Skip to main content

สัปดาห์นี้อยู่ในช่วงวันที่ 11 กันยายน ซึ่งเป็นวันครบรอบวันตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ถล่ม มีเพลง ๆ หนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เป็นเพลงที่มีความหมายและให้กำลังใจคน แรกทีเดียวเพลงนี้เป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง Beaches ในปี 2531 นำแสดงโดย Bette Midler และ Barbara Hershey หลังจากหนังเรื่องนี้ก็ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงประจำตัวของ Bette Midler ตั้งแต่นั้นมา

 

อยากให้ดูคลิ้บอันนี้ค่ะ เบธร้องในปี 2001 หลังจากวันตึกถล่มไม่กี่วัน ที่ Yankee Stadium ในนิวยอร์ค ดูจากภาพแล้วน่าจะเป็นงานรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เพลงลมใต้ปีกที่เคยเป็นลมใต้ปีกของใครหลาย ๆ คน กลับกลายมาเป็นลมใต้ปีกในโศกนาฏกรรมได้อย่างลึกซึ้งกินใจ จนอดร้องไห้ไม่ได้ ยิ่งลีลาการร้องของป้าเบธที่อยู่ในจุด”คลี่คลายละลายฟอร์ม” เป็นนักร้องที่ร้องเพลงของตัวเองได้ราวเพลงกระบี่ที่ไม่มีกระบี่ ดนตรีเรียบง่าย ถ้อยคำมาจากหัวใจ ภาษากายของเธอบางครั้งเห็นปีกงอกออกมาพาความเศร้าโบยบินไปจากหัวใจผู้ที่ยังอยู่

 

ลองนั่งนิ่ง ๆ ฟังเพลง และแผ่เมตตาให้กับความตาย ความโศกเศร้าของมวลมนุษย์ ความโหดร้ายในจิตใจของบางคน


 

 

 

8_9_01


Oh, oh, oh, oh -
It must have been cold there in my shadow,
To never have sunlight on your face.
You were content to let me shine, thats your way.
You always walked a step behind.


8_9_02

So I was the one with all the glory,
While you were the one with all the strain.
A beautiful face without a name for so long.
A beautiful smile to hide the pain.


8_9_03

Did you ever know that you’re my hero,
And everything I would like to be?
I can fly higher than an eagle,
For you are the wind beneath my wings.

 

 

8_9_04

It might have appeared to go unnoticed,
But I’ve got it all here in my heart.
I want you to know I know the truth, of course I know it.
I would be nothing without you.


8_9_05

Did you ever know that youre my hero?
You’re everything I wish I could be.
I could fly higher than an eagle,
For you are the wind beneath my wings.

 

 

8_9_06

Did I ever tell you youre my hero?
You’re everything, everything I wish I could be.
Oh, and i, I could fly higher than an eagle,
For you are the wind beneath my wings,

cause you are the wind beneath my wings.

 

 

8_9_07

Oh, the wind beneath my wings.
You, you, you, you are the wind beneath my wings.
Fly, fly, fly away. you let me fly so high.
Oh, you, you, you, the wind beneath my wings.
Oh, you, you, you, the wind beneath my wings.

 

8_9_08

Fly, fly, fly high against the sky,
So high I almost touch the sky.
Thank you, thank you,
Thank God for you, the wind beneath my wings.

 


8_9_09

 

 

 

บล็อกของ โอ ไม้จัตวา

โอ ไม้จัตวา
บอกกับตัวเองและเพื่อน ๆ บ่อยครั้งว่า มาเชียงรายฉันมักหาทางไปแม่สาย เชียงแสน ขับรถเลียบแม่น้ำโขง แค่ย่างเข้าสู่แม่จันก็รู้สึกเหมือนกลับบ้าน สงสัยชาติก่อนฉันคงเคยเกิดแถวนี้ ความรู้สึกอิ่มสุขลึก ๆ ในใจเมื่อมองทุ่งหญ้าที่ขึ้นสองฝั่งโขง มองสายน้ำอันยิ่งใหญ่ตรงหน้า อาจเป็นเพราะฉันมีเชื้อสายส่วนหนึ่งเป็นลาว ยายของย่าของฉันอพยพมาจากเมืองหลวงพระบางในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าในช่วงนั้นหลวงพระบางเมืองหลวงของลาวแตกลง มีการอพยพสองสาย สายหนึ่งลงใต้ อีกสายหนึ่งข้ามโขงลัดเลาะเทือกเขาเพชรบูรณ์เข้ามาทางจังหวัดเลย ด่านซ้าย และเพชรบูรณ์ ส่วนเลือดอีกฟากหนึ่งในกายฉันมาจากจีนแผ่นดินใหญ่…
โอ ไม้จัตวา
เพื่อชาติ เพื่อประชาธิปไตย หลังจากเดินเล่นในสวนเขียว ๆ มาพักหนึ่ง ความเป็นจริงก็เริ่มปรากฏ เศรษฐกิจแย่ลง จากสองปีก่อนคนบอกว่าขาลง ปีที่แล้วเผาจริง ปีนี้เผาจริงกว่า บอกตัวเองว่าเอาเถอะ เป็นไงก็เป็นกัน เกิดเป็นคนไทยแล้วนี่นา คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว ชัยชนะที่ผลัดกันชมระหว่างผู้ขับไล่ และผู้อยู่ไกลบ้าน แล้วในที่สุดเขาก็รักกัน เป็นพี่น้องกัน คนที่แทบฆ่ากันตายกลับกลายเป็นนายกที่ดีที่สุด เกิดอะไรขึ้นกับชายชาติทหาร หลายคนเดินคอตกกับความผิดหวังที่รู้สึกว่าเราถูกหลอก หลายคนกุมหัวใจมั่นแล้วบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร ณ เวลานั้นเราทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ…
โอ ไม้จัตวา
“เมื่อไรลื้อจะมา ลื้อบอกว่าจะมาหกโมง นี่จะสามทุ่มแล้ว”  เสียงโหวกเหวกโวยวายดังอยู่ตรงหน้าราวกับทะเลาะกันทางโทรศัพท์  รีเซฟชั่นยืนนิ่งมองชายคนหนึ่งยืนคุยโทรศัพท์หน้าดำคร่ำเครียด ฉันมองนิดหนึ่งเห็นว่าไม่มีอะไรก็หันมาอ่านหนังสือตรงหน้าต่อวันนี้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักที่คนรอบข้างล้วนไม่มีใครสนใจใคร แม้แต่ฉันซึ่งหมกตัวเองอยู่กับงาน จนพบว่าลืมอาบน้ำเป็นวัน ๆ พบตัวเองที่หน้าคอมฯ อีกทีก็หน้ามันแผล่บ ป้า ๆ แถวนี้มาเห็นคงเหล่ตามองเย้ยหยัน ว่าทำตัวแบบนี้ไงเล่า! บอกน้องสาวไปทางเอ็มว่า วาเลนไทน์ของพี่ตายไปแล้ว ตั้งแต่เช้ามานี้ยังไม่ได้หายใจโล่ง ๆ เลย ดอกกุหลาบเหรอ...แพง! ความรักเหรอ...…
โอ ไม้จัตวา
ฟังดูน่ากลัวนะ อะไรมันจะขนาดนั้น ไม่ใช่อะไรค่ะ วันอาทิตย์วันหยุดอยู่กับบ้าน กิจวัตรหนึ่งก็คือนอนดูหนังในเคเบิ้ลทีวี ซึ่งเขาจะจัดหนังได้น่ากลัวมากในวันอาทิตย์  สำหรับเราแล้ววันอาทิตย์ควรเป็นวันสบาย ๆ ชิว ๆ  แต่เปิดทีวีเจอแต่หนังผี  อย่างเมื่อคืน เปิดเรื่องมาบนเครื่องบิน โอ๊...ชอบ หนังวิกฤติบนเครื่องบิน เนื่องจากเป็นคนกลัวความสูง แต่ชอบดูหนังเกี่ยวกับเครื่องบิน จี้เครื่องบิน เครื่องบินตก ดูแล้วก็เก็บไปจินตนาการเวลาขึ้นเครื่อง ว่าถ้าเป็นเราเจอแบบนี้เราต้องทำอย่างไร  เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากหนังว่างั้น
โอ ไม้จัตวา
ตีนฟ้ายกแล้ว แมวยังหลับใหลอยู่บนกองผ้าห่มอบอุ่น ใกล้เวลานัดสำหรับการออกไปดูโลกสีชมพูที่ได้ยินเสียงนักเดินทางต่างถิ่นกลับมาบอกเล่าเรื่องราวอยู่เสมอ  “ใกล้แค่นี้เอง” ฉันบอกเพื่อนร่วมทาง หลังจากชักชวนกันเมื่อคืน ว่าดอกพญาเสือโคร่งกำลังบานที่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน หลังดอยสุเทพนี่เอง เราออกจากบ้านเจ็ดโมงเช้า แวะกาแฟวาวีร้านกาแฟสาขาถนนนิมนานเหมินท์ที่เปิดตั้งแต่เจ็ดโมง แต่ก็ต้องรอเครื่องร้อนอีกครู่หนึ่ง ออกจากถนนนิมมานฯ เข้าสู่ถนนห้วยแก้ว ถนนสายหลักของนักท่องเที่ยวที่ต้องขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ และยังเป็นถนนสายหลักในหัวใจของชาวเชียงใหม่…
โอ ไม้จัตวา
ผ่านพ้นไปสำหรับฤดูการท่องเที่ยว ผู้คนหลั่งไหลมาเที่ยวมากเหนือมากมายในช่วงปีใหม่ นักท่องเที่ยวที่กลับมาจากอำเภอปายเล่าให้ฟังว่า ช่วงปีใหม่ที่นั่นถึงกับไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำมัน เหมือนติดเกาะ ร้านอาหารบางร้านให้บริการไม่ไหวถึงกับปิดร้านไปเลย เพราะคนเยอะมาก บางคนต้องนอนค้างอีกคืนหนึ่งเนื่องจากน้ำมันไม่มีขาย ต้องรอรถน้ำมันเข้ามาจากเชียงใหม่ ร้านอาหารร้านหนึ่งขายข้าวไข่เจียวอย่างเดียวมีคนรอจำนวนมาก และคนต้องจ่ายเงินไว้ก่อน แล้วยืนรอ นานแค่ไหนก็ต้องรอเพราะไม่มีอะไรกินคนจำนวนมากบอกฉันว่า อุตส่าห์มาจากกรุงเทพ ฉันฟังจนเบื่อ เพราะมีจำนวนอีกมากมาไกลกว่ากรุงเทพ เช่น ตรัง ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สวิสเซอร์แลนด์…
โอ ไม้จัตวา
ในที่สุดก็มาถึงวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าฉันติดตามหนังสือเล่มนี้มาถึงเจ็ดปี จำได้ว่าวันแรกที่อ่าน รู้สึกอิ่มเอม มีความสุข ไม่อยากไปไหน อยากอยู่ในโลกของคนขี่ไม้กวาด เสกคาถา ในโลกที่ตอบสนองจินตนาการที่ขาดหายไปในวัยเด็กคุยกับเพื่อน ๆ ที่ติดแฮรี่ พ็อตเตอร์ ว่าอ่านแล้วรู้สึกเหมือนได้ฟังนิทานก่อนนอนในวัยเด็ก ความที่หนังสือเล่มหนาทำให้อ่านวันเดียวไม่จบ และความที่เนื้อหาเหมือนขนมอร่อยที่มีจำนวนจำกัด จึงอยากค่อย ๆ ละเลียดกินทีละน้อย  อ่านแล้วไม่อยากให้จบ อยากกลับบ้านไปนอนห่มผ้าอ่านต่อ เป็นแบบนี้มาเจ็ดปี! ปีนี้อ่านจบลงในวันเดียว แล้วรีบโทรไปบอกเพื่อนว่า มันส์เป็นบ้าเลย สู้กันทั้งเรื่อง…
โอ ไม้จัตวา
เทศกาลโคมลอยผ่านไปอย่างท้าทายภาวะโลกร้อนที่คนทั้งโลกต่างพากันหวั่นวิตกอยู่ในขณะนี้ ประเพณียี่เป็ง หรือลอยกระทงของคนไทยเพิ่งผ่านไป...เมืองเชียงใหม่มีโคมลอยเป็นเอกลักษณ์  และเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของประเพณีนี้ จนคนทั่วประเทศนำการปล่อยโคมไปใช้ในงานต่าง ๆ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ภาพโคมนับร้อยนับพันที่ปล่อยขึ้นฟ้า แสงไฟระยิบระยับ เป็นความงามอันต้องตาต้องใจผู้คน เป็นภาพประทับใจนักท่องเที่ยว จนกลายเป็นจุดขาย  ปีนี้มีการปล่อยโคมที่ข่วงประตูท่าแพ กลางเมืองเชียงใหม่ พันห้าร้อยลูกเพื่อถวายพ่อหลวง  ยังไม่นับการปล่อยทุกปีที่แม่โจ้ และตามถนนหนทางต่าง ๆ แม้แต่ถนนนิมมานเหมินท์…
โอ ไม้จัตวา
วันนี้อากาศเย็น ปลายเดือนพฤศจิกายน 2550 เมืองเชียงใหม่เริ่มคึกคัก แต่ก็ยังดูเหงากว่าปีที่แล้ว ซึ่งงานพืชสวนโลกสร้างปรากฏการณ์คนไหลมาให้กับเมืองจนถนนทรุด เป็นฟองสบู่ฟองใหญ่ที่ดึงนักลงทุนท้องถิ่นรายย่อยให้เข้าไปลงทุนกับตัวล่อคือนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้ามาในเมืองสะท้อนความอ่อนด้อยของประชาชน การขาดการศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้ ทำให้หลงคำโน้มน้าวให้เกิดการลงทุนบริเวณหน้าสถานที่จัดงาน ขณะที่ปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสถานที่ ราคาค่าเข้าชม ทำให้เป็นตัวแบ่งระดับฐานะของนักท่องเที่ยว คือต้องมีเงินเท่านั้นจึงจะเข้าชมได้ ตั้งแต่เงินค่ารถมา ค่าเข้าชม และสถานที่อันกว้างใหญ่ไพศาลทำให้คนเข้าชมเหนื่อยหมดแรง…
โอ ไม้จัตวา
หากใครถามว่าผ่านโลกมากี่ปี คำตอบเป็นจำนวนปีที่มากขึ้นนั้น อาจบอกว่าเห็นโลกมาก็มาก แต่การเห็นโลกผ่านเน็ตในวันนี้มีความหมายต่อจิตใจฉันยิ่งนัก  เมื่อเปิดไปพบกับข่าวชิ้นหนึ่ง ที่องค์การอวกาศของญี่ปุ่น ถ่ายภาพโลกจากดวงจันทร์ ผ่านกล้องโทรทัศน์ความละเอียดสูงเคยแต่อ่านว่าโลกใบนี้เป็นดวงดาวสีน้ำเงิน นึกยังไงก็นึกไม่ออก คงเหมือนดวงจันทร์สีเหลือง แต่โลกเป็นสีน้ำเงินกระนั้นหรือ แล้วภาพจะเป็นยังไงหนอ เป็นลูกกลมหมุนวนไปมา มีสีฟ้า ๆ กลางห้วงอวกาศอย่างนั้นหรือที่โลกในใจ...การหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง คิดวนเวียนอยู่ในชามอ่าง เรื่องแล้วเรื่องเล่า คิดจนเมาโลกของตัวเอง…
โอ ไม้จัตวา
ไม่อยากเชื่อว่าชีวิตนี้จะพูดคำนี้ออกมาได้ ฉันเป็นคนที่เชื่อในตัวเอง เชื่อในการกระทำและผลของการกระทำ เชื่อในกรรม เชื่อในกฎฟิสิกส์ข้อหนึ่งที่ว่า แรงตกกระทบเท่าไร แรงสะท้อนขึ้นเท่านั้น  เชื่อได้ดังนี้แล้ว ฉันจึงไม่พยายามสร้างการกระทำที่ไปตกกระทบคนอื่น เพื่อให้มันสะท้อนกลับมาหาฉัน  พูดอย่างพุทธศาสนิกชนก็คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วพูดแบบชาวบ้านก็คือบาปไม่แพ้บุญ  ฉันไม่ค่อยชอบทำบุญกับพระเท่าไรนัก เหตุเพราะไม่ชอบพิธีกรรม แต่มักให้คนที่ขาดแคลนมากกว่า เช่น คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าบอกว่า ไม่มีเงินสักบาท เธอมองดูเพื่อน ๆ รับซองเงินเดือน ขณะของเธอนั้นเบิกล่วงหน้ามาหมดแล้ว…
โอ ไม้จัตวา
ฉันเป็นคนขี้ขลาด ขี้กลัว จึงสร้างเกราะกำบังด้วยภาพของผู้หญิงปากไวใจหมาไว้ป้องกันตัวเอง เพราะรู้ว่าลึกลงไปที่กลางใจนั้น ฉันกลัวเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติฉันค้นพบเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง เมื่อคราวที่คนกลุ่มหนึ่งนำพี่ของฉันไปกักตัวไว้ และฉันบังเอิญต้องติดตามไปด้วย  เพื่อความปลอดภัย เขาว่างั้น ขณะอยู่ในรถรักษาความปลอดภัยนั้น เสียงโทรศัพท์ประสานงานไปมา สติเริ่มมาแทนที่ความกลัว ปัญญาเริ่มวิ่งพล่าน กำโทรศัพท์แน่น ในความมืดฉันแอบโทรออกจากในรถหาเพื่อนร่วมบ้านซึ่งกำลังรอฉันอยู่ ฉันป้องปากกระซิบเบาที่สุดขณะเสียงที่ดังขึ้นข้างหน้า บอกเพื่อนว่า “ฟัง” แล้วซ่อนโทรศัพท์ลงต่ำ…