Skip to main content

เด็ก ๆ คือคนตัวเล็กที่แสนงาม ในบรรดาผู้มาเยือน เด็กน้อย สาม สี่ ห้าหรือหกขวบ คือแขกที่ทำให้ผู้เหย้าอย่างเราสดใส มีความสุข เราไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นลุงป้าตายายที่เฝ้าจดจ่อรอคอยการมาเยือนของลูกหลานเสียแล้ว

หนูมายาเพิ่งมาและกลับไป หนูนานาเข้าโรงเรียนแล้ว แต่อีกไม่นานพ่อกับแม่ของเธอก็จะมาเยี่ยมเยือน แล้วเมื่อปีใหม่มาถึง หนุ่มน้อยพีพี หลานน้อยตัวขาวแก้มยุ้ยก็จะมาหา เดาได้เลย เขาต้องพาน้องกุ๊กกิ๊ก ตุ๊กตาแมวน้ำตัวเก่าขะมอมขะแมมมาด้วย น้องกุ๊กกิ๊กที่เปื้อนน้ำลาย และเจ้าของเที่ยวยื่นไปชิดจมูกใคร ๆ พร้อมกับคำยืนยันจากปากแดงย้อยว่า ‘หอมนะ ๆ หอมไหมล่ะ?’

 


ฉันปูฟูกเล็ก ๆ ให้มายานอนดูดนม ดูการ์ตูนเรื่องหมีพูห์เพื่อนรักที่เธอพกติดมา เมื่อล้มตัวลงเอนหลังใกล้ ๆ เธอก็หันมาถามว่า ‘ป้าจะนอน มีผ้านุ่ม ๆ หรือยัง
? ขวดนมมายาไม่แบ่งนะ’ ว่าแล้ว เธอก็กำผ้าขนหนูสีเหลืองของตัวไว้แนบอก มืออีกข้างประคองขวดนม หูเงี่ยฟังเสียงพูห์ พิกเลต อียอร์และเพื่อนพ้อง โลกในการ์ตูนสวยสดใส เหมือนมีแสงแดดส่องฉายอยู่เสมอ ตัวการ์ตูนพูดกันเหมือนบทเพลงเริงร่า ทว่า ประเดี๋ยวหนึ่ง แม่หนูก็ทิ้งโทรทัศน์ ขอคุณพ่อออกไปตามหาป่าร้อยเอเคอร์ เราสองคนถามว่า ดงดอกหญ้าหลังบ้านพอจะเป็นป่าร้อยเอเคอร์ได้ไหม เธอทำสีหน้าลังเลใจ


น่าเสียดายที่คราวนี้มายาไม่เจอนานา หนูนานาอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่งแล้ว แต่ยังพูดไม่ชัดเหมือนเดิม แต่เสียงหงุงหงิงฟังไม่เป็นถ้อยเป็นคำนั้นน่ารัก ทำให้ใจเราอ่อนยวบทุกครั้ง แต่ละคราวที่พบกัน คุณพ่อคุณแม่ของเธอกับเราตั้งหน้าตั้งตาพูดคุยข้ามวันข้ามคืนราวกับหิวกระหายนานปี นานางอนป่อง ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ออกมายืนจังก้าหน้าเรือน ‘มาเล่นกับนานาเดี๋ยวนี้! นานาไม่มีเพื่อนเล่นเลย’ โถ ก็รอให้ถึงวันหยุดก่อนสิ พวกพี่ ๆ ถึงจะมาเล่นกับน้องได้


ก่อนสิ้นปี คุณลุงผมยาวขมีขมันปักเสาทำชิงช้า เพราะคุณป้าคิดการณ์ใหญ่ จะให้ชิงช้าเด่นสง่ากลางลาน เวลาหลานแกว่งไกว เท้าจะลอยสูงขึ้นไปแตะก้อนเมฆ สูงเทียมดอย มีชิงช้าอีกอันแทนที่นั่งผู้ใหญ่ด้วย แต่โยกโยนได้ไม่ไกล แค่แกว่งไปมาเหมือนเก้าอี้โยกเท่านั้น

 


ยังมีน้องธันว์กับมาคุนที่คุณพ่อวางแผนจะพามานอนเต็นท์ คนหลังเริ่มเป็นหนุ่มน้อยแล้ว แต่เรายังพอคุยกันได้ แม้เขาจะอาย ไม่อยากให้กอด ฉันชอบกอดพวกเทวดาน้อยบอกไม่ถูก หนู ๆ ทั้งหลายต่างตกเป็นเหยื่อ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมถึงกอดไม่อิ่มสักที อยากอยู่ใกล้ ๆ นั่งฟังเขาคุย จับมือน้อย ๆ แตะผิวนุ่ม ๆ จ้องมองดวงตา หนูมายาตาเหมือนกระจก มองมาตรง ๆ ไม่เคลือบแคลงแสร้งเส ทำเรารู้สึกว่า ต่อหน้าเธอ ไม่สามารถโกหกได้เลย ส่วนหนูนานาต้องฟังเธอคุย คอยชวนเล่นและสังเกตอารมณ์ เธอเป็นเด็กเฮี้ยวหน่อย ๆ เคยงอนแม่ ไม่ยอมกินข้าว ‘ไม่กิน! นานาไม่สนใจแม่หรอก ทีพ่อกับแม่ยังเอาแต่คุย ไม่เห็นสนใจนานาเลย’

พีพี หลานรักนั้นต้องให้เวลาเรื่องการแปลกที่ พอตะวันลับเหลี่ยมเขาก็ร้องบอกแม่ กลับบ้านกันเถอะ จะดุหรือเอ็ดแรงนักก็ไม่ได้ เขาจะตกใจ ร้องไห้สะอื้นฮัก ๆ เพราะชอบให้ป้ารัก พูดเพราะ ๆ กล่อมจิตใจ


ฉันนั้นเล่นกับเด็กโตไม่ใคร่จะเป็น รู้สึกแปลก ๆ ขัดเขิน ไม่มั่นใจ มีแต่อยู่กับพวกตัวน้อยเท่านั้นที่รู้สึกว่า สัมผัสกันได้ เวลาคุยก็แอบสังเกตสีหน้า คำพูดคำจาไป โลกในสมองน้อย ๆ ช่างน่าฉงน หลายคำตอบนั้นคาดไม่ถึง หลายสิ่งกลับหัวกลับหาง เต็มไปด้วยสีสัน สายรุ้ง และสิ่งเป็นไปไม่ได้ มหัศจรรย์พันลึก


 


เด็กน้อยของฉันเฝ้ามองดอย จนเราชวนกันแต่งนิทาน เธอเล่าว่า วันหนึ่งดอยหลวงคิดถึงดอยน้อยเทือกถัดไป มันไม่ได้คุยกันมานาน ได้แต่นิ่งมองกันอยู่ไกล ๆ ก็เลยตัดสินใจลุกขึ้น เดินไปเยี่ยมดอยน้อย ฉันถามแทรกสงสัย แล้วพวกสิงห์สาราสัตว์ทำยังไง มันตกใจไหมที่อยู่ ๆ ป่าเขาก็โยกเยกสะเทือน เด็กน้อยบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก เพราะดอยมันใจดี ทะนุถนอมสัตว์ป่า มันค่อย ๆ เดินน่ะแม่’ ส่วนพี่สาวเข้ามาเผยความจริงว่า เมื่อก่อนตอนเล่นตุ๊กตา อยู่ ๆ เธอก็จะวิ่งพรวดพราดออกไปนอกบ้าน แล้วค่อย ๆ ย่องย้อนกลับมาแอบดูทางหน้าต่าง เธออยากรู้ว่า ตุ๊กตาคุยอะไรกัน ก็พวกตุ๊กตาน่ะ มีชีวิต เคลื่อนไหว ตอนมนุษย์ไม่อยู่นี่นา


อยู่กับเด็ก ๆ นั้นสดชื่นเสียจริง อ้อมกอดที่มีเด็ก ๆ อยู่นั้นอบอุ่น บริสุทธิ์ เมื่อเขาเปิดหัวใจ สัมผัสความรักใคร่เอ็นดูจากเรา ริมฝีปากของเขาจะเปิด รินถ้อยคำพูดจ้อฉอเลาะ อุ้งมือก็จะแบ คลายออกมาให้เราจับจูง เขาจะยอมให้เรากอด และอ้าแขนน้อย ๆ โอบรัดเรา แต่หากวันไหนเขาถึงกับหอมแก้มแล้วล่ะก็ เราจะตัวลอยเหมือนฝัน เหมือนเป็นรางวัล เหมือนปีกแตะแผ่วของทูตสวรรค์


หลายคนกำลังเติบโตเป็นหนุ่มน้อย สาวน้อย พูดจาสุภาพ เว้นระยะห่าง แปลกไป หวังไว้ว่า เราจะไม่ลืมวันที่อยู่ในอ้อมกอดกัน วันที่ป้าหรืออาคนนี้อาบน้ำ ป้อนข้าวให้เจ้า สายสัมพันธ์จะยังทอดยาวต่อไป


ไม่นานมานี้ ฉันค้นพบเมฆบางแรเงาเป็นสายฝนชื่นฉ่ำ หมู่เมฆแห่งเยาว์วัยที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจ วันพลัดหลงกับครอบครัวในคืนเทศกาลเดือนสิบสอง ฉันกลายเป็นเด็กหญิงคนเก่า นั่งห้อยขาบนกำแพง ตื่นเต้นดูขบวนแห่ ออกเดินเตร็ดเตร่ในงานซอกแซกตามอำเภอใจ ไม่เป็นที่สังเกตของใคร เด็ก ๆ เดินตามตรอกซอกซอยในหมู่บ้าน ไม่มีใครถามไถ่ พวกเขาอาจไปเที่ยวเล่น หรือมีจุดหมายอันสนุกสุขสันต์ เด็กในหมู่บ้านที่อิสระเสรีเหมือนหมาจร


วันฝนตกพรำ เรานั่งอาบน้ำที่ตุ่มนอกชาน นึกสนุกอยากเล่นน้ำฝน นั่นนานแค่ไหนแล้ว เด็ก ๆ ไม่กลัวเปียกฝน ไม่กลัวเป็นหวัด เม็ดฝนตกกระทบตามตัว เย็นชื่น จั๊กจี๊ ตก กลางคืนเราก่อกองไฟ หอบหญ้าแห้งฟ่อนใหญ่ลงโปรย เปลวไฟสีส้มลุกช่วง เห็นกนกไฟชัดแจ้ง เราตื่นเต้น ลุกร้องลิงโลด เด็กน้อยของฉันนำแท่งไม้ยาวมาจ่อ เก็บกักไฟไว้ที่ปลายไม้ ถือวิ่งไปมา ... หนูมีดวงไฟเป็นของตัวเอง


เยาว์วัยค่อย ๆ กลับคืน ฉันเพรียกหา หรือเยาว์ที่หลับใหลอยู่ข้างใต้ฟื้นตื่น... คืนกลับสู่แสงเรืองรองของโลกแสนสนุก ทุกสิ่งทุกอย่างช่างน่าตื่นตาตื่นใจ เราจะอยู่ร่วมกันใช่ไหม ผู้ใหญ่ที่เคร่งเครียดจริงจังกับเด็กที่สนุกซุกซนในคน ๆ เดียวกัน...


มายา พีพี นานา ขอบใจนะจ๊ะ คิดถึงนาตาชากับเพียงออด้วย หนูแก้มแสนเรียบร้อยกับพี่มาคุนผู้มาส่งเสียงหัวเราะ ลูกจัน น้องภู กริชธีร์และธีร์มา เสียดาย เราอยู่ไกลกันไปหน่อย เลยไม่ค่อยได้พบกัน ข้างใน ป้ายังเป็นป้า วัยเด็กไม่ฟื้นคืนทั้งหมด ได้อาศัยพวกหนูมอบความชุ่มชื่นคืนสุข และช่วยย้ำเตือนว่า โลกนี้ไม่ใช่อะไรหนักหนา ใครว่ามีแต่โศกนาฎกรรม มันคือสถานที่อัศจรรย์ มีทุกสิ่งพร้อมมูล รอคอยให้เราเสกสร้าง รังสรรค์ ... ไม่เชื่อก็ลองจ้องมองนัยน์ตาเด็กน้อยดูสิจ๊ะ


 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
“ตื่นมาทุกเช้า อย่าลืมทำดีให้ตัวเอง”  ประโยคนี้นึกขึ้นเมื่อสาย  ยังดีเป็นสายที่มีแดดส่อง  ไม่ใช่สายเกินไป  สายเกินการณ์......“เขียนหนังสือ”  เขียนทุกวันไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ยากเนื่องจากเรารู้ และคิดหัวข้อเรื่องไว้มากมาย  แต่ที่ไม่ง่ายคือ  แรงบันดาลใจสดใหม่ขณะเขียนสำหรับฉันแล้ว “แรงบันดาลใจ”  คือความรู้สึกล้นปรี่ที่ขับความปรารถนา  ความสุข และความกระหายภายในพรั่งพรูออกมาเป็นตัวอักษร  ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกของความสุขหรรษา และการสร้างสรรค์อันเบิกบาน  วันใดที่เริ่มต้นยามเช้าด้วยความขุ่นข้องหมองจิต …
รวิวาร
มีตาน้ำในตัวฉันไหม ผุดพุ่งเป็นตัวอักษร  สายน้ำน้อยๆที่ใสสะอาด ดื่มกินได้  ชะล้างร่างกายและจิตวิญญาณ  ลำธารที่ไม่มีวันหมดสิ้น  ซับน้ำริน ๆ ที่มองไม่เห็น  ซึ่งผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรชีวิตใต้พื้นพิภพ ............
รวิวาร
เธอบอกให้ฉันเขียนถึงความรื่นรมย์  ฉันกล่าวตอบเธอในใจ“ความรื่นรมย์ที่ขมขื่นจะเอาไหม?”   ความจริง ฉันมีความรื่นรมย์ที่เผาไหม้ สนุกสนานสำราญใจที่ถูกแผดเผา  .........................................................................
รวิวาร
...ไม่กี่วันมานี้พบว่า การอาศัยอยู่ที่นี่เหมาะแก่การอ่าน วอลเดน* อย่างยิ่ง มีสิ่งร่วมในความคิดและประสบการณ์หลายอย่างบรรจุอยู่ในหนังสือเล่มที่เคยอ่านมาเนิ่นนาน ข้ามผ่านกาลเวลานับร้อย ๆ ปี ไม่น่าเชื่อเลยว่า บันทึกการใช้ชีวิตอย่างสมถะริมบึงชายป่าของธอโรจะหวนกลับมาสัมผัสใจ ทั้งที่ต่างยุคห่างสมัย......................................................... ฟ้าเย็นวานกว้างใหญ่ไพศาล แถบแสงจากดวงตะวันหลังเขาระบายเมฆเป็นขีดสีชมพูยาว ลูกสาวคนโตเมียงมองจากอ่างล้างจาน ร้องเรียกแม่ให้รีบมาดูก่อนเลือนหาย โลกเบื้องบนเปลี่ยนสีไปทีละน้อย ความมืดเติมส่วนผสมลงไป แปรเปลี่ยนสีสันของฟากฟ้า ค่อย ๆ เจือจาง…
รวิวาร
เรามาอยู่ที่นี่ใช่โดยน้ำพักน้ำแรงเราลำพัง  กว่าจะปลูกสร้างกระต๊อบได้ทั้งหลัง  อาศัยน้ำจิตน้ำใจและการหยิบยื่นไมตรีจากหลายชีวิตขอขอบคุณคุณแม่ของเราทั้งสองที่เลี้ยงดูเรามา ให้ได้รับการศึกษาอย่างดี  จากสถาบันที่มีเนื้อหา มีทรัพยากรและประวัติศาสตร์ซึ่งเอื้อโอกาสให้เราได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้  ขอบคุณที่แม่ไม่เคยปล่อยให้เราอดอยาก   แม้จะมีช่วงเวลายากลำบาก  แต่ก็ได้เรียนรู้  ฝ่าฟัน  เข้าอกเข้าใจ (ลูกขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างที่สุดที่แม่เพียรพยายามแม้จะยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจวิถีของลูก  และปล่อยให้ลูกได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนอย่างอิสระ)
รวิวาร
 บางครั้งหมอกก็ไหลมาตั้งแต่ดื่นดึก ห้อมล้อมบ้านของเราไว้เหมือนกองทัพสีขาวหนาวเย็น แล้วเมื่อแสงแรกจากเรือนจุดสว่างขึ้นยามสาง ลำแสงสีส้มก็ผ่าละอองหมอกออกเป็นทาง ธรรมชาติของหมอกนั้นอย่างไร บางคราว เราตื่นขึ้น แลเห็นรอบตัวได้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง เห็นชายฟ้าด้านตะวันออกหลังแนวไผ่คู่หน้าประตูเป็นสีชมพูอ่อนๆ แต่แล้วไม่นาน สายธารแห่งหมอกกลับไหลรินสู่หุบเขา ทั้งจากด้านดงดอย ยอดเขาสูง แม่น้ำ ที่ลุ่ม และถนนจากเมือง ดาหน้ามาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นบ้านน้อยของเราไว้ บางทีความคิดของเราก็ทำทีอย่างหมอก มียามที่มองอะไรไม่เห็น นอกจากฝ้าละอองเปียกชื้นเยียบหนาว ยามเดินออกจากตัวบ้าน…
รวิวาร
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/thaishow2004/image/khonhead01.jpg หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก …
รวิวาร
เริ่มแรกที่เขียนทำให้ได้พบว่า ฉันไม่เคยสื่อสารในลักษณะนี้มาก่อน ฉันพูดกับตัวเองมาตลอด เขียนบันทึก ห้วงรำพึง  โดยไม่ได้คำนึงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่เคยหวั่นว่าเนื้อหาจะลอย ข้ามไปข้ามมา อ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องสั้นหรือบทกวีที่เคยเขียนล้วนแต่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง  เหมือนเล่าออกไปในน่านฟ้าอากาศ  เป็นรูปแบบที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้วมีผู้คนมากมายได้อ่าน แต่ก็เสมือนผู้อ่านนามธรรม จนกว่าเราจะรู้จักกันจริง ๆ ฉัน ซึ่งคิดว่าการเขียนเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อรู้แน่ว่าจะกล่าวสิ่งใด จึงรู้สึกติดขัด ไม่ลื่นไหล     คิดถึง “ต้นไม้”  แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าอย่างไร…
รวิวาร
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมาไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า…