองและเมามัน ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นส่วนใหญ่ในหมู่บ้านคือขี่มอเตอร์ไซค์ร่อนไปร่อนมา แทงสนุ้ก แทงบอล  โดดเรียน  ผลการเรียนแย่จนแก้แล้วแก้อีกกว่าจะจบมัธยม
3        


ชีวิตของหลานเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อจบชั้นมัธยม
3  เรียนต่อในสายอาชีพ หลานออกไปเช่าหอพักร่วมกับเพื่อนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน

-2-


ผมไปนอนเฝ้าหลานที่โรงพยาบาล ได้ประจักษ์ด้วยตนเองว่าอาการของหลานหนักมากกว่าที่คิด ผู้เป็นแม่ต้องมัดมือ มัดเท้าไว้ เพราะหลานมักจะเดินเหม่ออย่างไร้จุดหมาย และหลานก็แข็งแรงมากเมื่อใครพยายามจะจับตัว

หลานมีไข้ขึ้นสูงแทบตลอดเวลาโดยที่แพทย์ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้มากไปกว่าการให้กินยาลดไข้และเจาะเลือดไปตรวจซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่เจออะไรเลย แพทย์หนุ่มท่าทางเพิ่งจบไม่ประสีประสาและขาดประสบการณ์ในการรักษาอาการป่วยไข้ของหลาน

บางครั้งหลานพูดคนเดียวและไม่อาจพูดให้จบประโยค พอไข้ขึ้นสูง หลานก็มีอาการทุรนทุราย พูดจาไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่อาจจับใจความได้เลย ผุดลุกผุดนั่ง พยายามจะแก้เชือกที่มัดมือมัดเท้าออก  หน้าตาบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว กัดปากตนเองจนเลือดไหลออกมา

ญาติพี่น้องที่เฝ้าอยู่คอยเช็ดตัวและปลอบประโลม นางพยาบาลช่วยอะไรไม่ได้เลย เมื่อผมขอให้ฉีดยาลดไข้เพราะอุณหภูมิขึ้นไปเกือบ 40 องศา นางพยาบาลก็บอกว่าให้กินยาแก้ปวดแล้ว ผมแนะนำแม่ของหลานให้เปลี่ยนโรงพยาบาลแต่ทุกอย่างก็สายเกินไป

 

 

ยารวมทั้งอาหารทุกอย่างต้องบดให้ละเอียดก่อนผสมกับน้ำป้อนให้หลาน แต่ปากของหลานบวมอักเสบจนไม่อาจเผยอได้ การป้อนข้าว ป้อนน้ำก็ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบาก พอไข้ขึ้นสูงซึ่งมักจะเกิดตอนใกล้เที่ยง หลานจะกัดริมฝีปากตนเองซ้ำจนเลือดและหนองไหลออกมา หลานคงจะเจ็บแต่ไม่อาจควบคุมได้ ดูเหมือนว่าโลกของหลานได้เปลี่ยนไปแล้วตลอดกาล  ครั้งหนึ่งหลานถามว่า
ทำไมหลังคาหมุน
ทำไมน้าพูดช้า

หลังคาไม่ได้หมุนและผมก็ไม่ได้พูดช้า แต่การรับรู้ของหลานไม่เหมือนเดิม  โลกนี้ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม หลานคงไม่คาดคิดว่าการตัดสินใจพลาดเพียงครั้งเดียวส่งผลร้ายอย่างมหันต์ การลองผิดลองถูกที่เกินขอบเขตนำผลร้ายสุดคาดคิดมาสู่ตนเองและคนที่รัก

อย่างไรก็ตาม หลานยังจำผมได้  เมื่อผมถามว่าชื่ออะไร หลานก็สามารถตอบได้ถูกต้อง หลานจะมีอาการดีขึ้นบ้างในยามที่ไข้ลดลง หลานพยักหน้าและยิ้มเมื่อชวนไปเที่ยวกรุงเทพมหานคร มันทำให้ผมมองโลกในแง่ดีว่าบางทีหลานอาจจะหายก็ได้ แต่เมื่อเห็นหลานกลับมาทุรนทุรายยามไข้ขึ้นผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก ญาติคนหนึ่งบอกว่าเคยได้ข่าวเด็กวัยรุ่นที่มีอาการอย่างเดียวกับหลาน และไม่สามารถรักษาให้หายขาด ต้องล่ามโซ่ไว้ตลอด  

แม่ของหลานเป็นคนเข้มแข็งอย่างยากที่ใครจะเสมอเหมือน เก็บงำร่องรอยแห่งความเจ็บปวดไว้อย่างลึกซึ้งกระทั่งวันที่หลานจากไป

พอผมคล้อยหลังกลับกรุงเทพมหานคร  หลานก็จากไป ผมคิดว่าหลานตัดสินใจเดินทางไปสู่โลกอื่น หลานยังคงเดินทางเช่นเดียวกับผม.

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “…
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ…
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน…