Skip to main content

เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น


น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยรักหมดใจ ราวกับว่านี่คือชิ้นงานสุดท้ายในชีวิต จินตนาการและวาดหวังถึงมันอย่างสวยงามที่สุด สมบูรณ์ หมดจด ครบถ้วน

เชื่อสิ โลกจะรักมัน ทุกคนจะขานรับ มันคือสิ่งที่ดีที่สุด คือของขวัญจากหัวใจ จากตัวตน จากชีวิตเรา เพราะเราให้ทั้งหมดแล้ว นี่คือของขวัญล้ำค่าที่เราดึงออกมาจากชีวิต ไม่จำเป็นต้องรีบปลงเพื่อป้องกันความผิดหวังของตนจากประสบการณ์เก่า สิ่งที่ผ่านไปนั้นล่วงแล้ว ไม่จำเป็นต้องปักใจว่ามันจะดำเนินตามรอยทางเดิม หากทำเต็มที่แล้วไม่เกิดผลเลิศ เราค่อยปลง และหาทางทำความเข้าใจน่าจะดีกว่า ไม่มีนักวิ่งคนไหนที่เฝ้าคิดว่าตนไม่มีทางชนะ แล้วจะได้รับเหรียญทองเป็นรางวัลหรอก


เมื่อเขียนสักแต่ว่าเขียน เพื่อจะมีชื่อตีพิมพ์ปรากฏ หรือหวังเพียงสิ่งตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ เราก็จะได้รับตามนั้น เพราะว่าหว่านเมล็ดพันธุ์ใด ย่อมได้เก็บเกี่ยวพืชผลนั้นเอง หากเขียนลองๆ เล่นๆ เราก็ยังคงอยู่ห่างไกลจากการเขียนอย่างเข้มข้น จริงแท้


ในกระบวนการทำงานนั้นมีความหมายมาก เมื่อเราทุ่มเททำงานหนัก ขบคิด ใคร่ครวญ มุ่งหวัง อุทิศแรงกายแรงใจ สิ่งที่ลึกซึ้ง กลวิธีทางศิลปะ ความชำนิชำนาญ รวมทั้งความคิดที่น่าอัศจรรย์จะเผยแสดงต่อเรา แต่หากเราเขียนพอผ่าน อาจจะได้ตีพิมพ์ พอมีสาระอยู่บ้าง แต่เมื่อไม่ได้ทุ่มหัวใจลงไป ไม่รู้สึกมั่นใจอะไรนัก เราก็จะได้รับตามนั้นผลผลิตของเราจะบางเบา ไม่มีมวลให้จับต้อง เราไม่รู้สึกอิ่มเอิบหรือภาคภูมิใจนัก แล้วเมื่อไหร่หนอ การงาน- ตัวตน-ความฝันของเราจึงจะสถาปนาเป็นรูปเป็นร่าง


การงานที่แท้ทุกแขนงหยั่งวัดใจคนทำงานเสมอ หากเราต้องการบรรลุหรือเข้าถึง กลัวเหนื่อย กลัวอด กลัวไม่ได้รับการยอมรับ อาจทำให้เราล่าถอย หรือยื่นมือไปแตะ ๆ ระหว่างพักสอดส่ายสายตาหาความสะดวกดายจากแหล่งอื่น

ก้อนหินของนักเล่นแร่แปรธาตุไม่เคยหายไปจากโลก มันยังมีอยู่ ให้เราเดินทางค้นหาเข้าไปในชีวิต ในตัวเรา ผ่านการงาน อันเปรียบเสมือนนิทรรศการ บอกกล่าวตัวตน ความรู้ ความคิด ความเชื่อ ความสามารถ ประสบการณ์ และอุปนิสัยใจคอของเรา ดุจผลรวมของตัวตนคนหนึ่งที่มามีชีวิตอยู่บนโลก คือการแสดงตัวอย่างชัดเจนถึงการทำหน้าที่ และเกิดมาเป็นมนุษย์ การงานใดที่ให้ความรู้สึกเช่นนั้นน่าจะพอเรียกได้ว่า การงานแห่งชีวิต ซึ่งจะแตกงวงงาออกแตะยื่นกับโลก ผ่านความสัมพันธ์ ผ่านสภาพสังคม ในยุคสมัยที่เรามีชีวิต


ฉันเองก็ยังไม่ได้ทำงานหนักเต็มที่อย่างดีที่สุดหรอก เพียงความเชื่อปักหลักลง และการงานแต่ละก้าวค่อย ๆ ตอกย้ำความมั่นใจไปทีละน้อย เราเพียงอยากแลกเปลี่ยนกับใครก็ตามที่แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด คนที่ปรารถนาจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ทุ่มเททำงานอย่างดีที่สุด ใครที่ปลอบประโลมใจตัวเองมาพอแล้ว และไม่ต้องการความรื่นรมย์เล็กน้อยเพื่อคั่นเวลาอีก แต่แสวงหาสัจจะสำหรับผ่าลงในชีวิต กรีดชำแหละชะตากรรม เพื่อจะพบความจริง เพื่อที่จะตื่น คนซึ่งไม่พูดกับเราว่า...ชีวิตเครียดพออยู่แล้ว เขียนอะไรเบาๆ เถอะน่า และไม่ใช่จำพวกที่พยายามกดทับความขัดแย้งด้วยคาถา “สามัคคี- สมานฉันท์” อย่างไม่เข้าใจว่า ปัญหาหรือความขัดแย้ง คือธรรมชาติของปรากฏการณ์ทุกอย่างในโลกที่ใกล้จะคลี่คลาย และกำลังแสวงหาทางออก...

เราอยากได้ยาดี ๆ กินแล้วหาย เหล้าแรง ๆ กินแล้วรู้ฤทธิ์ ไม่ใช่รักษาเรื่อยเปื่อยไปชั่วนาตาปี ดื่มอะไรเล่น ๆ มึน ๆ นั่นคงเป็นวาระอื่น สำราญผ่อนคลายมิใช่ต่อการงาน หรือสิ่งจริงจังแห่งชีวิต


แวนโก๊ะห์สอนฉันเรื่องนี้ เขามีธรรมชาติที่ทุ่มเทจริงจัง เป็นผู้ใช้แรงงานที่กรำงานหนักและใช้พลังชีวิตอย่างไม่กลัวเปล่าเปลือง ภายหลังค้นพบทางของตน เขาเฝ้าฝึกฝนฝึกปรือ วาดภาพวันยันค่ำ ส่วนกลางคืนก็อ่านหนังสือมากมาย เขาหัดวาดเส้น วาดสีน้ำและสีน้ำมัน ลงไปคลุก ไปขลุกในชีวิต เลิกคิดจากหอคอยงาช้าง แต่ลงไปเกลือกอยู่กับชาวบ้านและคนงานในท้องทุ่ง เทียบกันแล้ว วัน ๆ หนึ่งเขาเขียนรูปเท่ากับเราเขียนเรื่องอาจถึงวันละสองหรือสามเรื่อง เขาวาดเส้นเป็นร้อย ๆ ภาพ กว่าจะตกผลึกลงตัวเป็นภาพสีน้ำมันภาพเดียว หากสีราคาไม่แพง เขาก็คงวาดสีน้ำมันรูปเดียวนับสิบ ๆ รูป เพื่อศึกษาค้นคว้า ให้งานออกมาดีที่สุด ตรงกับใจที่อยากแสดงที่สุด


15_8_01


เรายังไม่ได้ทำงานหนักเท่านี้เลย หายใจหายคอเป็นการเขียน หมั่นฝึกฝน สังเกตธรรมชาติ ชีวิตผู้คน ฉาก ท้องเรื่อง ประมวลความรู้ความเข้าใจทั้งภายนอกภายใน ทดลองมุมมองแบบต่าง ๆ รวมทั้งสร้างตัวละคร โครงเรื่องที่สอดรับ สมเหตุสมผล การดำเนินเรื่องที่น่าสนใจ รวมทั้งสร้างสรรค์แนวทางใหม่ ๆ ทั้งความคิดและเนื้อหาอย่างเป็นต้นแบบ โดยมุ่งหมายเดียวกับวรรณกรรมดี ๆ ของโลก ที่เมื่อจดจิตจดใจอ่านเราอิ่มเอิบไม่อาจอธิบาย ทั้งอยากหัวเราะร้องไห้ หัวใจถูกบีบรัดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งถึงชีวิต


ขอเพียงวันนี้ เราเป็นคนงานที่แท้ ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการงานของตน เราก็คงมีสิทธิคาดหวังถึงชิ้นงานอันสมบูรณ์แบบ รวมทั้งการสดับตรับฟังจากโลก....

     

** บทนี้ ฉันเขียนบนจิตใจที่ตระหนักและเคารพในวิถีและทางเลือกที่แตกต่างของคนทุกผู้ และด้วยคำนึงถึงเหตุผล แง่มุม ปัจจัยในแต่ละชีวิต ... ฉันเพียงมุ่งกล่าวกับเพื่อน ผู้เลือกเดินตามความฝัน และหมายมั่นที่จะเข้าถึงความสำเร็จในงานเท่านั้น


บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง