ผมตั้งชื่อบล็อกนี้ว่า “สนามหลังบ้าน”
“สนาม”ในที่นี้ ประการแรกคงหมายถึงการทำงานภาคสนาม (fieldwork) ซึ่งถือเป็นวิธีการศึกษา การเก็บข้อมูล และหาความรู้ที่เป็นจุดเน้นสำคัญอย่างหนึ่งของวิชาอย่างมานุษยวิทยา วิชานี้ให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่ การติดตาม การสังเกตการณ์ การพูดคุย การมีส่วนร่วม และการใช้เวลากับสิ่งที่ศึกษาโดยตรงค่อนข้างมากกว่าการทำงานเอกสาร การนั่งขบคิดเอาเอง หรือการติดตามข่าวสารระยะไกลเพียงอย่างเดียว
เวลาพูดถึงการทำงานภาคสนามแบบนี้ ผมมักนึกไปถึงการทำค่ายในกิจกรรมนักศึกษา จำได้ว่าเคยมีการถกเถียงกันในคนทำกิจกรรมว่า ค่ายรูปแบบต่างๆ ในมหาวิทยาลัยยังเป็นกิจกรรมที่จำเป็นหรือควรทำกันอยู่หรือไม่ ในยุคสมัยหนึ่งค่ายเคยเป็นกิจกรรมสำคัญที่นักศึกษาลงพื้นที่ไปช่วย “พัฒนา” ชนบทในด้านต่างๆ เช่น ไปช่วยสร้าง ช่วยสอน ช่วยคิด เป็นต้น แต่สมัยหลังๆ การทำค่ายมีแนวโน้มกลายไปเป็นการเดินทางไกลๆ ไปเปลี่ยนบรรยากาศของนักศึกษาภายนอกมหาวิทยาลัย ไปเที่ยว ไปกินเหล้า ไปชมธรรมชาติ ไปหาเพื่อนใหม่ๆ เท่านั้นเอง หน้าที่ของค่ายไม่ได้ตอบโจทย์ชาวบ้านหรือผู้คนที่เราไปทำค่ายอีกต่อไป
เช่นเดียวกัน, ถ้าหากหลักใหญ่ใจความของการศึกษาวิจัยคือการพยายามเข้าใจคนอื่น เข้าใจสังคม เข้าใจโลกที่เราอยู่ ขณะเดียวกันก็ย้อนกลับมาเข้าใจตัวเราเอง การลงพื้นที่ภาคสนามก็เป็นวิธีการสำคัญอย่างหนึ่งในการศึกษา ที่ช่วยให้นักศึกษา/นักวิจัยได้มีโอกาสลงไปสัมผัส มีปฏิสัมพันธ์ มีส่วนร่วมกับเรื่องราว ผู้คน หรือสิ่งของ ที่ตนศึกษาจริงๆ ไม่ใช่นั่งคิดทฤษฎีอธิบายเพียงอย่างเดียว
แน่ละว่า สนามคงไม่ได้หมายถึงแค่เพียงพื้นที่หมู่บ้านชนบทที่ใดที่หนึ่งสักแห่งอีกต่อไป แต่สนามสำหรับการศึกษาก็ขยายไปตามความซับซ้อนของสังคม อาทิ สลัมกลางเมือง, การชุมนุมทางการเมือง, เรือนจำ, ห้องส้วมในบ้าน, ร่างกายของเราๆ ท่านๆ, การเดินทางของสิ่งของ-ผู้คน หรือพื้นที่ใหม่ๆ อย่างโลกออนไลน์ ก็สามารถเป็นสนามในการศึกษาแบบหนึ่งได้
ในอีกความหมายสำหรับผม สนามเป็นคล้ายลานหรือพื้นที่กว้างที่เปิดสำหรับทำกิจกรรม อย่างสนามกีฬา สนามเด็กเล่น สนามหญ้าในสวนสาธารณะ หรือสนามเรื่องสั้นในหน้านิตยสารต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้คนเขียนเรื่องราวส่งเข้าไป
บล็อกนี้จึงอยากจะให้เป็นลานในการทดลองทำกิจกรรมอย่างการเขียน และเป็นคล้ายบทบันทึก บทสะท้อนเรียนรู้จากเรื่องราวหรือเรื่องเล่า ที่ผม-ซึ่งเป็นผู้เขียนที่มีมุมมองและมีอคติของตนเอง-ได้พบเจอหรือสัมผัสขณะทำการศึกษาภาคสนามหรือแม้แต่ข้อเขียนหนังสือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและผมมีโอกาสได้อ่าน
แล้ว “หลังบ้าน” ล่ะ เกี่ยวอันใดกับสนาม?
ครับ, ตัวผมเอง เป็นนักศึกษาฝึกหัดวิจัยผู้กำลังเก็บข้อมูลภาคสนาม ในเรื่องที่ว่าด้วย “นักโทษการเมือง” โดยเฉพาะนักโทษทางความคิดจากประมวลกฎหมายอาญาบางมาตรา สนามที่ผมต้องลงไปสัมผัสพบเจอจึงคือผู้คนและพื้นที่ที่กำลังเป็นจุดเผชิญหน้าที่สำคัญทางการเมืองในขณะนี้ เป็นเรื่องราวที่อยู่ “หลังบ้าน” แต่กำลังมีความสำคัญต่อบ้านหลังนี้อย่างยิ่งยวด
หากเปรียบประเทศเป็นบ้านแล้ว ถ้าหน้าบ้านของเรากำลังจะเปิดเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การเปิดเสรีการส่งของค้าขายเข้าประตูบ้าน หลังบ้านของเราก็ดูจะพยายามปิดบังการละเมิดสิทธิ พยายามปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ถ้าหน้าบ้านของเราเต็มไปด้วยการโฆษณาเรื่องราวของการรักกัน เรียกร้องการปรองดองสมานฉันท์ หรือแสดงออกว่าสงบสันติ หลังบ้านของเราก็ดูจะเต็มไปด้วยความรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผู้คนในบ้านของตนเอง ถ้าหน้าบ้านของเรายินดีเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกในฐานะแหล่งรายได้สำคัญของบ้าน หลังบ้านของเราของดูเหมือนจะพยายามไล่คนร่วมหลังคาออกจากบ้านไป เพราะคิดเห็นแตกต่างไม่ตรงกัน
ผมจึงคิดว่าการจะเข้าใจบ้านหลังนี้จึงดูจะต้องหันไปมอง “สนามหลังบ้าน” ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ หลังบ้านที่เต็มไปด้วยเศษสิ่งของที่เราแกล้งลืมทิ้งไว้, เรื่องราวที่ถูกเก็บกวาดแอบไว้หรือทำราวกับไม่มีอยู่, ผู้คนในบ้านที่เราพยายามซ่อนไว้จากสายตาคนภายนอก เท่าที่ผมจะพอกล่าวถึงได้ภายใต้ข้อจำกัดของตนเอง ทั้งนี้เพื่อมองให้เห็นอาณาบริเวณบ้านที่เราอยู่ได้อย่างรอบด้านขึ้นสักหน่อยก็ยังดี และสร้างความเข้าใจต่อบ้านหลังนี้ที่คล้ายจะถึงช่วงเลาที่กำลังจำเป็นต้องถูกปรับปรุง-เปลี่ยนแปลงในหลายสิ่งหลายอย่าง
เรื่องราวที่ผมพยายามจะเขียนหรือสื่อสารต่อไปในบล็อกนี้ จึงเป็นเรื่องราวจาก “สนามหลังบ้าน”