Skip to main content

“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”1 แปลมาจากเรื่อง “Dibs In Search of Self” เป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ใช่นวนิยายที่จัดได้ว่าเป็น Bestseller  อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้อ่านสนุกน่าติดตามราวกับเป็นวรรณกรรมเยาวชน (จะว่าไปเรื่องราวของเด็ก ๆ ก็เป็นวรรณกรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว)

ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญในห้องสมุด อ่านเพียงผ่าน ๆ แต่แรงดึงดูดบางประการทำให้วางไม่ลงและอ่านต่อไปด้วยความเพลิดเพลินจนจบ ผิดกับหนังสือหลายเล่มที่ในระยะหลังผมมักจะอ่านไม่จบ ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่ไม่มีแรงดึงดูดให้อ่าน แต่สำหรับเรื่อง “ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ” นี้เป็นข้อยกเว้นจริง ๆ

“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ” เป็นบันทึกของนักจิตวิทยาที่ทำการบำบัดเด็กที่ถูกคุณครูและใครต่อใครมองว่า  ”มีปัญหา” แม้แต่พ่อแม่ของเขาเอง

พฤติกรรมที่ไม่คงที่ของดิบส์ทำให้เขาดูคล้ายจะเป็นเด็กที่มีสติปัญญาไม่สมบูรณ์ แต่บางครั้งก็ดูเป็นเด็กเฉลียวฉลาดกว่าใครอื่น เมื่อไหร่ที่ดิบส์คิดว่ามีคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขาก็จะก้มหน้า ม้วนตัวหลบทันที และมักจะคลานไปรอบ ๆ ห้อง แล้วก็หลบอยู่ใต้โต๊ะ โยกตัวไปมา เคี้ยวมือหรือดูดนิ้วหัวแม่มือ ถ้ามีคุณครูหรือเด็กคนอื่น ๆ เข้าไปยุ่งด้วย เขาจะทิ้งตัวลงกับพื้นและนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจใครหรือสิ่งรอบตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ราวกับว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายและไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

คณะกรรมการบริหารโรงเรียนที่ดิบส์เรียนอยู่มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งกับดิบส์ เมื่อผู้ปกครองของนักเรียนคนอื่น ๆ แสดงความไม่พอใจที่มีดิบส์เข้ามาอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เด็ก ๆ คนอื่นถูกดิบส์ข่วนและกัดเอา ๆ

ดิบส์ อายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น แต่เขาต้องรับมือกับทัศนคติที่ไม่เป็นมิตรจากคนรอบข้าง พ่อแม่ของเขาเองก็มีความคิดที่จะส่งเขาไปยังโรงเรียนเอกชนสำหรับเด็กพิการทางสมองด้วยซ้ำไป ด้วยเชื่อว่าดิบส์อาจจะเป็นเด็กปัญญาอ่อนหรือไม่ก็สมองพิการ

ปัญหาของดิบส์เริ่มต้นตั้งแต่ที่บ้าน เขามีพ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์และแม่เป็นศัลยแพทย์ทั้งคู่ต่างกำลังก้าวหน้าในหน้าที่การงาน  แต่แล้วแม่ก็ตั้งครรภ์ดิบส์โดยไม่ตั้งใจ การถือกำเนิดของดิบส์เข้ามาขัดขวางความก้าวหน้าของทั้งคู่  ผู้เป็นแม่กล่าวถึงเด็กน้อยว่า

“เขาได้ทำลายอนาคตและชีวิตเรา การมีเด็กนับว่าโชคร้ายอยู่แล้วแต่การมีเด็กปัญญาอ่อนเป็นสิ่งสุดจะทนได้จริง ๆ เรามีความอับอายมาก เราเจ็บปวดรวดร้าวมาก ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในตระกูลของเราทั้งสองเลย สามีของดิฉันเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศในความปราดเปรื่องในอาชีพของเขาและประวัติการทำงานของดิฉันก็อยู่ในระดับเยี่ยมยอด” (หน้า 89)

จากคำกล่าวข้างต้น  คนที่เป็นปัญหาและควรที่จะได้รับการรักษาก่อนเด็กน้อยก็คือผู้เป็นพ่อและแม่นั่นเอง!

ดิบส์เป็นเด็กที่ขาดการยอมรับอย่างรุนแรง อารมณ์ของเขาถูกทอดทิ้งอย่างน่าเวทนาที่สุดจากคนใกล้ตัว  

เด็กที่ไม่มีความสุขแต่ละคน ล้วนประสบความล้มเหลวกับการต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิใจในสังคมหรือโลกใบนี้ เด็ก ๆ ผู้อ่อนต่อโลก จึงได้แต่ดิ้นรนต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้อยู่รอดตามวิถีทางที่เขาคิดว่าดีที่สุดแล้ว

ดิบส์ได้รับการ “บำบัดโดยการเล่นสมมติ” จากผู้เชี่ยวชาญ เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ในโลกสมมติของห้องเล่น

ผู้ให้การบำบัดกล่าวว่า “คุณค่าของการบำบัด หรือการรักษาปัญหาทางอารมณ์ขึ้นอยู่กับการที่เด็กจะรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นผู้มีความสามารถ และมีความรับผิดชอบซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่การที่ตัวเองจะต้องทำความเข้าใจในความจริงสองประการ ประการแรกคือไม่มีใครจะเข้าถึงโลกภายในของตัวเราเองได้อย่างถ่องแท้เท่ากับตัวเราเอง และอีกประการหนึ่งก็คือความจริงที่ว่าอิสระและเสรีภาพนั้นเกิดจากตัวเราเอง สิ่งแรกที่เด็กต้องเรียนรู้ก็คือ “การเคารพในตัวเอง” และ “การมีความภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งเด็กจะต้องสร้างขึ้นให้ได้เสียก่อนที่จะเรียนรู้ถึงการให้ความเคารพในตัวบุคคลอื่น ในสิทธิของบุคคลอื่นและในความแตกต่างของบุคคลอื่นได้”  (หน้า 67)

เรื่องราวและปฏิสัมพันธ์ระหว่างดิบส์กับผู้ที่ให้การบำบัดเขานั้นแปลกและสนุก ผู้อ่านจะอดขำไม่ได้กับบุคลิกและพฤติกรรมของดิบส์ บางครั้งเขาจะพูดกับตัวเองบอกให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ ผู้ให้การบำบัดจะทวนคำพูดของเขาซ้ำโดยใช้ประโยคคำถาม เป็นการถามเพื่อเปิดทางในการสร้างความเข้าใจให้ดียิ่งขึ้นไม่ใช่ถามเพื่อเพิ่มรสชาติการสนทนา

ดิบส์พูดว่า “ผมจะดูดขวดนมนะครับ”
ผู้ให้การบำบัดจะใช้ประโยคคำถามว่า “หนูจะดูดขวดนมอย่างนั้นหรือจ๊ะ?”

การสนทนาแบบนี้เกิดขึ้นตลอดกระบวนการบำบัด มันอาจเป็นเรื่องเครียดของดิบส์และผู้ที่ให้การบำบัด  แต่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาได้น่ารักน่าชังและน่าอ่านมาก

การบำบัดดิบส์พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ เขาค่อย ๆ เรียนรู้วิธีการที่จะเข้าใจความรู้สึกตัวเอง เขาเรียนรู้ถึงวิธีที่จะดำรงอยู่กับความรู้สึกของตัวเองและวิธีการควบคุมความรู้สึกเหล่านั้น มีความสามารถที่จะสร้างอิสรภาพให้กับตัวเองได้ เขาไม่ต้องกลัวที่จะเป็นตัวของเขาอีกต่อไป

ในเวลาต่อมา ดิบส์ได้เข้าเรียนในโรงเรียนของเด็กอัจฉริยะ เติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่ภาคภูมิ เขาเข้าได้ดีกับครอบครัว เป็นคนอารมณ์ดีและมีความสุขเหมือนเด็กอื่นทั่ว ๆ ไป พลอยทำให้ผู้เป็นพ่อแม่รอดจากคำกล่าวไร้ประโยชน์เมื่อสายไปแล้วว่า “แม่และพ่อขอโทษ”.  

1 ผู้เขียน Virginia M. Axline  ผู้แปล สมลักษณ์ วงลักษณ์ 

 

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “…
นาลกะ
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรแม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ…
นาลกะ
เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอแล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน…