Skip to main content

เด็ก ๆ คือคนตัวเล็กที่แสนงาม ในบรรดาผู้มาเยือน เด็กน้อย สาม สี่ ห้าหรือหกขวบ คือแขกที่ทำให้ผู้เหย้าอย่างเราสดใส มีความสุข เราไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นลุงป้าตายายที่เฝ้าจดจ่อรอคอยการมาเยือนของลูกหลานเสียแล้ว

หนูมายาเพิ่งมาและกลับไป หนูนานาเข้าโรงเรียนแล้ว แต่อีกไม่นานพ่อกับแม่ของเธอก็จะมาเยี่ยมเยือน แล้วเมื่อปีใหม่มาถึง หนุ่มน้อยพีพี หลานน้อยตัวขาวแก้มยุ้ยก็จะมาหา เดาได้เลย เขาต้องพาน้องกุ๊กกิ๊ก ตุ๊กตาแมวน้ำตัวเก่าขะมอมขะแมมมาด้วย น้องกุ๊กกิ๊กที่เปื้อนน้ำลาย และเจ้าของเที่ยวยื่นไปชิดจมูกใคร ๆ พร้อมกับคำยืนยันจากปากแดงย้อยว่า ‘หอมนะ ๆ หอมไหมล่ะ?’

 


ฉันปูฟูกเล็ก ๆ ให้มายานอนดูดนม ดูการ์ตูนเรื่องหมีพูห์เพื่อนรักที่เธอพกติดมา เมื่อล้มตัวลงเอนหลังใกล้ ๆ เธอก็หันมาถามว่า ‘ป้าจะนอน มีผ้านุ่ม ๆ หรือยัง
? ขวดนมมายาไม่แบ่งนะ’ ว่าแล้ว เธอก็กำผ้าขนหนูสีเหลืองของตัวไว้แนบอก มืออีกข้างประคองขวดนม หูเงี่ยฟังเสียงพูห์ พิกเลต อียอร์และเพื่อนพ้อง โลกในการ์ตูนสวยสดใส เหมือนมีแสงแดดส่องฉายอยู่เสมอ ตัวการ์ตูนพูดกันเหมือนบทเพลงเริงร่า ทว่า ประเดี๋ยวหนึ่ง แม่หนูก็ทิ้งโทรทัศน์ ขอคุณพ่อออกไปตามหาป่าร้อยเอเคอร์ เราสองคนถามว่า ดงดอกหญ้าหลังบ้านพอจะเป็นป่าร้อยเอเคอร์ได้ไหม เธอทำสีหน้าลังเลใจ


น่าเสียดายที่คราวนี้มายาไม่เจอนานา หนูนานาอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่งแล้ว แต่ยังพูดไม่ชัดเหมือนเดิม แต่เสียงหงุงหงิงฟังไม่เป็นถ้อยเป็นคำนั้นน่ารัก ทำให้ใจเราอ่อนยวบทุกครั้ง แต่ละคราวที่พบกัน คุณพ่อคุณแม่ของเธอกับเราตั้งหน้าตั้งตาพูดคุยข้ามวันข้ามคืนราวกับหิวกระหายนานปี นานางอนป่อง ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ออกมายืนจังก้าหน้าเรือน ‘มาเล่นกับนานาเดี๋ยวนี้! นานาไม่มีเพื่อนเล่นเลย’ โถ ก็รอให้ถึงวันหยุดก่อนสิ พวกพี่ ๆ ถึงจะมาเล่นกับน้องได้


ก่อนสิ้นปี คุณลุงผมยาวขมีขมันปักเสาทำชิงช้า เพราะคุณป้าคิดการณ์ใหญ่ จะให้ชิงช้าเด่นสง่ากลางลาน เวลาหลานแกว่งไกว เท้าจะลอยสูงขึ้นไปแตะก้อนเมฆ สูงเทียมดอย มีชิงช้าอีกอันแทนที่นั่งผู้ใหญ่ด้วย แต่โยกโยนได้ไม่ไกล แค่แกว่งไปมาเหมือนเก้าอี้โยกเท่านั้น

 


ยังมีน้องธันว์กับมาคุนที่คุณพ่อวางแผนจะพามานอนเต็นท์ คนหลังเริ่มเป็นหนุ่มน้อยแล้ว แต่เรายังพอคุยกันได้ แม้เขาจะอาย ไม่อยากให้กอด ฉันชอบกอดพวกเทวดาน้อยบอกไม่ถูก หนู ๆ ทั้งหลายต่างตกเป็นเหยื่อ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมถึงกอดไม่อิ่มสักที อยากอยู่ใกล้ ๆ นั่งฟังเขาคุย จับมือน้อย ๆ แตะผิวนุ่ม ๆ จ้องมองดวงตา หนูมายาตาเหมือนกระจก มองมาตรง ๆ ไม่เคลือบแคลงแสร้งเส ทำเรารู้สึกว่า ต่อหน้าเธอ ไม่สามารถโกหกได้เลย ส่วนหนูนานาต้องฟังเธอคุย คอยชวนเล่นและสังเกตอารมณ์ เธอเป็นเด็กเฮี้ยวหน่อย ๆ เคยงอนแม่ ไม่ยอมกินข้าว ‘ไม่กิน! นานาไม่สนใจแม่หรอก ทีพ่อกับแม่ยังเอาแต่คุย ไม่เห็นสนใจนานาเลย’

พีพี หลานรักนั้นต้องให้เวลาเรื่องการแปลกที่ พอตะวันลับเหลี่ยมเขาก็ร้องบอกแม่ กลับบ้านกันเถอะ จะดุหรือเอ็ดแรงนักก็ไม่ได้ เขาจะตกใจ ร้องไห้สะอื้นฮัก ๆ เพราะชอบให้ป้ารัก พูดเพราะ ๆ กล่อมจิตใจ


ฉันนั้นเล่นกับเด็กโตไม่ใคร่จะเป็น รู้สึกแปลก ๆ ขัดเขิน ไม่มั่นใจ มีแต่อยู่กับพวกตัวน้อยเท่านั้นที่รู้สึกว่า สัมผัสกันได้ เวลาคุยก็แอบสังเกตสีหน้า คำพูดคำจาไป โลกในสมองน้อย ๆ ช่างน่าฉงน หลายคำตอบนั้นคาดไม่ถึง หลายสิ่งกลับหัวกลับหาง เต็มไปด้วยสีสัน สายรุ้ง และสิ่งเป็นไปไม่ได้ มหัศจรรย์พันลึก


 


เด็กน้อยของฉันเฝ้ามองดอย จนเราชวนกันแต่งนิทาน เธอเล่าว่า วันหนึ่งดอยหลวงคิดถึงดอยน้อยเทือกถัดไป มันไม่ได้คุยกันมานาน ได้แต่นิ่งมองกันอยู่ไกล ๆ ก็เลยตัดสินใจลุกขึ้น เดินไปเยี่ยมดอยน้อย ฉันถามแทรกสงสัย แล้วพวกสิงห์สาราสัตว์ทำยังไง มันตกใจไหมที่อยู่ ๆ ป่าเขาก็โยกเยกสะเทือน เด็กน้อยบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก เพราะดอยมันใจดี ทะนุถนอมสัตว์ป่า มันค่อย ๆ เดินน่ะแม่’ ส่วนพี่สาวเข้ามาเผยความจริงว่า เมื่อก่อนตอนเล่นตุ๊กตา อยู่ ๆ เธอก็จะวิ่งพรวดพราดออกไปนอกบ้าน แล้วค่อย ๆ ย่องย้อนกลับมาแอบดูทางหน้าต่าง เธออยากรู้ว่า ตุ๊กตาคุยอะไรกัน ก็พวกตุ๊กตาน่ะ มีชีวิต เคลื่อนไหว ตอนมนุษย์ไม่อยู่นี่นา


อยู่กับเด็ก ๆ นั้นสดชื่นเสียจริง อ้อมกอดที่มีเด็ก ๆ อยู่นั้นอบอุ่น บริสุทธิ์ เมื่อเขาเปิดหัวใจ สัมผัสความรักใคร่เอ็นดูจากเรา ริมฝีปากของเขาจะเปิด รินถ้อยคำพูดจ้อฉอเลาะ อุ้งมือก็จะแบ คลายออกมาให้เราจับจูง เขาจะยอมให้เรากอด และอ้าแขนน้อย ๆ โอบรัดเรา แต่หากวันไหนเขาถึงกับหอมแก้มแล้วล่ะก็ เราจะตัวลอยเหมือนฝัน เหมือนเป็นรางวัล เหมือนปีกแตะแผ่วของทูตสวรรค์


หลายคนกำลังเติบโตเป็นหนุ่มน้อย สาวน้อย พูดจาสุภาพ เว้นระยะห่าง แปลกไป หวังไว้ว่า เราจะไม่ลืมวันที่อยู่ในอ้อมกอดกัน วันที่ป้าหรืออาคนนี้อาบน้ำ ป้อนข้าวให้เจ้า สายสัมพันธ์จะยังทอดยาวต่อไป


ไม่นานมานี้ ฉันค้นพบเมฆบางแรเงาเป็นสายฝนชื่นฉ่ำ หมู่เมฆแห่งเยาว์วัยที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจ วันพลัดหลงกับครอบครัวในคืนเทศกาลเดือนสิบสอง ฉันกลายเป็นเด็กหญิงคนเก่า นั่งห้อยขาบนกำแพง ตื่นเต้นดูขบวนแห่ ออกเดินเตร็ดเตร่ในงานซอกแซกตามอำเภอใจ ไม่เป็นที่สังเกตของใคร เด็ก ๆ เดินตามตรอกซอกซอยในหมู่บ้าน ไม่มีใครถามไถ่ พวกเขาอาจไปเที่ยวเล่น หรือมีจุดหมายอันสนุกสุขสันต์ เด็กในหมู่บ้านที่อิสระเสรีเหมือนหมาจร


วันฝนตกพรำ เรานั่งอาบน้ำที่ตุ่มนอกชาน นึกสนุกอยากเล่นน้ำฝน นั่นนานแค่ไหนแล้ว เด็ก ๆ ไม่กลัวเปียกฝน ไม่กลัวเป็นหวัด เม็ดฝนตกกระทบตามตัว เย็นชื่น จั๊กจี๊ ตก กลางคืนเราก่อกองไฟ หอบหญ้าแห้งฟ่อนใหญ่ลงโปรย เปลวไฟสีส้มลุกช่วง เห็นกนกไฟชัดแจ้ง เราตื่นเต้น ลุกร้องลิงโลด เด็กน้อยของฉันนำแท่งไม้ยาวมาจ่อ เก็บกักไฟไว้ที่ปลายไม้ ถือวิ่งไปมา ... หนูมีดวงไฟเป็นของตัวเอง


เยาว์วัยค่อย ๆ กลับคืน ฉันเพรียกหา หรือเยาว์ที่หลับใหลอยู่ข้างใต้ฟื้นตื่น... คืนกลับสู่แสงเรืองรองของโลกแสนสนุก ทุกสิ่งทุกอย่างช่างน่าตื่นตาตื่นใจ เราจะอยู่ร่วมกันใช่ไหม ผู้ใหญ่ที่เคร่งเครียดจริงจังกับเด็กที่สนุกซุกซนในคน ๆ เดียวกัน...


มายา พีพี นานา ขอบใจนะจ๊ะ คิดถึงนาตาชากับเพียงออด้วย หนูแก้มแสนเรียบร้อยกับพี่มาคุนผู้มาส่งเสียงหัวเราะ ลูกจัน น้องภู กริชธีร์และธีร์มา เสียดาย เราอยู่ไกลกันไปหน่อย เลยไม่ค่อยได้พบกัน ข้างใน ป้ายังเป็นป้า วัยเด็กไม่ฟื้นคืนทั้งหมด ได้อาศัยพวกหนูมอบความชุ่มชื่นคืนสุข และช่วยย้ำเตือนว่า โลกนี้ไม่ใช่อะไรหนักหนา ใครว่ามีแต่โศกนาฎกรรม มันคือสถานที่อัศจรรย์ มีทุกสิ่งพร้อมมูล รอคอยให้เราเสกสร้าง รังสรรค์ ... ไม่เชื่อก็ลองจ้องมองนัยน์ตาเด็กน้อยดูสิจ๊ะ


 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง