tag #ข่มขืนต้องประหาร ได้กลายเป็นวลีสุดฮิตในโลกออนไลน์หลังจากที่น้องแป้ง เด็กหญิงอายุ 13 ถูกข่มขืนฆ่าบนรถไฟ แม้ผู้เขียนรู้สึกสลดใจกับการตายของน้องแป้งแต่ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกสลดใจกับการแสดงออกแบบมองความตายเป็นทางออกเช่นเดียวกัน
ต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทำไมผู้เขียนไม่เอาโทษประหารชีวิต
1) ทุกชีวิตมีค่า ไม่ว่าคนดีหรือเลว การแก้ปัญหาด้วยการประหารชีวิตมิช่วยให้สังคมดีขึ้น หากเรามองว่าการฆ่าเป็นสิ่งเลวร้าย การฆ่าหรือประหารในนามของความดีหรือความยุติธรรมนั้นเสียสติหรือเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะสติของคนทั้งสังคมมิได้ช่วยให้คิดอะไรอย่างมีมนุษยธรรมขึ้นมาได้
ไม่มีผู้ใดมีสิทธิพรากชีวิตผู้อื่น การที่สังคมพรากชีวิตฆาตกรซ้ำมิช่วยให้สังคมมีสติขึ้น ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับฆาตกรรมก็จงพึงระลึกว่าโทษประหารชีวิตก็คือฆาตกรรมรูปแบบหนึ่งหรือพูดอีกอย่าง ถ้าฆาตกรไม่เห็นค่าคน แล้วคนสนับสนุนการประหารชีวิตคนนั้นเห็นค่าคนหรือ?
2) ทุกคนสำนึกผิดและกลับใจได้ หรือพูดแบบพุทธคือทุกคนมีความเป็นพุทธะนั่นเอง
3) อาจเกิดการประหารชีวิตผืดคน เหตุการณ์เชานนี้เกิดขึ้นได้เสมอเพราะกระบวนการยุติธรรมผิดพลาดได้ แม้ในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา
4) มันไม่เป็นพุทธ >เวรย่อมไม่ระงับด้วยโทษประหารชีวิต สังคมที่อ้างว่าเป็นพุทธย่อมเรียนรู้ที่จะอโหสิ โทษจำคุกนานๆสีก 20 ถึง 40 ปีจึงเพียงพอ (เรื่องตัวเลขและมาตรการป้องกันรวมถึงลดอาชญากรรมเราถกเถียงกันได้)
5) สำหรับผู้ที่บอกว่าถ้าไม่เจอกับตัวหรือครอบครัวย่อมไม่มีวันรู้ ผู้เขียนขอบอกว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เกือบทั้งกมดก็ยังมิเคยเจอกับตนเองหรือครอบครัวคนรักและจะรู้ได้อย่างไร?
ผู้เขียนขอประกาศเลยว่าหากตนเองหรือคนรัก ครอบครัว โดนข่มขืนฆ่าก็จะยังไม่มีวันสนับสนุนการใช้โทษประหารชีวิตอยู่ดี เพราะมันเป็นเรื่องของหลักการ การปล่อยให้สังคมที่อ้างตนว่าเป็นสังคมแห่งความดีมีคุณธรรมประหารชีวิตผู้อื่นนั้นโหดร้ายและสิ้นคิดยิ่งเสียกว่าฆาตกรที่ไร้สติสิ้นคิดและโหดร้ายจนแยกไม่ออกว่าอะไรถูกผิด