Skip to main content


ความรู้สึกหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ขับเคลื่อนเราอยู่ เหมือนสายโลหิตแห่งความปรารถนา
... เธอมา นั่งอยู่ตรงนี้ เขามาและจากไป คนกลุ่มใหญ่ผ่านมาแล้วผ่านไป จังหวะบรรเลงแตกต่าง นึกถึงสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ มันคืออะไรหนอ หลายคนเขียนหลายสิ่ง... สร้างงาน พวกเขาเรียกมันว่า การทำงาน แต่เธอ เธอไม่รู้เลยว่า วันแต่ละวัน เช้าแต่ละเช้า สิ่งซึ่งไหลเวียนอยู่ อึดอัด กระสับกระส่าย ดิ้นรนและปรารถนา หาหนทางหลั่งไหลนั้นคืออะไร เธอไม่รู้ เธอเฝ้าแต่รอคอย พล็อตต่าง ๆ มีอยู่ สมองไม่เคยหยุดเรียบเรียง วางแผนความคิด แต่แล้ว เจ้าสิ่งนั้น ที่บงการอยู่ข้างในไม่เคยเออออไปกับการกำหนดสั่งการ เธอพยายาม เงี่ยฟัง เจ้าเป็นอะไร ต้องการบอกสิ่งใดจงกล่าวมาเถิด ที่ว่างอันสงัดเงียบ แผ่ไพศาลยามเช้า ประตูที่เปิดแง้ม ๆ สายธารคำซึ่งผุดจากความรู้สึก โลกในจิตกอปรด้วยเรื่องราวดุจคลื่น หมุนม้วนสารพัดสิ่ง ปราศจากรูปร่างแน่ชัด


เธอจะมาไหมหรือไม่มา กาลเวลาคงอีกยาวนาน กว่าจะได้เห็นเธอนั่งอยู่ตรงนี้ เธออยู่ในที่ที่ผู้คนเดินเหินขวักไขว่ ทุกหนทุกแห่ง ผู้คนซึ่งมีจุดหมายที่ตนมุ่งไป จุดหมายสั้นๆ อันกำกับด้วยจุดหมายใหญ่ในช่วงระยะเวลายืดยาว มันจะทำให้เราต้องรอคอยครึ่งชีวิตไหมกว่าจะได้พบกัน ปริญญาโท ปริญญาเอก ชีวิตซึ่งคนเราเพียรสร้างให้เป็นรูปเป็นร่าง ให้เป็นที่ยอมรับ ให้บังเกิดความหมายและคุณค่า มิใช่ลมเรื่อยอีกต่อไปแล้ว ไม่มีเวลาสำหรับทอดน่องเรื่อยเปื่อย นั่งเล่นปล่อยใจใต้ร่มไม้ให้ชีวิตพลิ้วผ่านหน้า เราลุกออกจากความไม่รู้ ความไม่ใส่ใจที่จะรับรู้ ความโง่เขลาไร้สาระอันแสนสุข


ในนั้นมีคนอยู่มากเหลือเกิน นาครคลาคล่ำ หลับฝัน
..แม้แต่ความฝันยังถูกรบกวน ล่องลอยมาจากเตียงที่อยู่ในห้องถัดไป ล่องลอยมาจากตึกตรงข้าม อีกฟากหนึ่งของถนน จากความคิดสารพัดที่พ่นกระจายในจอโทรทัศน์ หนังสือหรือคอมพิวเตอร์ เพื่อนของฉัน เธอได้หลับพักผ่อนคลายไหม...


จังหวะที่ผู้คนนำมาแสดงแทบบาทคีรีนี้มีความไม่ราบรื่น มันสะดุดขลุกขลักอยู่ แต่เราก็ร่วมบรรเลงไป เราร้องเราเล่น แสดงเพียงชั่วคืน บางเพลงล่ม บางคน เรารู้ว่าตลอดชีวิตก็คงยากจะกลมกลืนประสาน
... ขณะฉันเฝ้าคอยบทเพลงของเธอ บทเพลงที่ก้องกังวานจากป่าลึก กระซิบแผ่วจากลำธาร เธอคือความทรงจำถึงมวลดอกไม้สีขาว ซึ่งพ่ายต่อเสียงอึกทึก อับเฉาจากจังหวะร้อนรน สนิทเสน่หาก็แต่ความมืดความเงียบ แสงรำไรและลมโรยรื่น เธอไม่เหมือนใคร ฉันกล่าว ก็ฉันรู้จักเธอมาทั้งชีวิต ฉันเอ่ยอ้าง เธอขัดขืนด้วยไม่ปรารถนาแตกต่าง ไม่ยอมรับด้วยไม่อยากรู้สึกดีงามสูงส่ง แต่เธอก็คือเธออยู่ดี เป็นไปตามธรรมชาตินั้น


ขอฉันเพียงสดับเสียงแห่งเธอ วิมาดา ศิริมายา บุปผาศิลป์

ขอฉันเพียงเห็นวงหน้าเธอ จับจ้องดวงตาสีดำสนิทกลอกกลิ้ง
ขอเพียงเสียงจำนรรจ์สุกใสของเธอ อาบหัวใจชื่นชุ่ม
ให้ความคิดทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวกับตัวฉันหยุดลง
ฉันจะเงียบเสียงของฉัน เพื่อทิ้งร่วงลงในเธอ
สดับฟังเสียงกรุ๋งกริ๋งแห่งถ้อยวจี เหนือพ้นเรื่องราวบอกกล่าว
เรื่องราวพื้น ๆ ของโลก …
ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง เจ็บป่วยอ่อนล้า หรือภาระหนักอึ้งบนบ่า
ปล่อยให้มันไหลละลายลงในท้องทะเลใจฉัน
ทุกชายฝั่งและหาดทรายเปิดกว้าง รอเธอไหลริน
หลั่งรินชีวิตของเธอมา
หัวใจฉันกลายเป็นถ้วยว่างเปล่า เมื่อเธออยู่ตรงหน้า
ขอเพียงได้ยินเสียง ขอเพียงเธอมาอยู่ตรงหน้า

..............


เธอคนหนึ่งมาและนั่งอยู่บนเบาะซึ่งคลุมด้วยผ้าผืนงามจากเธอเอง วางมือสีขาวลงบนโต๊ะที่คลุมด้วยผ้าผืนงามของเธออีกนั่นแหละ และเหลือบดูแจกันเถาวัลย์ดอกไม้ป่าสีเหลืองที่เธอเป็นคนจัด ส่วนเขามาและจากไป ทิ้งรอยมิตรภาพอุ่นอวล แต่เธอน่ะยังไม่เคยมาที่นี่เลยนะ ศรีมาลา ดอกไม้ทุกต้น บ้านและหลังคา ค่ำคืนพรายดาว ฟ้ากว้างและขุนเขาใหญ่ มีหลายอย่างมากมายรอคอยที่จะมอบกำนัล ไม่คิดเลยว่าความปรารถนาเล็ก ๆ ของฉันจะต้องรอคอยนานยาวเพียงนี้ ที่เป็นอยู่นี้ไม่ถึงกับคร่ำครวญหาด้วยความทุกข์ทรมานหรอก ยังคงเชื่อมั่นในหัวใจเธอไม่เปลี่ยนแปลง ชีวิตจริงในโลกทำให้การเคลื่อนย้ายกลายเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส ฝากสายลมมาใช่หรือไม่ในความระลึกถึง ฉันเองฝากสายฝนเสมอไปในความห่วงหา ทว่า สรรพสิ่งที่รอท่าอยู่นี้ จะไหลแผ่ถึงเธอได้ก็ต่อเมื่อเธอมานั่งอยู่ตรงนี้


เราร่ำดื่มแทบทุกครั้งเมื่อพบปะมิตรสหาย มันทำให้การบรรเลงสอดคล้อง เข้าจังหวะมากขึ้น ฉันไม่รู้เหมือนกันว่า หากไม่มีมันฉันจะปล่อยตัวปล่อยใจไหลเลื่อนสอดคล้องกับใคร ๆ อย่างไร ในยามที่ต้องร้องและเล่นพร้อมกันไป หากไม่พบท่วงทำนองที่ลงตัวตนได้ บทเพลงนั้นไม่เพราะพริ้งนัก เพื่อนรัก ฉันยังคงเป็นคนเดิมอยู่ในบางส่วนเสี้ยว เปิดหัวใจ แต่เหมือนตัวตนยากเข็ญ เหลี่ยมมุมลับเร้นของฉันยากจะประสานกับใครได้สนิท แต่เดี๋ยวนี้ ฉันจัดการได้ดีกว่าเมื่อก่อนนะอัฐมา จัดการให้ตัวเองไม่สนใจกับความรู้สึกอึดอัด และช่องว่างที่จู่ ๆ ความเงียบก็แทรกตัวเข้ามาฉับพลัน ฉันปล่อยให้มันดำเนินไปตามแต่มันจะเป็น และบางครั้งก็ลืมมันเสียได้


รู้ เราพบพานผู้คนมากหน้าหลายตา ฉันเพียงคิดถึงเธอเท่านั้น คิดถึงเช่นที่เคยเป็นตลอดมา เพื่อนพิเศษของฉัน คนที่ผู้คนไม่เชื่อว่าเราสนิทสนมคบหากัน ก็เขาว่าฉันเป็นดวงอาทิตย์ร้อนแรง ส่วนเธอคือจันทร์นวลเยือกเย็น ฉันปรูดปราดรีบรี่ แต่เธออ้อยอิ่งรีรอ


ลมฤดูหนาวพัดพามวลมิตรมายังภูเขา แต่ลึก ๆ ในใจ ฉันรอใครคนหนึ่ง เพื่อนหญิงผู้มีหัวใจงาม ฉันเฝ้าคอย ให้เธอมีเวลาว่างมากพอที่จะมาเยี่ยมฉัน
....

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท