คดีคณะโต้อภิวัฒน์ (๒๔๗๘) ขับไล่รัชกาลที่ ๘-สังหารผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วจะอัญเชิญรัชกาลที่ ๗ ครองราชย์อีกครั้ง
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล (บันทึก)
"จำเลยจะขับไล่พระมหากษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบันออกจากราชสมบัติ และฆ่าพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภาขณะทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใน พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันและหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ตลอดทั้งสกุลวรวรรณ แล้วอัญเชิญพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ กลับขึ้นครองราชย์สมบัติแทนต่อไป ถ้าพระองค์ไม่ทรงรับก็จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบมหาชนรัฐโดยไม่ต้องมี พระมหากษัตริย์ต่อไป" - คำบรรยายฟ้องของอัยการศาลพิเศษ ความอาญา วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๘
การโต้อภิวัฒน์นำโดยคณะเจ้า คือ รัชกาลที่ ๗ และพระองค์เจ้าบวรเดช ก่อการอันเป็นเสี้ยนหนามต่อระบอบรัฐธรรมนูญเมื่อคราว พ.ศ.๒๔๗๖ และการก่อกบฏของคณะเจ้าในคราวบวรเดชนั้นก็ถูกปราบปรามลง บรรดาบุคคลที่กระทำการอันเป็นเสี้ยนหนามต่อระบอบก็ถูกจับกุมคุมขังตลอดจนปลด ออกจากราชการ ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๗๘ "คณะฝ่ายโต้อภิวัฒน์ พ.ศ.๒๔๗๖" ได้ก่อการกำเริบขึ้นมุ่งหมายช่วยพวกกบฏบวรเดช และโค่นล้มระบอบรัฐธรรมนูญ (ประชาธิปไตย) แล้วจะอัญเชิญ รัชกาลที่ ๗ มาเป็นประมุขแห่งรัฐ แทน ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ซึ่งเลือกตั้งโดยฝ่ายคณะราษฎร ทั้งประหัตประหารฝ่ายพระบรมวงศานุวงศ์ที่เข้าร่วมเป็นสมุนกับระบอบใหม่ (ระบอบรัฐธรรมนูญ) อย่างไรก็ดี "คณะฝ่ายโต้อภิวัฒน์ พ.ศ.๒๔๗๖" ก็เล็งเห็นว่า หากรัชกาลที่ ๗ ทำเสียฤกษ์ก็คงต้องเปลี่ยนไปเป็นระบอบประธานาธิบดี แน่นอนว่าเป็นคนละระบอบกับระบอบรัฐธรรมนูญของคณะราษฎร
..............................................
ศาลพิเศษ
วันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘
ความอาญา
อัยการศาลพิเศษ โจทก์
ระหว่าง
ส.ท. หม่อมหลวงทวีวงศ์ จำเลย
วัชวีรวงศฺ ที่ ๑ กับพวก
ข้อหากระทำผิดฐานกบฏ
ข้าพเจ้าอัยการศาลพิเศษ โจทก์ สังกัดกระทรวงกลาโหม ขอยื่นฟ้องต่อศาลมีข้อความตามที่จะกล่าวต่อไปนี้
ข้อ ๑ ภายหลังที่ประเทศสยามได้เปลี่ยนระบอบการปกครองจากราชาธิปไตยมาเป็น ประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญเป็นต้นมา จำเลยต่างๆ ซึ่งมีตำแหน่งตามบัญชีท้ายฟ้องนี้กับพวกที่ยังจับตัวไม่ได้ ได้บังอาจสมคบ ร่วมคิด ตระเตรียม โดยมีแผนการณ์ทำลายล้มล้างรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศสยามให้เป็นอย่างอื่น
ข้อ ๒ ด้วยเจตนาดังกล่าวแล้วในข้อ ๑ ระหว่างเดือนมิถุนายนจนถึงวันที่ ๓ สิงหาคม ศกนี้ จำเลยกับพรรคพวกได้ยุยงเกลี้ยกล่อมส้องสุมผู้คน ตระเตรียมสรรพศัตราอาวุธในกองทัพสยาม และที่ต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อยึดอำนาจการปกครองโดยฆ่าผู้บังคับบัญชาและจะได้จับนายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกับนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้บัญชาการทหารบกและนายกรัฐมนตรีไว้เป็นประกันก่อน ถ้าขัดขวางไม่ยินยอมหรือจำเลยกับพวกคนใดคนหนึ่งถูกประทุษฐร้ายก็ให้ฆ่าบุคคล ทั้งสองนั้นเสีย แต่หลวงประดิษฐมนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้จับตาย แล้วตั้งตนเองและพรรคพวกขึ้นครองตำแหน่งบัญชาการแทน และจัดกำลังไปยึดสถานที่ทำการของรัฐบาลกับรักษาสถานทูตต่าง ๆ
ข้อ ๓ เพื่อให้สำเร็จตามความมุ่งหมายของจำเลยกับพวก จำเลยจะประหารชีวิตข้าราชการในรัฐบาลบางจำพวกให้หมดเสี้ยนหนามหรือศัตรูขัด ขวางแก่พวกจำเลยต่อไป ทั้งจะให้ปล่อยนักโทษการเมืองเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖ ซึ่งต้องโทษอยู่ในเรือนจำมหันตโทษทั้งหมด
ข้อ ๔ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ จำเลยจะขับไล่พระมหากษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบันออกจากราชสมบัติ และฆ่าพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภาขณะทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใน พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันและหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ตลอดทั้งสกุลวรวรรณ แล้วอัญเชิญพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ กลับขึ้นครองราชย์สมบัติแทนต่อไป ถ้าพระองค์ไม่ทรงรับก็จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบมหาชนรัฐโดยไม่ต้องมี พระมหากษัตริย์ต่อไป
ข้อ ๕ การกระทำของจำเลยยังไม่สำเร็จลุล่วงไปตามแผนการณ์ทั้งหมด โดยรัฐบาลได้ล่วงรู้เสียก่อน จึงเริ่มทำการจับกุมเมื่อวันที่ ๓ เดือนนี้
ข้อ ๖ การกระทำของจำเลยดังกล่าวแล้วมีความผิดฐานกบฏภายในพระราชอาณาจักร์ และฐานประทุษฐร้ายต่อพระบรมราชตระกูล และก่อการกำเริบให้เกิดวุ่นวายถึงอาจเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง แล้วยังทำให้ประชาชนเสื่อมความนิยม และเป็นที่หวาดหวั่นต่อการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญกับทำให้ทหารไม่พอใจเกิด ความกระด้างกระเดื่องไม่กระทำตามคำสั่งข้อบังคับของทหาร หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้บังคับบัญชา ละเลยไม่กระทำตามหน้าที่ ทั้งหย่อนวินัย และสมรรถภาพแห่งกรมกองทหารให้เสื่อมทรามลง
ข้อ ๗ จำเลยทั้งหมดถูกขังในศาลาว่าการกลาโหม แต่วันถูกจับ อัยการศาลพิเศษได้ไต่สวนแล้ว คดีมีมูลจึงส่งจำเลยมาฟ้องยังศาลนี้
เหตุเกิดในกองรถรบ วังปารุสฯ กองพันทหารราบที่ ๑, ๒, ๓, ๔ และบริเวณสนามหลวง กับที่อื่น ๆ ในจังหวัดพระนคร เป็นต้น.
คำขอท้ายฟ้อง
การที่จำเลยได้กระทำตามข้อความที่กล่าวมาในฟ้องนั้น โจทก์ถือว่าเป็นความผิดล่วงพระราชอาญาตามพระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษา รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๖ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายลักษณะอาญาทหาร มาตรา ๙๒, ๓๐, ๓๑, ๓๒, ๓๓, ๔๑, ๔๒, และพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายลักษณะอาญาทหาร พ.ศ.๒๔๗๐ มาตรา ๕๒ กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๙๗, ๑๐๒, ๖๓, ๖๔, ๖๕ และพระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๗๐ มาตรา ๓, ๔
(ลงนาม) พ.อ.พระขจรเนติยุทธ
ร.อ.ขุนทอง สุนทรแสง
ร.อ.ขุนโพธัยยประกิต
ด.กิม ศิริเสรษฐรัฐ
ด.ไสว ดวงมณี
นายสำราญ กานต์ประภา
นายทิ้ง อมรส
พร้อมด้วยคำพิพากษาศาลพิเศษที่ประกาศออกมาให้ประหารชีวิตสิบเอกสวัสดิ์ มหะหมัด
จำคุกตลอดชีวิต ส.ท.ทวีวงษ์ วัชรีวงศ์ ส.อ.เข็ม เฉลยทิศ ส.อ.ถม เกตุอำไพ ส.อ.กวย สินธุวงศ์ ส.ท.ศาสน์ คชกุล ส.ท.แผ้ว แสงส่งสูง
๒๐ ปี ส.อ.แช่ม บัวปลื้ม ส.อ.ตะเข็บ สายสุวรรณ ส.ท.เลียบ คหินทพงศ์
๑๖ ปี นายนุ่ม ณ พัทลุง
___________________________
ที่มา : เสลา เลขะรุจิ, ไทยน้อย นามแฝง., "๒๕ คดีกบฏ," พิมพ์ครั้งที่ ๑. พระนคร : รัตนการพิมพ์, ๒๕๑๓. หน้า ๑๖๗-๑๗๒.