Skip to main content
30_8_01


มันไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้า การแต่งหน้า เนื้อตัวเท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าไปในสถานที่อย่างร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลอดจนการโอภาปราศรัย
....


หิ้วกระเป๋าเข้าที่พัก กล่องสี่เหลี่ยมครอบลงบนพื้นดินชื้นแฉะ มีพรุน้ำอยู่ข้างใต้ กล่องเก่า ๆ ที่ผุเน่าไปทีละน้อยด้วยไอชื้นจากผืนดิน และการคายน้ำของใบไม้ชายป่าที่รุกล้ำเข้ามาเรื่อย ๆ เกิดรอยแยกที่ผนัง เหล่าแมลงสาบพล่านยั้วเยี้ยยามดึกขณะผู้พักพิงหลับใหล งูเงี้ยวเขี้ยวขอ จิ้งจกตุ๊กแกและหนู ซุ่มซ่อนจับจ้องจากรู โพรงบนผนัง ขื่อคาและเพดาน ไม่ว่าจะทำอย่างไร ๆ พื้นโลกก็คือหิน ดิน ทราย น้ำ ฝุ่น โคลน เราเพียงนำวัตถุเรียบแข็งโปะทับ ทาบแผ่นกระเบื้องหลากสีลงบนพื้น ก่ออิฐโบกปูน กั้นที่ว่างในอากาศ ตกแต่งให้เป็นที่พักอาศัย


ความคลื่นเหียนพลันบังเกิดเมื่อความจริงแสดงตัวตามรอยร้าวแยก เราพบความเพียรอันสูญเปล่าที่จะบดบังความเน่าเปื่อยผุพังซึ่งรุมล้อมอยู่รอบด้าน เหมือนจักรวาลย่อยสลายตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ในอวกาศ ในที่สุดธรรมชาติก็ชำนะ มันดำเนินของมันไป เบื้องใต้คือพื้นที่ลุ่มใกล้ป่าชุ่มชื้น ยุง หนอนและแมลงรักที่จะวางไข่ บ้านเช่าอนาถาไร้หน้าต่าง มีเพียงช่องหายใจติดบานเกล็ดเล็ก ๆ อนุญาตแสงมัวหม่นลอดผ่าน มวลอากาศมองไม่เห็นเต็มไปด้วยความเจ็บไข้ ชื้น หนัก อับ คลุกเคล้าเข้ากับอวลไอแห่งความต่ำต้อย เศร้าสร้อย สิ้นหวัง ของชีวิตที่ทำอย่างไรก็ไม่อาจทะยานสูงขึ้นกว่านั้นได้

การหาเช้ากินค่ำ ทะเลาะตบตี เหนื่อยหน่าย เมามาย ปิดความคิดก่อนหลับใหล กล่องผุ ๆ สูงต่ำเรียงรายแทบจะเกยกันอย่างมุ่งหมายจำนวนสูงสุดนั้นปิดโอกาสแสงสว่างกับอากาศบริสุทธิ์เบื้องบน เป็นที่ซึ่งซักเสื้อผ้าไม่เคยแห้ง ความอับชื้น เหม็นหืนจะฝังลึกลงในอณูเนื้อ อาจระเหยบ้างก็ต่อเมื่อถูกสวมลงบนร่างยังชีวิตที่ส่งไอร้อนของคนเท่านั้น เด็กเล็กก่นแต่ป่วยไข้ ไอ เป็นหวัด ปอดอักเสบ สามีทะเลาะกับภรรยา ภรรยาที่เอาแต่ร่ำไห้ เพราะอยากออกไปสู่แสงตะวัน ออกไปให้พ้นอิทธิพลป่าและหล่มโคลนยวบยาบที่ไหวโยนเบื้องใต้ ...ไปเถอะไป ผู้คนแห่งชุมชนแออัดชานเมือง ไปอยู่กลางทุ่งโล่งกัน ให้สายลมพัดเป่าความป่วยไข้ ปัดเป่าโรคร้ายในหัวใจและร่างกาย เผาเสื้อผ้าเก่าเน่าทิ้ง หาชุดใหม่ ๆ ซักสะอาดในลำธารใสไหลแรง แล้วตากผึ่งแผ่บนโขดหิน นอนเหยียดยาวข้าง ๆ อาบร่างในแสงแดดเช้า...


ในเมืองหรือที่ไหน หัวใจฉันขัดขืนที่จะตกแต่งตัวเองให้เป็นอื่น เขียนคิ้ว ทาแก้ม สวมชุดออกประลองกับโลก เราก้าวออกจากที่พัก ขอบคุณสหายแสนดี สู่การพบปะนัดหมายในสถานฉากละครกำมะลอ ห้องนั่งเล่น สวน หรือห้องอาหารจำลอง ซึ่งผู้บริการยิ้มแย้มพินอบพิเทา ทุกสิ่งถูกจัดวางอย่างเหมาะสมสมมติ สอดรับกับเสื้อผ้า กิริยาพาทีสมมติ จากนั้น ควักกระเป๋า ชำระมูลค่าละครลิง


คนป่าประหลาดใจ
... แม้จะเป็นร้านกาแฟที่น่ารัก ดูดี มีรสนิยม และผ่อนคลายต้อนรับเพียงใด เขากลับไม่สะดวกใจที่จะกลมกลืนนั่งอยู่ แขนขาไม่อาจวางตามสบายเมื่อแปลกแยกกับสถานอุปโลกน์ ฝันอยากนั่งที่บ้าน หลังใดก็ได้ ซึ่งมีการอยู่อาศัยแท้จริงของมนุษย์ มีความคิด ความรู้สึก จิตใจ ความเคลื่อนไหวแห่งกิจวัตรประจำวัน ไม่ใช่สถานที่แยกขาด ชั่วคราว สำหรับจุดประสงค์ใดในช่วงเวลาหนึ่ง ร้านอาหารหรือร้านกาแฟที่สว่างไสวยามวัน แต่รกร้างเงียบงันในราตรี ผับหรือสุราสถานสลัวริบหรี่ มีเสน่ห์ลี้ลับในแสงไฟ ทว่า เหม็นอับหมักหมมด้วยอารมณ์ระบายหลังบานประตูปิดทึบ

คนเมืองพากันออกจากที่พัก พรูพรั่งออกมาพบกัน ณ ที่ซึ่งความจำเป็นบีบคั้น ร้านรวง ห้างสรรพสินค้า สถานที่สำหรับประกอบกิจต่าง ๆ เมืองซึ่งมีคนมากมาย และอึกทึกสรรพสำเนียง จนไม่มีใครสามารถอยู่เงียบ ๆ ตามลำพังได้ แม่ค้ารถเข็นบนทางเท้าเปิดโทรทัศน์ คนยามตามอาคาร อย่างน้อยเปิดวิทยุฟัง โทรทัศน์ เจ้าตัวหัวเหลี่ยมปากกว้างซึ่งผีทุนนิยมเจาะปากมาให้จ้อไม่ยอมหยุดถูกผู้คนยึดถือเป็นเพื่อน ครอบครัวทุ่งจรผ่านเมือง จากความเงียบสงัดของขุนเขา จากจำนวนคนผ่านตาไม่ถึงสิบคนต่อวัน สู่แหล่งชุมนุมของชีวิต เครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่องกำเนิดเสียงและไฟฟ้า พลันแก้วหูสั่นเทา ร้องอ้อนวอนว่า ... พาฉันไปจากที่นี่ที


สีเขียว คราม และน้ำเงินคล้ำใต้ร่มเงาเมฆบนเทือกทิวเขา นกร้องขานรับเวลา บ้านพื้นๆ ที่สร้างไม่แล้วเสร็จเงียบสงัด มีเพียงเสียงหึ่งๆ จากผึ้งคอมพิวเตอร์ คนบ้านนอกกลับมาและจมหายไป ในสีเขียวละลานตา ในจังหวะของสายฝน และเสียงนกที่ผุดคลอขึ้นเป็นครั้งคราว ความรู้สึกสับสนปนเปละลายลงในอากาศชื่นเย็นนุ่มนวล เรานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีร่องรอยหมาแทะ เก้าอี้ซึ่งนั่งประจำทุกวัน จิบกาแฟ กินข้าว อ่านหนังสือหรือถกเถียงสัพเพเหระ นกน้อยตัวหนึ่งผลุบพลัดมาเกาะขื่อคา มองขึ้นไป บ้านไม้ไร้เพดานทำให้เห็นโครงสร้างองค์ประกอบทั้งหมด มันดูลุ่นๆ เปลือยๆ ยังไม่ได้ทาสีหรือตกแต่ง กลางคืน ระหว่างไม้ฝากระดานแต่ละแผ่น มีแสงเดือนดาวลอดผ่าน บางวันสายฝนสาดซัดเข้ามา เบื้องนอกคือโลกธรรมชาติ เราลอยขึ้นจากผืนดินเพียงหน่อยหนึ่ง ด้านข้างมีฝากั้น เหนือหัวมีกระเบื้องลอนเก่า ๆ กั้นฟ้า ดูไม่มั่นคงปลอดภัยเช่นตึกรามหลังใหญ่ แต่จะต่างอันใดกับชีวิต มนุษย์
-หนังหุ้มเนื้อ เนื้อหุ้มกระดูก ...


ถอนออกจากความรู้สึก วิถีก็คือวิถี ชนบทหรือเมือง อาจไม่ดี
-เลว หรือต้องจำยอม ปล่อยให้เป็นไป ขึ้นกับผู้คน ว่าปรารถนาจะอาศัยอยู่ในโลกเช่นไร ...

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เมื่อคุณออกไป ทุกอย่างก็พังทลาย  ยินเสียงชายชรารำพึงในความเงียบ  ...ไปกันเถอะแพลทเทอโร นั่นไม่ใช่ที่สำหรับเรา *
รวิวาร
  มาพร้อมกับดีเปรสชั่น ซึ่งอ่อนแรงผันแปลงจากไต้ฝุ่น..น้ำฟ้า ซึ่งทำคุณบ้า เที่ยวสำรวจตรวจตราต้นไม้ ขุดหลุมลงต้นกล้ารุ่นสุดท้าย ความลุ่มหลงผูกพันต่อสิ่งที่ลงมือ ปลูก สอดส่องดูแล รดน้ำ ถอนหญ้า ใส่ปุ๋ย อาณาจักรหัวใจคุณขยายไปตามมุมสวน ลักษณาการของกิเลสแบบpassion แนบเนื่องและยึดติด คุณเฝ้ามองชีวิตแต่ละช่วง แต่ละขณะ เคลื่อนไปสู่จุดต่าง ๆ ตัวตนซึ่งเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นดินหลักแห่งอุปนิสัย แต่ละช่วงเวลา มันได้ใส่สิ่งใดลงไป คุณนั่นเองใส่รายละเอียดลงไป แม้บางครั้งไม่รู้เนื้อรู้ตัว คุณกลายเป็น กลายเป็น และกลายเป็น...สิ่งใหม่เรื่อย ๆ
รวิวาร
สมมติว่าแม่พูดอยู่กับลูก สมมติว่าลูกเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูด...   เช้าวันนี้ แม่รู้สึกเศร้าๆอยู่บ้าง แม่พลิกดูปฏิทินเมื่อสองสามวันก่อน บิลค่าไฟฟ้าใกล้จะมาแล้ว แม่เปิดกระเป๋าสตางค์ทุกใบในบ้าน เดินไปค้นกระป๋องคุ้กกี้ในห้องพี่เชน นับธนบัตรไม่กี่ใบที่มีอยู่ในกระเป๋าราวกับมันจะงอกเพิ่มขึ้นมา แม่ออกมามือเปล่า แหงนดูฟ้า ฝนยังทำท่าว่าจะตก
รวิวาร
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยผ่าน  สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่า ถูกแล้ว  เราต้องลับดวงตาให้แหลมคมสว่าง  ระมัดระวังอย่าสับสนกับถ้อยคำทั่วไป “ง่าย ๆ สบายๆ ไม่ซีเรียส”  ความโง่เขลามักง่ายมีโฉมหน้าคล้ายกันนี้
รวิวาร
ชีวิตเป็นเรื่องลึกซึ้ง อีกเพียง 2 ฤดูฝนฉันก็จะอายุสี่สิบแล้ว เมื่อวาน หัวใจยินดีที่ตระหนักขึ้นว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่มีความหมาย เมื่อคืนยังตั้งคำถาม ค้นลึกไปในพฤติกรรมของตน...
รวิวาร
ฉันมีภูเขาทั้งลูก จริงๆแล้วมากกว่านั้น จู่ๆฉันก็พบว่า แดดยามเช้าที่สดใสเป็นสีทองทำให้ริมฝีปากเผยอยิ้ม  เมื่อคืนเราพูดคุยกันบนที่นอน สมมติว่าถ้าฉันมั่งมีขึ้นมา ฉันจะมีความสุขมากกว่าตอนนี้ไหม  ฉันอยากจะได้อะไรบ้างหนอ ฉันซักไซ้ไถ่ถาม คอยกวนไม่ให้เขาหลับ นั่งพร่ำเพ้อ จินตนาการเล่นๆ และคอยเขย่าตัวเขาเรื่อยๆ เพื่อตรวจสอบว่าเขายังฟังฉันอยู่  เขาหลับๆตื่นๆแต่มีรอยยิ้มฉาบหน้า  เขาแค่งีบเล่นๆเท่านั้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาทำงานกลางดึก  ฉันพูดออกมาดังๆว่า ถ้าให้ไปอยู่ในสวนสวรรค์ของพระเจ้าแลกกับที่อยู่ตอนนี้จะเอาไหม  จากนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธตัวเองทันใด  ไม่เห็นสนุก…
รวิวาร
 เช้าจรดเย็นของเดือนสิงหา มีเสียงโป๊กเป๊กของลูกลำไยหล่นกระทบก้นถังไม่ขาด สวนนี้สวนนั้นทยอยกันเก็บ ที่กว้างมากก็จ้างคน  บ้างฮึดเหนื่อยเอง บางเจ้าคร้านจะลงทุนในเมื่อราคาทรุดฮวบ ถูกกว่าปีที่แล้วเท่าตัว ตัดสินใจขายเหมามันทั้งสวน
รวิวาร
  ความรักของแม่หวานจับใจดั่งน้ำอ้อยน้ำตาล วันเดือนปีล่วงผ่าน ลูกปรารถนาดื่มกินเสมอ...
รวิวาร
มันแน่อยู่แล้ว ที่คุณรู้สึกอึกอัก เก้อกระดากหากจะกล่าวถึงความจน บางครั้งคุณคิด การเขียนถึงชีวิตตัวเองนั้นช่างเปล่าเปลือย เชื้อเชิญผู้อื่นเปิดหม้อข้าว เข้ามาดูถึงในมุ้งเชียวหรือ มันเหมือนบอกเล่ากับคนอื่น ขณะเดียวกัน พูดคุยกับตัวเอง เมื่อคุณถ่ายเทความคิดผ่านอักษรปีแล้วเดือนเล่า คุณก็คุ้นเคยที่จะทำส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะ
รวิวาร
 ฤดูนี้เป็นฤดูตามหาดอกไม้ ฉันยอมรับกับตัวเองเมื่อสำรวจผืนดินแล้วพบว่า ที่หัวใจใฝ่หาคือมวลมาลีสวยสด มากยิ่งกว่าพืชผัก ผุดขึ้นก่อนปากท้องคืออาหารตาอาหารใจ เถอะน่า ติดตามหัวใจไป ใช่จะละทิ้งร่างกายเสียเมื่อไหร่ ผักบุ้งปลูกแล้ว รวมทั้งผักชี กุยช่าย แคต้น กะเพราขาว กระเพราแดง ผักชีฝรั่ง มะกรูด มะนาว แมงลัก ถั่วพูที่เพาะไว้ในกระถางแอบเลื้อยไว ๆ เมล็ดน้ำเต้าที่น้องสาวเก็บมาฝากจากสวนพันพรรณของพี่โจน จันใด แตกใบ แต่ตกเป็นอาหารหอยทาก
รวิวาร
 หนูมาเยือนในวสันตฤดู เช้านั้นโลกนุ่มนวล หมอกฝนแผ่ละอองไอชื้น ขาวๆนุ่มๆทั่วภูเขา วันคล้ายวันเกิดป้าผ่านไปเพียง 4 วัน แม่ของหนูก็ส่งข่าวมาบอก ได้ลูกสาวแล้ว ป้าพูดกับลุงว่า วันนี้ช่างเป็นวันดีเสียจริง มีเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งมาเยือนโลก คิดดูสิ เด็กทารกน้อยตัวแดงๆ นอนบริสุทธิ์อยู่บนเบาะ ป้าหลับตา เห็นหนูตัวเปล่งประกาย วิญญาณพรายพร่าง รอบเบาะนอน มีนางฟ้าแย้มยิ้ม เห่กล่อมเพลง เทวดาต้องยินดีแน่ๆที่มีดวงวิญญาณจุติในโลก เพราะว่าสถานที่นี้แสนงดงามและมีความหมายพิเศษ พระพุทธองค์บอกว่า โอกาสในการได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เหมือนเต่าตัวหนึ่งซึ่งนานนับกับกัลป์กว่าจะลอยคอขึ้นมาในมหาสมุทรสักครั้ง…
รวิวาร
  29 พฤษภาฯ 52ตุ่นน้อยลูกรักเช้าวันนี้ ฤดูฝนมาแล้ว อากาศเย็นสบาย ภูเขาของเราซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก ดูสิ แม้แต่ฤดูกาลเปลี่ยนแม่ก็อยากบอกลูก อยากคุยกับลูก ชี้ชวนกันดู ตอนเช้า แม่นั่งฟังเสียง ‘กะโล๊กโป๊ก' ที่เอามาจากมะขามป้อม ลูกจำได้ไหม วันของเล่นจาก "ลม" ไง ปิดเทอม ตอนที่ลูกอยู่ แม่ไม่ได้เอาขึ้นไปแขวน แต่ว่าวันก่อน น้ารจกับน้ากาน และน้องนานามา น้าเขาถามว่านี่อะไรดูเหมือนหน้าไม้ แม่ก็เลยถือโอกาสจัดแจงตามที่ค้างคาใจ แม่ถอดด้ามพัดไม้ไผ่ที่ซื้อมาจากคุณยายแก่ๆ หน้ากรุงเก่า อยุธยามาผูกห้อยแทนไม้ไผ่สานรับลม แล้วขอปะป๊าเอาขึ้นไปแขวนตรงเสาสำหรับเถาดอกสายน้ำผึ้ง ทีนี้มันดูโดดเด่นเห็นชัด เสียงดัง…