nalaka's picture

<p>เป็นนามปากกาของคนเดินทาง<br /> ผู้ซึ่งเลาะเลียบสัญจรไประหว่างพรมแดนแห่งความคิดและจิตวิญญาณ<br /> ชอบการพเนจรเป็นชีวิตจิตใจ<br /> ไม่ใช่เพื่อค้นหาสัจธรรมความหมาย <br /> แต่เพื่อการละทิ้งปล่อยวางมัน</p>

บล็อกของ nalaka

เมืองสายรุ้ง (18)

1 March, 2008 - 14:50 -- nalaka

อาการป่วยของแม่ทุเลาลง แต่ยังไม่หายเป็นปกติเพราะโรคฉวยโอกาสบางชนิดที่ยังทำให้แม่อ่อนเพลีย คุณหมอมาดูแลอาการของแม่บ่อยครั้ง คุณหมอจะยิ้มอย่างปลอดโปร่งใจทุกครั้งเมื่อตรวจดูอาการของแม่เสร็จ

สายรุ้งไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของคุณหมอมีความหมายว่าอะไร อาจหมายถึงว่าแม่จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมหรือเพื่อปลอบใจสายรุ้งกันแน่ หรือว่าคุณหมอที่ไหน ๆ ต่างก็มีรอยยิ้มลักษณะเช่นนี้
“แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”
คุณหมอทำท่าตรึกตรองราวกับกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะ ๆ นั่นยิ่งทำให้สายรุ้งรู้สึกกังวลหนักขึ้น
“หนูต้องดูแลแม่ดี ๆ นะ” คุณหมอตอบ “หนูรู้ไหมว่าหนูมีส่วนอย่างมากในการทำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยไว ๆ”
“แล้วแม่ผมจะหายเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ”
“ขึ้นอยู่กับอะไรหลาย ๆ อย่าง เช่น การดูแลเอาใจใส่ของคนรอบข้าง ความเข้มแข็งของผู้ป่วยและสภาพแวดล้อม เอ่อ อากาศ อาหารการกินและอะไรต่าง ๆ อีกหลายปัจจัย”
    

“แม่ผมเป็นโรคอะไรครับ”
“อือ คือแม่ของหนูไม่สบายเพราะร่างกายอ่อนแอ ได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปจนร่างกายต้านทานไม่ไหว”
“ทำไมร่างกายจึงอ่อนแอได้”
“เข้าใจถามแฮะ”
คุณหมอทำท่าครุ่นคิด “ร่ายกายอ่อนแอก็มีหลายสาเหตุ บางคนอาจเป็นเพราะภูมิแพ้ แพ้แดด แพ้อากาศ บางคนนอนน้อยเกินไป บางคนก็ไม่ได้ทานอาหาร เหล่านี้ก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ทั้งนั้น”
“แล้วความอ่อนแอของแม่เกิดจากอะไร ทั้งที่แม่ไม่ได้นอนน้อย แม่ทานอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์เสมอ”
“ยังไงดีล่ะ”
หมอตอบ “ขอหมอกลับไปคิดหาสาเหตุก่อนก็แล้วกัน”

เมืองสายรุ้ง 17

26 January, 2008 - 02:19 -- nalaka

คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามล

สายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย

สายรุ้งคิดว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก คนบางคนอาจล้มป่วยลงโดยไม่มีลางบอกเหตุอะไรเลยหรือบางทีก็หาสาเหตุไม่ได้ เขาเคยเห็นคนในชุมชนกลายเป็นอัมพาตอย่างเฉียบพลันทันใดทั้งที่ก่อนหน้านี้แข็งแรงปกติ ดังนั้นการที่คุณตาพูดอยู่เสมอว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” นั้นเป็นเรื่องจริงทีเดียว

เมืองสายรุ้ง (16)

4 January, 2008 - 00:13 -- nalaka

วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปจนใกล้สิ้นปี สายรุ้งและแม่ผ่านวันเวลาร่วมกันมาอย่างกล้าหาญ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมพายุ รู้จักการโอนเอนตามแรงลมเมื่อพายุกระหน่ำหนักในขณะที่รากนั้นยึดเกาะดินไว้อย่างมั่นคง

สายรุ้งมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกปี การผ่านวันเวลาไปจนมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ของสายรุ้งแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความหมาย และความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เธอตระหนักถึงคุณค่าของแต่ละวินาที และรู้ว่ากาลเวลาในหนึ่งวินาทีของเธอกับของคนอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยเหตุว่าเธอมีมาตรวัดความยาวนานของเวลาต่างออกไป ส่วนสายรุ้งอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในเรื่องนี้

“ปีใหม่ลูกอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรืออยากให้แม่พาไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า”
“ไม่ครับแม่”
สายรุ้งตอบ “ผมมีความสุขดีอยู่แล้ว ของเล่นผมก็มีเยอะแล้ว ไม่อยากได้อะไรอีก แต่ผมอยากไปเที่ยวครับ เอาไว้หลังปีใหม่เราค่อยไปเที่ยวก็แล้วกันเพราะผมรู้ว่าแม่ไม่ชอบออกไปไหนตอนเทศกาลที่มีคนเยอะ ๆ”

“ถ้างั้นเราจัดงานเลี้ยงรับปีใหม่กันที่บ้านดีไหมลูก”
“ดีครับ แลกของขวัญกันด้วย ผมจะชวนเพื่อนที่โรงเรียนมาด้วย”
“เอาสิลูก แม่กับน้ามลจะเตรียมอาหารไว้ให้”

วันสิ้นปีมาถึงแล้ว ไปที่ไหนก็ได้ยินแต่เสียงอึกทึก เสียงร้องเพลงดังอยู่ทั่ว  สายรุ้งพลอยรู้สึกคึกคักไปด้วย แต่บางทีสายรุ้งก็รู้สึกสงสัยเมื่อเห็นคนเมาเหล้าทั้งชายและหญิงโซซัดโซเซเหมือนคนเสียสติ สายรุ้งสงสัยว่าคนที่อยู่ในสภาพนี้จะมีความสุขได้อย่างไร

เมืองสายรุ้ง (15)

22 December, 2007 - 01:35 -- nalaka

สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์

การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้

หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป และเขาก็ไม่อยากทำให้แม่ไม่สบายใจ

แม่บอกว่า “ที่ร้านเกม มีเด็กร้อยพ่อพันแม่ ยังไงแม่ก็อดที่จะเป็นกังวลใจไม่ได้หากลูกอยู่ที่ร้านเกมนาน”

แต่ถ้าเป็นที่บ้าน สายรุ้งนั่งเล่นได้ข้ามวัน ข้ามคืน โดยมีเด่นมาเล่นเป็นเพื่อนด้วย เด็กทั้งสองเอาจริงเอาจังอย่างมากราวกับว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่เกม พวกเขามีอารมณ์ร่วมไปกับเกม ทั้งหัวเราะ ไม่พอใจ โวยวาย บ่นงึมงำ คุยกับจอคอมพิวเตอร์เหมือนกับว่ามันมีชีวิต

“นายต้องเอากุญแจที่อยู่กับตัวประหลาดมาให้ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นนายก็จะต้องเดินไปที่ประตูขุมทรัพย์ที่มีแมงมุมดำเฝ้าอยู่” สายรุ้งบอกเด่น
“ฉันจะจัดการยังไงกับตัวประหลาด”
“นายไม่จำเป็นต้องฆ่าก็ได้ เพียงแต่แย่งกุญแจมา”

บางครั้งขณะทานอาหาร สายรุ้งก็คิดถึงการต่อสู้กันในเกม การขยับขึ้นในระดับตำแหน่งที่สูงกว่าหากเอาชนะคู่ต่อสู้ หรือการเข้าใกล้ขุมทรัพย์หากกำจัดตัวแมงมุมดำที่เฝ้าอยู่ตรงปากประตูได้ แต่การจะกำจัดแมงมุมดำนั้นต้องหาจุดอ่อนของมันให้เจอเสียก่อน หรือไม่ก็ต้องหาทางล่อหลอกให้มันเผลอซึ่งเป็นไปได้ยาก

“จุดอ่อนของแมงมุมดำอยู่ที่ไหนครับแม่” เขาถามแม่ ความคิดเขาวนเวียนอยู่แต่เรื่องของเกม
“แม่ว่าลูกเพลา ๆ ลงก็ดีนะ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ลูกไม่ควรอดหลับอดนอนเพื่อเล่นเกม ควรจะเล่นเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น”
“นานๆ ครั้งเท่านั้นเอง”
สายรุ้งอุทธรณ์ “แม่รู้ไหมว่าเด่นนะ นอนเกือบสว่างเวลาที่ได้เล่นเกม”
“เด็กๆ ไม่ควรนอนดึก ร่างกายจะอ่อนเพลีย”
แม่พูด

ประเด็นเรื่องสุขภาพของลูกเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ส่วนประเด็นเรื่องความรุนแรงที่เด็กอาจเลียนแบบมาจากเกมอย่างที่มีการรณรงค์ของหน่วยงานทางวัฒนธรรมบางหน่วยงานนั้น ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงมากนักเพราะคิดว่าสามารถอบรมกล่อมเกลาให้สายรุ้งเป็นเด็กที่อ่อนโยนได้ และที่ผ่านมาสายรุ้งก็ไม่เคยแสดงกริยาก้าวร้าวรุนแรงให้เห็นเลย  

“แล้วจุดอ่อนของแมงมุมดำอยู่ที่ไหน” สายรุ้งไม่ลืมคำถามที่ถามไว้ตั้งแต่แรก เขาอยู่กับความคิดที่จะหาวิธีไปสู่ขุมทรัพย์ให้ได้

แม่หัวเราะกับท่าทางจริงจังของสายรุ้ง แม้ว่าจะไม่สนับสนุนให้ลูกหมกหมุ่นกับเกมแต่เมื่อเห็นว่าลูกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เธอจึงบอกสั้นๆ ว่า
“ไม่รู้สิจ๊ะ แม่ไม่ชอบแมงมุม ลูกน่าจะถามตามากกว่า”

สายรุ้งทานอาหารไป ขบคิดไป เขาเข้าใกล้จุดสำคัญของเกมนี้แล้ว แต่หลังจากพยายามอยู่หลายหน เขาก็ไม่อาจผ่านประตูสู่ขุมทรัพย์ได้สักที

แม่ได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดูกับความเอาจริงเอาจังของสายรุ้ง และมองในแง่ดีว่า เกมจะมีส่วนช่วยต่อพัฒนาการการเติบโตของเด็กหากเล่นอย่างพอเหมาะ และขึ้นอยู่กับเกมด้วยว่าเป็นอย่างไร สร้างสรรค์เหมาะสมแค่ไหน

แม่คิดว่าคอมพิวเตอร์และโลกอินเตอร์เน็ตมีสิ่งดี ๆ มากมายหากใช้งานอย่างถูกต้อง ดังนั้น หลังจากที่สายรุ้งรบเร้าอยากได้คอมพิวเตอร์หลายครั้ง แม่จึงยอมซื้อให้และต่ออินเตอร์เน็ตให้เรียบร้อยโดยคิดว่าลูกคงจะได้รับความเพลิดเพลินใจ และได้ค้นคว้าความรู้อย่างกว้างขวางถ้าเขาต้องการ  

ยิ่งเมื่อตระหนักว่าสายรุ้งไม่เหมือนเด็กคนอื่น วันเวลาของสายรุ้งแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขัดขวางความต้องการของเขา

อย่างไรก็ตาม โลกอินเตอร์เน็ตที่สื่อสารกันได้อย่างแทบจะไร้ขีดจำกัดนั้นมีทั้งคุณและโทษ แม่จึงพยายามดูแลการท่องเข้าไปในโลกอินเตอร์เนตที่อาจพบเจอคนแปลกหน้า และไม่เก็บคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องนอนของสายรุ้ง

แม่ไม่เคยห้ามว่าเว็บไซต์แบบไหนที่สายรุ้งไม่ควรเข้าไป สายรุ้งจะรู้แก่ใจดีว่าเขาควรจะเข้าไปหรือไม่ แม่เพียงแต่แนะนำเวบไซต์ที่คิดว่าน่าสนใจและมีประโยชน์ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับสารคดี

“แม่ครับ ผมเข้าไปในห้องเก็บขุมทรัพย์ได้แล้วครับ” สายรุ้งบอกแม่ในวันหนึ่ง
“แล้วพบอะไรบ้างล่ะ”
“พบดาบเพียงเล่มเดียว เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์”
“ลูกจะเอาดาบไปทำอะไร”
แม่ถาม

“ดาบต้องใช้ในการเล่นอีกขั้นสูงขึ้นไป แต่ผมเบื่อเกมนี้แล้ว มันยากไปหน่อย  เอ่อ วันเสาร์นี้ แม่จะไปซื้อหนังสือที่ศูนย์การค้าใช่ไหมครับ ผมว่าจะไปหาซื้อแผ่นเกมใหม่ๆ ด้วย” สายรุ้งพูดยิ้ม ๆ

“ได้สิ” แม่ตอบ พลางคิดว่า อย่างน้อยเกมต่าง ๆ ที่สายรุ้งเล่น  ได้ผ่านสายตาและการเลือกสรรของแม่แล้ว. 

 

เมืองสายรุ้ง (14)

11 December, 2007 - 00:41 -- nalaka

เมฆฝนตั้งเค้าทำท่าเหมือนว่าจะเทน้ำลงมา แต่ก็ไม่เคยหล่นลงมาสักหยด สายลมจะพัดพาเมฆให้ลอยไปที่อื่น จากนั้นท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่งเหมือนเดิม ชาวสวนที่เฝ้ารออยู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหวังจะได้เห็นเม็ดฝนโปรยปราย เมล็ดพืชที่หว่านไว้รอเพียงฝนแรกเท่านั้นก็จะแทงยอดอ่อนออกมา

ท้องฟ้าครึ้ม เมฆสีดำลอยต่ำและบดบังความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์ อากาศยามสายขมุกขมัว  
“วันนี้ฝนจะตก” ตาพูดกับเด่นและสายรุ้ง “ดูฝงมดพวกนั้นสิพากันอพยพเพราะมันรู้ว่าน้ำจะเจิ่งนองท่วมรังของมัน”

สายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าช่างดูอึดอัดด้วยบรรยากาศอันอึมครึม นกฝูงบินตัดก้อนเมฆที่คล้อยลงต่ำ

“เราจะได้เล่นน้ำ” เด่นว่า
แล้วฝนก็เทลงมาจริงๆ ต้นไม้ส่ายยอดโอนเอนรับน้ำฝน พื้นดินแข็งถูกน้ำซึมเซาะจนอ่อนนุ่ม บริเวณกอกล้วยมีไส้เดือนตัวสีดำโผล่ออกมาคืบคลานอย่างเริงร่า ในขณะที่สัตว์บางชนิดหลบเข้าไปอยู่ในรูอันปลอดภัย  

เด่นกับสายรุ้งหลบเข้าไปอยู่บ้านของตา ม่านฝนเป็นโค้งสีขาวเคลื่อนไหวไปตามแรงลมที่พัดกระหน่ำ สายฝนตกกระทบหลังคาฟังเหมือนเสียงดนตรีที่มีท่วงทำนองอันไม่เคยซ้ำก่อนที่จะไหลสู่รางน้ำ มีตุ่มรองรับน้ำฝนอยู่ข้างล่าง

เด่นถอดเสื้อออก “ฉันว่าฉันจะเล่นน้ำ”
“ฉันเล่นด้วย”
สายรุ้งว่า
“นายต้องบอกแม่ก่อน”
“จะบอกได้ยังไง ฉันติดฝนอยู่อย่างนี้ ถ้าฉันวิ่งไปบอกแม่ ฉันก็เปียกฝนอยู่ดี”
สายรุ้งอ้าง
“แล้วแต่นายก็แล้วกัน”

สายรุ้งถอดเสื้อออก สายลมพัดมาต้องผิวกายให้ความรู้สึกสดชื่นหลังจากที่อากาศอบอ้าวมาตลอดหลายวัน

เด่นกระโจนลงจากชานบ้าน สายรุ้งกระโดดตาม ทั้งคู่วิ่งไปยังชายคา บริเวณที่สายฝนไหลมารวมกันที่รางน้ำก่อนจะตกลงมา

เด่นปล่อยให้น้ำตกลงบนศีรษะ แผ่นหลัง เขากระโดดขึ้นลงอย่างสนุกสนาน แล้วสายรุ้งก็ทำตาม  

“เขาว่าน้ำฝนบริสุทธิ์” เด่นอ้าปากออกเพื่อรับน้ำฝนที่หล่นมาจากฟ้า สายรุ้งรู้สึกขำเพราะมันทำให้เขานึกถึงจระเข้ที่อ้าปากค้างไว้อย่างนั้นเป็นชั่วโมงซึ่งเขาเคยเห็นในสารคดี
“ไม่บริสุทธิ์หรอก เพราะมันมีฝุ่น”
“นายรู้ได้ยังไง”
“ครูที่โรงเรียนบอก”

เด่นวิ่งนำสายรุ้งไปยังต้นละมุด และต้นมะม่วงซึ่งมักจะหล่นลงมาเวลามีฝนตกหรือลมพัดแรง ถ้าพวกเขาไม่เก็บ เด็กคนอื่นก็จะเก็บไป

“โอ้โห!” เด่นอุทานเมื่อเห็นผลละมุดเกลื่อนกระจายอยู่บนลานหญ้า
“ฉันว่าเอากองไว้ก่อนแล้วค่อยเอาถุงมาใส่”

จากนั้นทั้งคู่วิ่งไปยังบ่อเลี้ยงปลาซึ่งปลามักจะกระโดดขึ้นมาเล่นน้ำอยู่บ่อย ๆ เวลาที่มีฝนตก ระดับน้ำในบ่อเบี้ยงปลาไม่ลึกมาก แค่เพียงหน้าอกของสายรุ้งเท่านั้น  แต่บ่อค่อนข้างกว้าง ผักกะเฉดแผ่เลื้อยทอดยอดอยู่รอบ ๆ ตลิ่ง

“ดูสิ” สายรุ้งว่า “ปลาช่อน ปลากระดี่กระโดดออกมา”
“ปลากระดี่มาจากไหน ตาไม่ได้เลี้ยงปลากระดี่นี่”
“มันคงมาเอง”

รอบบ่อเลี้ยงปลามีตาข่ายกันไว้ กันไม่ให้ปลากระโดดหนีแต่ปลาก็ยังเล็ดรอดออกมาได้ ตาข่ายยังช่วยป้องกันงูที่เข้ามากินปลาได้ด้วย บางทีมีงูตายค้างอยู่ที่ตาข่ายเพราะพยายามจะเข้าไปในบ่อเพื่อหาปลา

“กลับกันเถอะ” สายรุ้งชวน “ฉันหนาวแล้ว”
ทั้งคู่วิ่งกลับไปบ้านตา สายรุ้งจัดการอาบน้ำ น้ำประปาอุ่นสบายเมื่อเทียบกับน้ำฝน แต่เขาก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี

“นายห้ามป่วยนะ” เด่นว่า “ไม่งั้นได้อดเล่นน้ำฝนกันอีกแน่ ๆ”
“ท่าทางฉันเหมือนคนขี้โรคหรือ”
สายรุ้งตอบ ท่าทางยียวน
“กลับบ้านไปเจอแม่แล้วจะรู้” เด่นพูด

ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ง่าย ๆ ด้วยความเป็นห่วง แม่มาตามสายรุ้งที่บ้านของตาและพบว่าสายรุ้งหนาวสั่นเหมือนลูกนกอยู่ภายใต้ผ้าขนหนู โดยที่ไม่ต้องรอให้แม่ถาม สายรุ้งชิงออกตัวเสียก่อนเลยว่า
“ผมเล่นน้ำฝนครับแม่”

แม่เช็ดตัวให้สายรุ้งทั้งที่เขาเช็ดจนทั่วแล้ว “หนาวไหม หวังว่าพรุ่งนี้คงจะไม่ป่วยนะ”
“ผมไม่ป่วยง่าย ๆ หรอกครับแม่”
“แม่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”  
“ถ้างั้นแม่ก็ไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่ผมเล่นน้ำฝน”
“ไม่ว่าอะไรหรอก เพียงแต่แม่อยากให้ลูกบอกแม่เสียก่อนเท่านั้นเอง”

“ครับแม่” สายรุ้งพูด แล้วซุกศีรษะกับอกอุ่นของแม่

เมืองสายรุ้ง (13)

25 November, 2007 - 01:33 -- nalaka

วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของสายรุ้งมาโรงเรียนสาย พอครูถามเขาก็ตอบว่าที่บ้านเขากำลังมีปัญหา พ่อของเขาป่วยหนัก

เมื่อสายรุ้งเห็นแววตาเศร้าสร้อยของเพื่อนนักเรียนคนนั้นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เพื่อนนักเรียนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่ตอบคำถามของครู

เป็นไปได้ว่าสายรุ้งอาจกำลังคิดถึงตัวเองที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนคนนั้นดีว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใดหากพ่อของเขาต้องมีอันเป็นไป

อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้รู้สึกอย่างที่สายรุ้งรู้สึก ความทุกข์ใจของเพื่อนนักเรียนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยของพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวนั้น กลายเป็นหัวข้อสนทนาอย่างออกรสชาติของเด็กบางคน

สายรุ้งประหลาดใจมากที่เด็กนักเรียนบางคน กระซิบกระซาบกันอย่างน่าสงสัยถึงสาเหตุที่ทำให้พ่อของเพื่อนนักเรียนคนนั้นป่วย

“พ่อเขาเป็นโรคร้าย”
“ไม่มีทางรักษา”
“พ่อเขาชอบเที่ยวผู้หญิง”
“งั้นแม่ของเขาก็อาจติดโรคด้วย”

สายรุ้งไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านี้เลย แน่ละ จากสถานการณ์ สายรุ้งรู้ว่าพ่อของเพื่อนนักเรียนป่วยด้วยโรคร้ายแรงซึ่งอาจจบลงด้วยการสูญเสีย แต่เท่าที่สายรุ้งรู้ก็คือ โรคทุกชนิดสามารถรักษาได้หรืออย่างน้อยก็อาจยืดชีวิตออกไปได้นาน

แม่บอกสายรุ้งอยู่เสมอว่าโรคทุกชนิดสามารถรักษาได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งและสภาพจิตใจของผู้ป่วยด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วทำไมพวกเด็ก ๆ จึงพากันพูดแบบนี้ ถ้าเพื่อนนักเรียนคนนั้นได้ยินเข้าคงจะเสียใจไม่น้อย

สายรุ้งถามแม่ว่า “แม่ครับ มีคนบอกว่าโรคบางโรครักษาไม่ได้จริงไหมครับ”
อันที่จริงสายรุ้งเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำเมื่อกลับมาถึงบ้าน บ้านอันอบอุ่นที่ความกังวลใจจะไม่มาแผ้วพาน
สายรุ้งหยิบการบ้านขึ้นมาทำ วันนี้มีการบ้านสองวิชา  พอสายรุ้งนึกถึงการบ้าน เขาก็นึกถึงเพื่อนที่ไม่มาโรงเรียน แล้วก็นึกถึงคำพูดที่ได้ยิน

“เรื่องนี้แม่เคยบอกสายรุ้งแล้วนี่”  แม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว
“ครับ แม่เคยบอกผมแล้ว ผมจำได้” แล้วสายรุ้งก็เล่ารายละเอียดให้ฟัง
แม่จึงบอกว่า “โรคทุกโรครักษาได้ เพียงแต่อาจไม่หายขาด อย่างเช่นโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ แต่ถึงแม้ไม่หายขาด เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับโรคที่อยู่ในร่างกายของเราได้ เพียงแต่เราต้องระมัดระวังไม่ให้มันลุกลาม” แม่อธิบายต่อไปว่า

“มนุษย์ทุกคนมีโรคอยู่ในตัวทั้งนั้น เราจึงต้องดูแลตัวเองไม่ให้โอกาสโรคที่อยู่ในตัวกำเริบออกมา เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ดื่มน้ำเยอะ ๆ”
“ครับแม่ ผมเข้าใจแล้วครับ”
“แต่เด็กพวกนั้นไม่เข้าใจหรอก”
แม่พูด “เอ่อ คนที่มีประสบการณ์หรือคนที่สนใจเรื่องพวกนี้อย่างจริงจังเท่านั้นจึงจะรู้”

วันรุ่งขึ้น เพื่อนนักเรียนคนนั้นมาเรียนตามปกติ แต่เขานั่งซึม ดูอ่อนเพลียมาก บางครั้งเขานั่งหลับตา พอถึงเวลาพักเที่ยง เขาก็ยังนั่งอยู่ในห้องเรียน ไม่ไปกินข้าวในโรงอาหารเหมือนเด็กคนอื่น

สายรุ้งจึงเดินเข้าไปหา “นายไม่หิวข้าวเหรอ” สายรุ้งถาม
เด็กคนนั้นสั่นศีรษะ เขาหลบหน้าแล้วก็หันหน้าไปทางหน้าต่าง ใบหน้าของเขาซีดเซียวมาก เขาคงมีความทุกข์ใจอย่างหนัก
สายรุ้งอยากปลอบใจเพื่อน แต่เพื่อนคงไม่อยากให้ใครรบกวน ดังนั้นสายรุ้งจึงเดินถอยออกมา

“พ่อฉันไม่สบาย” เพื่อนนักเรียนพูดขึ้น “ฉันรู้ว่าหลายคนพูดถึงพ่อฉันในทางไม่ดี แม้แต่ครูก็ยังพูด”   สายรุ้งพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูด
“ไม่ว่าพ่อฉันจะเป็นอย่างไร ฉันก็รักพ่อ เพราะพ่อดีกับฉันเสมอ” พอพูดจบประโยค เขาก็น้ำตาไหล  สายรุ้งรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้เหมือนกัน

“แม่บอกว่าโรคทุกชนิดสามารถรักษาได้” สายรุ้งพูด
“แต่มันสายเกินไปแล้ว สำหรับพ่อของฉัน” เขาสะอึกสะอื้น
สายรุ้งหันหน้าไปทางอื่น เขาไม่อยากเห็นเพื่อนร่ำไห้ เขาไม่สบายใจเลยที่เพื่อนมีอาการอย่างนั้น
“เย็นนี้นายไปเที่ยวบ้านฉันมั้ย” สายรุ้งชวน สายรุ้งคิดว่าแม่จะมีวิธีพูดที่ทำให้เพื่อนคลายความทุกข์ลงไปได้
“ฉันต้องกลับไปดูแลพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันไปเยี่ยมพ่อนายได้ไหม”
เพื่อนนักเรียนมองสายรุ้ง ก่อนตอบว่า “ฉันดีใจที่นายไม่รังเกียจพ่อฉันเหมือนคนอื่น ๆ” เขาหยุดร้องไห้แล้ว
“ทำไมต้องรังเกียจด้วยล่ะ” สายรุ้งว่า “แม่สอนฉันให้รักตัวเองและไม่ให้รังเกียจคนอื่น”

เขายิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของสายรุ้ง.

เมืองสายรุ้ง (12)

29 October, 2007 - 00:13 -- nalaka

เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน

สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด
“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย

สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่น
เหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย

“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “อยู่โรงเรียนเดียวกับเราด้วย”
สายรุ้งเลี้ยงบอลด้วยเท้าซ้ายและขวาอย่างคล่องแคล่ว เขามีความถนัดทั้งขวาและซ้ายพอกัน   เวลาทำการบ้าน เมื่อเขาเขียนหนังสือด้วยมือขวาจนเมื่อยแล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นเขียนด้วยมือซ้ายแทน

บอลหลุดจากเท้าซ้ายไปยังเท้าขวาของสายรุ้งไม่มีพลาด เขาครองบอลอยู่อย่างนั้น ต่อเมื่อหลบหลอกคู่ต่อสู้ได้แล้ว สายรุ้งก็จะส่งให้เด่น เด่นจะใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายบังฟุตบอลเอาไว้ และคอยหมุนหนีไปเรื่อย ๆ

เด่นแข็งแรงประเปรียว  ใช้ไหล่เบียดไหล่และไม่ยอมให้ใครแย่งบอลจากการครอบครองไปได้ง่าย ๆ  

ขณะที่เด่นกำลังครองบอลอยู่นั้น มีใครคนหนึ่งเข้ามาเบียดแย่งบอล แต่เด่นใช้ไหล่กันไว้ เด็กคนนั้นเลยใช้ไหล่กระแทก เด่นจึงใช้ไหล่กระแทกกลับไป กระแทกไป กระแทกมา เด็กคนนั้นก็พูดขึ้นด้วยอารมณ์ว่า
”เล่นอย่างนี้มาต่อยกันดีกว่า!”

พอเด็กคนนั้นพูดขาดคำ เด่นก็ต่อยเปรี้ยงเข้าที่หน้าอย่างว่องไวราวกับนักมวยอาชีพ เป็นผลให้เด็กคนนั้นล้มทั้งยืน 

สายรุ้งไม่เคยเห็นเด่นดูน่ากลัวอย่างนี้มาก่อนเลย พอเด็กคนนั้นล้มลง เด่นทำท่าจะเข้าไปเตะซ้ำ แต่สายรุ้งห้ามไว้ ทันใดนั้นเองที่เพื่อนของเด็กคนนั้นปราดเข้ามาต่อยเด่น โดยที่เด่นไม่ทันระวังตัว

เด็กคนที่ล้มลงลุกขึ้นในฉับพลันทันที และวิ่งเข้าใส่เด่นอีกคน เด่นจึงถูกรุม ล้อมหน้าล้อมหลังด้วยเด็กสองคน เป็นเด็กสองคนที่เพิ่งย้ายมาใหม่  พวกผู้หลักผู้ใหญ่ไม่มีใครคิดจะห้ามเลย ดูเหมือนพวกผู้ใหญ่อยากเห็นเด็กชกต่อยกัน

สายรุ้งจึงเข้าไปช่วยเด่น เขาพยายามแยกไม่ให้ต่อยกัน สายรุ้งกระโดดเข้าไปขวาง แต่ไม่มีใครหยุด ทั้งสามคนกำลังโกรธ สายรุ้งพยายามจะช่วยเด่นโดยการผลักเด็กคนหนึ่งออกไป เด็กอีกคนหนึ่งจึงต่อยสายรุ้งทันที สายรุ้งเซถลาราวนกปีกหัก เขาไม่เคยโดนใครต่อยมาก่อนเลย 

เมื่อเห็นดังนั้น เพื่อนที่เล่นอยู่ด้วยกันทั้งหมดจึงกรูเข้าไปช่วยสายรุ้งเพราะสายรุ้งเป็นที่รักของเพื่อนทุกคน

เด็กสองคนนั้นยอมแพ้ในที่สุด หน้าบวมเป่ง ริมฝีปากมีเลือดไหล แต่เด่นกับสายรุ้งก็สะบักสะบอมไม่น้อยเหมือนกัน

สายรุ้งและเด่นพากันกลับบ้านในสภาพสะบักสะบอม มีเพื่อนบางคนเดินมาส่ง พวกเขาพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นด้วยความตื่นเต้น สายรุ้งเองก็ตื่นเต้น เขาไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนกล้าหาญหรือเปล่า เขาเพียงแต่ทนไม่ได้ที่เห็นเด่นถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา

“แม่ของนายต้องดุฉันแน่” เด่นว่า
สายรุ้งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าแม่จะต้องเสียใจที่เห็นเขาเจ็บปวดและแม่จะต้องเจ็บปวดมากกว่าที่เขาได้รับ แต่ที่จริงเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย เขาแค่โดนต่อยเท่านั้นเอง และคนที่ต่อยเขาก็ถูกคนอื่นรุมต่อยจนยอมแพ้ไปแล้ว ที่จริงน่าเห็นใจเด็กหน้าใหม่สองคนนั้นด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีเพื่อน

“เสียดายที่โอเว่นไม่มาด้วย” เด่นพูด “ไม่งั้นสองคนนั้นจะโดนงับจนจมเขี้ยวแน่”
“ไม่มาน่ะดีแล้ว” สายรุ้งว่า

แม่ตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นสภาพของสายรุ้ง ริมฝีปากด้านหนึ่งของเขาบวมผิดรูป ดวงตาคล้ำเพราะแรงกระแทก  
“ลับตาแม่นิดเดียว ก็เกิดเรื่อง” เธอพูด
“ผมผิดเองครับ” เด่นว่า
“เล่าให้ฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
เด่นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด “เป็นความผิดของผมเอง” เด่นพูดอีกครั้ง
“ผมไม่เป็นไรหรอกแม่” สายรุ้งพูด

แม่ทำแผลให้สายรุ้งและเด่น เด่นดูยับเยินกว่าสายรุ้ง มีเลือดไหลออกมาจากจมูกเขาด้วย รอบดวงตาเขาบวมเป่งไม่น้อย
“แม่ไม่สบายใจเลยที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก” เด่นรับคำ
“ผมก็จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครับ” สายรุ้งรับคำด้วยเช่นกัน

เมืองสายรุ้ง (11)

8 October, 2007 - 01:49 -- nalaka

ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม

“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,
คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร

แม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ ที่นั่นมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้สายรุ้งเล่นสนุก

สายรุ้งชอบเล่นฟุตบอล เด่นเองก็ชอบเล่น มีเพื่อนหลายคนเล่นฟุตบอลอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว สวนสาธารณะเป็นอีกที่หนึ่งที่เด็ก ๆ จะพากันมาเที่ยวเล่นช่วงปิดเทอม

สายรุ้งเปลี่ยนชุดเพื่อเตะฟุตบอล เขาดูน่ารักไม่หยอกในชุดของทีมฟุตบอลชื่อดัง เขามีชุดนักฟุตบอลของทีมดัง ๆ หลายชุดและเขารู้จักนักฟุตบอลชื่อดังหลายคน เด่นและเพื่อนที่โรงเรียนมักจะคุยกันในเรื่องนี้

หลังจากแบ่งทีมกันเรียบร้อยแล้วเด็ก ๆ ก็เริ่มเล่น เด็ก ๆ หัวเราะเวลาวิ่งชนกันและล้มไปด้วยกัน ดูเหมือนว่าของเล็กๆ เด็ก ๆ ไม่สามารถจะควบคุมทิศทางฟุตบอลได้ ฟุตบอลมาทางไหนเด็กก็เตะไปทางนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เด็ก ๆ สนุกกันมากเป็นพิเศษคือเจ้าโอเว่นที่โดดเข้ามาร่วมเล่นด้วย มันไม่ยอมให้เสียชื่อโอเว่น

พวกเด็ก ๆ  พากันหัวเราะเมื่อโอเว่นเข้าไปแย่งลูกฟุตบอลกับพวกเขา พวกเขาเล่นไปหัวเราะไป เด็กบางคนลงไปนั่งหัวเราะงอหงายอยู่กับพื้นสนาม  โอเว่นวิ่งไล่บอลและคอรบครองบอลด้วยขาหน้าทั้งสอง ดูเหมือนมันพยายามโยกหลอกพวกเด็ก ๆ  แต่เด่น ชิงเอาบอลออกไปจากการครอบครองของโอเว่น แล้วเตะส่งไปให้คนอื่นอย่างรวดเร็ว โอเว่นจึงวิ่งไล่ตาม โอเว่นวิ่งไล่กวดเพื่อแย่งฟุตบอลกับพวกเด็ก ๆ  ที่กรูกันไปทางเดียว และมันก็วิ่งได้รวดเร็วกว่าเด็ก ๆ มาก

“หมาตัวนี้อยู่ทีมไหนเนี่ย”
“ให้มันเป็นกรรมการก็แล้วกัน” สายรุ้ง
“เล่นหมาชิงบอลกันดีกว่า” เด่นพูด
“มันได้เปรียบพวกเราเพราะมันมีตั้งสี่ขา”

เด็ก ๆ เตะบอลส่งกันไปมา ให้โอเว่นวิ่งไล่ เกมแบบนี้มันชอบอยู่แล้ว เด็กคนหนึ่งทำท่าตกใจเมื่อโอเว่นวิ่งไล่กวดและกระโดดเข้าใส่  เด็กคนนั้นทิ้งตัวล้มลงด้วยความจั๊กกะเดียมและหัวเราะอย่างยอมแพ้

แม่เงยหน้ามองสายรุ้งเป็นระยะ ในขณะที่เธอนั่งเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะใกล้สนามฟุตบอล เธอไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไปเปล่า ๆ แม้แต่วินาทีเดียว คุณค่าของวันเวลาจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้ตระหนักว่าเวลาจะไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำและไม่มีวันหวนกลับ ถ้าไม่ฉวยวันเวลาเอาไว้ก็จะไม่เหลืออะไรเลยและเวลาของเธอก็ไม่เหลือมากมายเหมือนคนอื่น การเตรียมให้พร้อมด้วยการใช้เวลาอย่างมีคุณค่ามากที่สุดทำให้ไม่ต้องมานั่งเสียดาย

สายรุ้งเล่นฟุตบอลจนเหงื่อไหลโชกท่วมตัว เขาก็เหมือนเด็กคนอื่นที่เพลิดเพลินและจริงจังในสิ่งที่ตนเองกำลังเล่น

แม่เรียกสายรุ้งและบอกว่าพอได้แล้ว สายรุ้งหอบหายใจ ใบหน้ามีสีแดง แม่เช็ดเหงื่อและบอกให้เขากับเด่นดื่มน้ำ
“เหนื่อยมากเลยแม่” เขาหัวเราะ “โอเว่นมันเล่นฟุตบอลเก่งเหมือนกันนะ”

แม่ปิดสมุด เธอเขียนหนังสือได้สามหน้าระหว่างลูกกำลังเล่นฟุตบอล ตอนนี้ถึงเวลาต้องกลับแล้ว

เจ้าโอเว่นเดินไปฉี่ไป มันชอบล้อรถเป็นพิเศษ รถคันไหนที่จอดอยู่มันก็จะฉี่ใส่ แต่แล้วมันก็เกิดอาการลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นสุนัขสีขาวสวยตัวหนึ่งกำลังเดินมา ท่าเยื้องย่างของสุนัขตัวนั้นงามสง่า เชิดหน้าชูคอ โอเว่นมองตาไม่กะพริบ มันวิ่งไปคาบเอากิ่งไม้มากึ่งหนึ่ง   มันกระโดดผกโผน   หมอบลงและยกก้นโด่งขึ้นเป็นสัญญาณว่า
“แน่จริงมาแย่งให้ได้สิ”

แต่สุนัขแสนสวยตัวนั้นไม่สนใจมันเลย โอเว่นจึงได้แต่ยืนดูสุนัขสาวสวยเดินจากไปด้วยดวงตาละห้อย

แม่พาสายรุ้งเดิมอ้อมไปตามทางเลียบลำธาร ลูกเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยมที่กอหญ้าข้างลำธาร สายรุ้งเอามาอุ้มก่อนจะปล่อยให้มันคลานตามทางของมันต่อไป

เมืองสายรุ้ง (10)

26 September, 2007 - 07:43 -- nalaka

เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอ

แล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม

แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน

คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน บนโต๊ะหน้าบ้านมีเศษกิ่งก้านของใบไม้อยู่เต็ม ตอนนั้นโอเว่นหลบอยู่แต่ในบ้านที่ปิดประตูมิดชิด แต่มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ กลิ่นของสัตว์ป่า

วันนั้นเป็นวันเสาร์ สายรุ้งไม่ต้องไปโรงเรียน เขาเอาไม้กวาดมากวาดลานบ้าน พื้นดินยังเปียกแฉะอยู่

โอเว่นวิ่งออกมากระโดดโลดเต้น มันเป็นยามเช้าที่อากาศดีมากหลังจากฝนตก มันได้กลิ่นหอมของดิน ของหญ้า ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ แต่แล้วเมื่อเข้ามาใกล้กับโต๊ะหน้าบ้านและทำท่าว่าจะกระโดดข้ามไปนั้น มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ

โอเว่นดมตามกลิ่นนั้นไป จนพบว่าต้นตอมันอยู่ใต้โต๊ะท่อนมะม่วง ทันใดนั้นเองที่มันแลเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ลำตัวมีสีเหลืองสลับดำแวววาวและยาวเหยียด ลำตัวส่วนหนึ่งซ่อนอยู่ในช่องใต้โต๊ะ แต่ส่วนหนึ่งก็โผล่พ้นออกมา มันม้วนตัวเองจนเป็นวงหลายชั้น ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างมาก ดวงตาหรี่เล็กของมันจ้องมาทางสุนัขอย่างประสงค์ร้าย

งูเหลือมตัวหนึ่งขดอยู่ใต้โต๊ะ มันกำลังจ้องมองมาที่โอเว่นเช่นเดียวกับที่โอเว่นกำลังจ้องมองมันอยู่ ท่าทางมันกำลังหิว เห็นได้ชัดว่ามันกำลังหิว มันคงอยากจะกินสุนัขของสายรุ้งแน่ ๆ โอเว่นเห่าอย่างบ้าคลั่ง เส้นขนตั้งชัน ลุกลี้ลุกลน วิ่งวนไปมา

นัยน์ตาของงูแดงก่ำ ท่าทางโกรธจัด ฝนพายุคงทำให้มันลำบาก เป็นไปได้ว่ามันอาศัยอยู่ในทุ่งร้างที่อยู่สุดซอยที่มีหนองน้ำ และมีวัชพืชงอกสูงท่วมหัว แต่ก่อนทุ่งร้างแห่งนี้เคยเป็นบ้านและเรือกสวนมาก่อน แต่แล้วไม่รู้เหตุผลกลใด เจ้าของก็ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ ที่ทุ่งร้างแห่งนั้นมีสัตว์แปลก ๆ หลายชนิด เช่นตัวเงินตัวทองที่ดุร้าย มีเล็บและฟันที่คมกริบ

งูเหลือมตัวนี้ มีความยาวประมาณ 170 เซนติเมตรเห็นจะได้ ประกายแวววาวสะท้อนแสงแดดยามเช้า โอเว่นเห่าไม่ยอมหยุด ตอนแรกสายรุ้งไม่สนใจเสียงเห่าเพราะรู้นิสัยของสุนัขตัวนี้ดีว่า “โอเว่นเจออะไรนิดหน่อยมันก็เห่า”

แต่โอเว่นเห่าเสียงดัง วิ่งวนไป วนมา ซ้ายที ขวาที ในขณะที่งูใหญ่เริ่มขยับตัว มันเลื้อยอย่างเชื่องช้าแต่ทว่าเปี่ยมด้วยความระมัดระวัง

สายรุ้งเดินมาใกล้และบอกว่า “เอ็งจะเห่าอะไรนักหนา โอเว่น”
แต่แล้ว สายรุ้งชะงักด้วยความกลัวและความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นงู แต่งูไม่สนใจสายรุ้ง เป้าหมายของมันคือโอเว่น

งูตัวนั้นเลื้อยอย่างแช่มช้าออกมาจากโต๊ะ ท่าทางมันไม่กลัวอะไรเลย มันจ้องมองสายรุ้งแวบหนึ่ง แต่โอเว่นก็เบนความสนใจของมัน ด้วยการกระโดดผกโผนทำท่าเหมือนจะเข้าไปกัด

สุนัขวิ่งวนไปรอบ ๆ งู ทำท่าเหมือนจะไปทางซ้ายแต่แล้วก็เอี้ยวตัวไปทางขวา หาโอกาสที่จะฝังคมเขี้ยวลงไปสักครั้ง

“โอเว่น ระวัง” สายรุ้งร้อง
สุนัขเห่าเสียงดังจนแม่ของสายรุ้งออกมาดู งูมักจะเลื้อยออกมาแบบนี้เสมอเวลาที่ฝนตกหนัก เธอบอกให้สายรุ้งวิ่งไปตามเพื่อนบ้านมาช่วย
“ถ้าเราไม่ไปทำให้มันโกรธ มันก็ไม่ทำอะไรหรอก”

อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาถึง สายรุ้งพบว่าโอเว่นกำลังอยู่ในวงรัดของงูเหลือม มันพันรอบตัวของสุนัขไว้อย่างแน่นหนา ความร้ายกาจโหดเหี้ยมเหลือเชื่อของงูปรากฏออกมา ในเวลาที่มันกำลังจะพิฆาตเหยื่อหรือศัตรูของมัน

โอเว่นหงายท้องแล้วม้วนไปมาตามการเคลื่อนที่ของงู
“แม่ไม่รู้จะทำอย่างไร” เธอบอกสายรุ้ง
“สุนัขยังไม่ตาย” เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น

พวกผู้ใหญ่หลายคนช่วยกันงัดแงะเอาตัวโอเว่นออกมา แต่งูมันไม่ยอมปล่อย ใครคนหนึ่งจึงใช้มีดปักเข้าไปที่ลำตัวของงู ซึ่งก็ได้ผล มันคลายตัว เลือดไหลนองออกมา

“อย่าฆ่ามันนะ” แม่ของสายรุ้งบอก
สายรุ้งไม่รู้ชะตาของงูตัวนั้นว่าที่สุดแล้วเป็นอย่างไร เพราะใครคนหนึ่งเอามันใส่ถุงแล้วก็หิ้วออกไป มันอาจถูกฆ่าแล้วถลกหนังแบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือไม่ก็อาจจะถูกนำไปรักษาแล้วไปปล่อยที่ไหนสักแห่ง ส่วนโอเว่นต้องนอนแกร่วอยู่หลายวัน

“งูมันคงจะหิวน่ะลูก”
“ผมกลัวงูครับ”
สายรุ้งบอกแม่
“ที่อยู่ของมันถูกรุกราน มันจึงออกมาเพ่นพ่านอย่างนี้ ในทุ่งไม่มีอะไรให้มันกินแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราไม่ทำร้ายมันก่อน มันก็จะไม่ทำร้ายเรา”
“ครับแม่”
สายรุ้งพูด แม่โอบกอดเขาไว้ รู้สึกโล่งใจ.

Pages

Subscribe to RSS - บล็อกของ nalaka