Skip to main content

 30_7_01

 

ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่ ตัวเธอเองก็สับสนสงสัย อยากจะรี่ไหลไปอย่างอิสระ แต่ลึก ๆ เธออยากมีฝั่ง มีตลิ่งบอกแนว ไม่ให้ตัวเองทะลักหลั่งซัดสรรพสิ่งหักพัง


ลูกเอ๋ย ชีวิตนั้นยากนัก แต่หวังว่าคงไม่ยากเกิน สตรีผู้นั้น บางครั้งหล่อนก็สงสัย จะทำเช่นไร ยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งคาค้างอยู่ในตัว เด็กแรกรุ่น หญิงสาว รวมอยู่ในคนผู้ใหญ่ ผู้เยาว์เหล่านั้นยังคงเรียกร้องต้องการ
... ฉันไม่อยากเห็นเธอต้องเสียน้ำตา ไม่อยากให้เธอต้องแบกตัวตนอันเจ็บปวดและปราศจากความเข้าใจติดตัวไปตลอดชีวิต เพราะนั่นคือภารกิจหนักหนา ยาวนาน ยากจะจบสิ้น


แม่รักลูก ลูกรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าไม่มีใครอีก ไม่มีพ่อคอยดูแล มีเพียงแม่ที่รักและห่วงใยทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์และการเติบโตภายในของเจ้า ทว่า ตัวแม่กลับทำได้กระพร่องกระแพร่ง มีแม่มากมายในโลกที่รักและปรารถนาอย่างสุดจิตสุดใจที่จะเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่อย่างอบอุ่น เป็นคนดี มีความสุข แต่พวกหล่อนล้วนเติบโตไม่เต็มที่ ยังมีบาดแผลที่ต้องเยียวยา ทุกครั้งที่เห็นลูกร้องไห้ แม่เจ็บปวด ทุกคราวที่เราทะเลาะโต้แย้ง และแม่ดุด่าว่ากล่าวลูกโดยถือสิทธิแห่งความเป็นแม่ของตน แม่รู้สึกเจ็บปวดบีบคั้น


แม่อยากบอกว่า แม่ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอกลูก แม่เสียใจ แม่พยายามทำไปตามที่ตัวเองเป็นและทำได้ในเวลานั้น บางทีก็ไม่ได้พยายามมากพอหรอกนะ แต่ว่าตกอยู่ภายใต้อารมณ์และอุปนิสัยดั้งเดิมมากกว่า ซึ่งลูกก็ตอบโต้กลับมาด้วยความคิดที่ยังไม่รวบยอด ด้วยความไม่รู้จักเข้าใจวิเคราะห์ ด้วยความรู้สึกอันสับสน และอารมณ์แรงของวัยรุ่น

หลายครั้ง มันดูเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับแม่ และแสนจะบั่นทอนข้างใน วันนั้นลูกร้องไห้ไปล้างจานไป และพยายามกลั้นสะอื้นด้วยความหวาดกลัว แม่นิ่งอั้นตันใจ พร้อมกับเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอีก ลำพังตัวแม่รู้ว่าการขัดแย้งของเราไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร เรารักกัน และแม่มีความตั้งใจดีต่อลูกเสมอ แม่ยังมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และบรรลุความเข้าใจใหม่ ๆ ในตัวลูก ต่อทุกสิ่งในชีวิตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่า คนที่ก่อความรุนแรงคือแม่ ส่วนคนที่อ่อนเยาว์และขาดความเข้าใจก็คือลูก ลูกจึงร้องไห้ บอบช้ำเหมือนสัตว์ที่ถูกทำร้าย เหมือนคนอ่อนแอที่ต้องเผชิญความรุนแรงโดยที่ตนไม่ทราบสาเหตุ

นั่นแหละ แม่ยืนอยู่ตรงนั้น มองดูลูก มองดูตัวเอง ทั้งเสียใจ ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บใจ ทั้งตั้งใจใหม่และดุด่าตัวเอง... ฉันจะต้องพยายามให้ดีขึ้นกว่านี้ ฉันจะต้องเอาชนะตัวเองได้ เยือกเย็น เมตตาและอดทน ฉันไม่อยากสูญเสียลูกสาวของฉันไป ไม่อยากเป็นผู้สร้างช่องว่างขึ้นมาด้วยน้ำมือตน ลูกจะต้องอยู่กับฉันตลอดไป ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนในโลก จะมีสะพานหนึ่ง สร้างจากมิตรภาพ ความรักและความเข้าใจอันแน่นแฟ้นระหว่างเรา ทอดรอให้เธอกลับมาหาฉันเสมอ ในยามที่ต้องเผชิญทุกข์หรือรู้สึกโดดเดี่ยว เธอจะไม่รู้สึกเดียวดาย เพราะรู้แน่แก่ใจว่า มิตรแท้ผู้หนึ่งของเธออยู่ที่นี่ สัตย์ซื่อ รัก และพร้อมที่จะช่วยเหลือเธออย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปร


30_7_02


ลูกรัก ความสัมพันธ์ต่างๆ ในโลกเวลานี้ล้วนเจือด้วยความเจ็บปวด แม้กระทั่งลูกกับแม่ หรือว่าแม่กับแม่ของแม่เอง เพราะมนุษย์ยังอ่อนเยาว์และขลาดเขลาเหลือเกิน ความมั่นใจในสีหน้าของผู้นำ และชนชั้นสติปัญญาจากผู้คนที่ลูกเห็นในจอทีวีนั้นไม่แตกต่างอะไรกับอาการกระหยิ่มยิ้มย่องของผู้ถือขวานหินในป่า


หากโลกนี้เจริญจริงแล้วไซร้ วันนั้นจะเป็นวันที่เราเลิกทำลายโลก ธรรมชาติ ตัวเองและคนรอบข้าง จะไม่มีสงครามอีกต่อไป เพราะสงครามคือการกล่าวอ้างของคนโง่ที่กอดยึดความหวาดกลัวไว้ตลอดเวลา คือคำปลิ้นปล้อนตลบตะแลงของนักการเมืองที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ ในนิยายเริงรมย์ที่ลูกอ่านอาจมีข่าวสารที่จำเป็นสำหรับชีวิตมากกว่านั้นเสียอีก เพียงแต่ความหวานเคลือบน้ำผึ้งน้ำตาลของมันที่ทำให้โลกกลายเป็นสีชมพูฟูฟ่องเหมือนขนมสายไหมนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคือความลวง ซึ่งนานไปย่อมเกิดเป็นพิษ ความจริงนั้นสะอาด จืดเหมือนน้ำเปล่า แต่ธรรมชาติก็กำหนดมาแล้วให้เด็กๆ ชมชอบขนมและการละเล่น ลูกควรสุขสำราญ เบิกบานใจตามวัยของตน ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียด หรือมีสาระอะไรมากมายนัก ต้นไม้นั้นต้องอาศัยเวลาเติบใหญ่จึงจะผลิตดอกออกผล แม่เองไม่รู้แน่ว่าสัดส่วนของการเริงเล่นและเนื้อหาสาระมีรูปธรรมอย่างไร แต่ก็ขอให้เรามีวันเริงเล่นไร้แก่นสารด้วยกัน มีวันอบอุ่นสงบสุขปลอดภัย และมีวันที่ได้เรียนรู้ขบคิดถึงสิ่งที่ลึกซึ้งจริงจังของชีวิต


ลูกเป็นความหวังของโลก เป็นผู้กำอนาคตของลูกหลานของลูกเอง วันเวลาข้างหน้าจะดีขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับที่ลูกเป็นตอนนี้ ลำบากตรงที่ แม่เองไม่สมบูรณ์พอที่จะปลุกปั้นชีวิตน้อย ๆ อย่างเชื่อมั่นวางใจ ทว่า เราก็ได้ยื่นมือมาเกี่ยวกันแล้วลูกเอ๋ย ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่ลูกเข้ามาอยู่ในครรภ์ของแม่ ตลอดชีวิตแม่ที่บรรจุไว้ด้วยประสบการณ์ซึ่งต้องค่อย ๆ แยกย่อย พิจารณา ขบคิด ภายหลังจากข้ามพ้นห้วงทุกข์ทางอารมณ์นานัปประการมาได้

ขอให้เราเพียรพยายามต่อไป ขอให้เราเผยความสุขสันติ เมตตา กรุณาและเข้าใจยิ่งขึ้นเรื่อยไป งดงามด้วยปัญญาญาณและหัวใจ กอปรด้วยอารมณ์ขัน สีสันแห่งโลก ปีกผีเสื้อและเมฆหลายรูปทรงในท้องฟ้า ยืดหยุ่นและอ่อนไหวดุจเดียวกับธรรมชาติ สายน้ำสายลม ก่อนจะดิ่งลึกสู่ความสงัดใจกลางผลึกแก้ว...บ่อเกิดแห่งชีวิต


"ลูกรัก...เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ"


บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง