มีตาน้ำในตัวฉันไหม ผุดพุ่งเป็นตัวอักษร สายน้ำน้อยๆที่ใสสะอาด ดื่มกินได้ ชะล้างร่างกายและจิตวิญญาณ ลำธารที่ไม่มีวันหมดสิ้น ซับน้ำริน ๆ ที่มองไม่เห็น ซึ่งผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรชีวิตใต้พื้นพิภพ
............
เสียงนกถักทอความสุขสงบเหนือท้องทุ่ง แดดอ่อน ๆ และสายฝนโปรย ลมที่โชย ตะวันเยื้องย่างตามฤดูกาล ทั้งหมดนั้น ธรรมชาติประทานความมั่นใจ ความอบอุ่นใจในการหล่อเลี้ยงจากแม่ชีวิตทำให้จิตใจเราสงบอย่างบอกไม่ถูก จนแม้กระทั่งเสียงอีกายามพลบก็ผ่อนคลาย เต็มไปด้วยนิมิตหมายอันดี
ชีวิตไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์หรือไร มีแนวทางที่เราก้าวย่ำมา บอกร่องรอยเส้นทางข้างหน้าแม้ว่าจะไม่กำหนดชัดเจน และก็เป็นการดีแล้ว ด้วยว่าทุกขณะ เราสามารถสร้างหนทางใหม่ๆ และหันเหไปยังทางอื่นที่ดูเหมาะควรกว่า และตรงต่อใจ ชีวิตไม่รื่นรมย์หรอกหรือ ยามเราหยุดพัก ทิ้งตัวลง วางสัมภาระ ออกจากความคิดชั่วขณะ ได้หันมองไปรอบๆ ได้เห็น ได้ยิน และสูดกลิ่นอาย
สรรพสำเนียงชีวิตและทุกสิ่งรอบตัวช่างงดงาม กลมกลืนสอดคล้อง ชีวิตนั้นดีอยู่แล้ว งดงามและรื่นรมย์ เมื่อลุกขึ้นอีกครั้ง เรารู้ว่าเราจะไปไหน กำลังทำอะไร เราก้าวเดินด้วยจิตใจไม่เร่งรีบ มีความสุขที่มีวันนี้ มีร่างกายที่ยังปกติสุขดี มีแสงแดดสีส้มอมทองสาดส่องลงมาคลายหนาว มีสายลมพัดแผ่วผิวกาย เราประกอบการงานของเรา การงานที่พาเรากระโจนเข้าไปในความฝัน วาดสรรค์เสกแต้ม ความสุขคือได้นิรมิต เสกสรรค์ปั้นแต่งให้เป็นอย่างใจ ด้วยเจตนารมณ์อันดีงาม ด้วยความหวัง ความเชื่อ ความรู้สึกที่ดี ท่ามกลางผิวหน้ามหาสมุทรชีวิตที่อาจดูยุ่งยาก ...เราสร้างทางของเรา ด้วยการงานของเรา
ผู้คนมากมายไม่ล่วงรู้ความลับว่า อนาคตอยู่ที่ก้าวย่างของเขา หมอดูผู้พยากรณ์จึงต้องทำงานหนัก หากเรารู้จักตัวเอง ชัดเจนในสิ่งที่คิดฝัน ปรารถนา และไม่รอช้า ก้าวตามมันไป อนาคตย่อมแสดงตัวตามต้องการ เพียงแค่จินตนาการ และหลับตา หนทางก็ปรากฏแล้วบนฟากฟ้า
ความสงสัยมาจากความไม่มั่นใจอันไร้เหตุผล ความวิตกกังวลเกิดขึ้นบนอัตตา มันรู้จักเพียงโลกวัตถุ มองไม่เห็นโยงใยอันยิ่งใหญ่ ตาข่ายสีเงินแห่งจักรวาล โยงใยล่องหนของแมงมุมวิเศษที่กระพริบระยิบระยับเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ส่งข่าวสารกลับมา สะท้อนตอบความปรารถนากลับไป เราคือจุดแสงเล็ก ๆ พร่างพราวกลางข่ายใย พร้อมที่จะสรรค์สร้าง พร้อมที่จะแปรเปลี่ยน เราไม่รู้ว่าเรามีมนตร์วิเศษอยู่ในมือ เห็นเพียงตัวเองเดินดุ่ม ๆ เจ็บปวดรวดร้าว โดดเดี่ยวอยู่ในจักรวาล
ถูกแล้ว เป็นเพียงชีวิตหนึ่งในผืนผ้ากว้างใหญ่แห่งชีวิต เป็นดาราดวงน้อยในมหาสมุทรดวงดาวแห่งท้องนภา ทว่าทั้งหมดนั้นคือหนึ่งเดียว ยอมรับความเล็กน้อยเพื่อเข้าถึงความยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งคือทั้งหมด เป็นคนๆ เดียว คนเดียวแต่สามารถเชื่อมต่อทุกข์สุขกับทุกดวงใจ
.................................................................................
หนทางชีวิตเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ปูลาดด้วยทองคำหรือกลีบกุหลาบ ชีวิตคือความเปลี่ยนแปลงไร้หลักประกัน ทว่า ความหมายที่ซ่อนเร้นของมันคือโอกาส และความเป็นไปได้นับพัน เราสามารถหยุดพัก หันเห เพิกถอนหรือกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เราไม่จำเป็นต้องทำเพื่อใคร หรือจุดหมายใด เมื่อเราเดินไปใกล้จะถึงจุดหมาย หาได้มีฝูงชนรอคอยที่จะปรบมือให้ เรามีเพียงความเอิบอิ่มและสุขใจที่ได้ใช้ชีวิต ได้ดำเนินมา อย่างที่เราเลือกเดิน อาจหกล้มซวนเซบ้าง หรือก้าวย่างอย่างงามสง่า ทั้งหมดนั้นคือชีวิต คือลีลาย่างก้าว
ทวิภาวะพาเราดำเนิน มายาการไม่ใช่กับดัก แต่เป็นแรงผลักสู่สัจภาวะ เราจะรู้เมื่อเรามุ่งหมายที่จะรู้ เราเรียนรู้วันละนิดละหน่อย “วันนี้ ฉันได้ประจักษ์ความจริงหนึ่งข้อ” ตอลสตอยว่า หนทางที่รางเลือนจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ขอเพียงติดตามเสียงเรียกของหัวใจ ก้าวตามความฝันใฝ่
ใครก็ตามที่เฝ้าฟังเสียงหัวใจ แม้เสียงนั้นจะดูวิปลาสเพียงไหน (ฉันขอย้ำคำกล่าวของธอโร) ย่อมเข้าถึงสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ จากเสียงกระซิบแผ่วเบาคราแรก สู่เสียงเพรียกพลิ้วกังวานใส จากนั้นแปรเป็นบทเพลง เป็นเสียงดนตรีไพเราะ เป็นท่วงทำนองหวานแว่วเสนาะ แทรกซึมซ่านลึกถึงภายใน เสียงซึ่งก้องกังวาน แจ่มชัด บอกเล่ากล่าวขาน นำทางสู่ชีวิตใหม่ ชีวิตที่สอดคล้องกับหัวใจ ความปรารถนาและฝันใฝ่ ตัวตนที่แท้จริงในเรา
......................................................................................
*สามีฉันบอกเหมือนเทศนา ต้องขออภัยล่วงหน้าค่ะ หากมันจะเป็นการสอน ก็คงจะเป็นการทบทวนสอนสั่งตัวฉันเท่านั้น