Skip to main content


ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน
1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท

หนังสือ ดูดดื่มกับหนังสือ บทเพลงหรือภาพเขียน หากที่ใกล้ชิด ดื่มด่ำถึงขนาดคือหนังสือ อ่านด้วยหัวใจเปิดกว้างอย่างเดียวกับครั้งยังเด็ก ดูดดื่ม ...ดูด-ซับ ดื่ม-กินอย่างหิวกระหาย ไม่คัดเลือก กลั่นกรองใด ๆ โอบรับหมดทั้งใจ เช่นที่ร้องไห้รอบแล้วรอบเล่ากับเซเซ่2 เชื่อมั่นสุดหัวใจเด็กหญิงวัยแปดขวบว่า นี่แหละ สิ่งที่มีความหมายมากที่สุด ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าหนังสือ ข้าวปลาอาหาร งานบ้าน ตำราหรือ? หัวใจฝังติดลงไปเช่นเดียวกับใบหน้าจมลงบนแผ่นกระดาษ โลกข้างนอกยังจะมีความหมายอะไร หายไปในใบหน้าโลกที่เรียงรายเป็นตัวพิมพ์สลอน เศร้า อาดูร รวดร้าว ร่ำไห้ หัวเราะ ตื่นเต้น หวาดหวั่น เริงร่า กร้าวแกร่งและเข้มแข็ง หนังสือคือพ่อแม่ญาติพี่น้องเพื่อนพ้องของฉัน คือครูบาอาจารย์ที่ทำให้ฉันได้เห็น เข้าใจโลกและชีวิต รวมทั้งความรับรู้ที่ลึกซึ้ง ชอกช้ำเกินกว่าบทสนทนา เรื่องราวในชีวิตจริง จำได้ ความรู้สึกเจ็บปวดโง่เขลาที่ไม่อาจอธิบาย แต่ร่วมรับรู้ลึกเข้าไปราวกับเกิดกับตัวเอง ความอึดอัดขื่นขมน่าสมเพชที่ใต้ถุนสังคมของดอสโตเยฟสกี้3 ความอ่อนโยนดีงามประทับจิตใจของน้องชายคนเล็กแห่งสกุลคารามาซอฟ4 ความเหงาเศร้าของรักหัวใจรอน ๆ บทเพลงแจ๊ส และสาวขาเป๋ผู้สวยซึ้ง มนุษย์หมู่บ้านโลกที่ระเหเร่ร่อนไปกับจิตวิญญาณที่ถูกฉีกกระชากจากตัวเองของมุราคามิ จากนั้นอบอุ่น ผิงแดดอ่อน ๆ ในนิทานแห่งท้องทุ่งจากศตวรรษไกลโพ้น6 ก่อนยกจิตใจสู่ความงามประณีตในบทกวีบริสุทธิ์ ...จะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีหนังสือ! ฉันจะเป็นเช่นทุกวันนี้ได้ยังไงถ้าไม่มีหนังสือ!

 

หนังสือ ...ไม่ใช่กระดาษเปื้อนหมึกที่เย็บเป็นเล่ม ๆ มันเปล่งเสียงร้อง ขบวนแถวถ้อยคำยังตื้นเขินไป มันคือลมหายใจผ่าวร้อนของผู้คน คือความเชื่อ ศาสนา ศรัทธา ปรัชญา ความรัก กิเลสตัณหา การต่อสู้ดิ้นรน ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและล้มเหลว ความพ่ายแพ้และชัยชนะของพวกเขา เหล่าตัวละคร นั่นล่ะ! คำประกาศก้องถึงความเป็นมนุษย์ อันดราในอนาคตโลกเรียกคืนมนุษยภาพเมื่อได้อ่านได้ฟังบทกวี7 หลูและผมมีชีวิตอยู่ได้แม้ถูกสัมมนาด้วยความสิ้นหวังและงานหนักเพราะหนังสือ คอมมิวนิสต์ชั่วช้า ทุนนิยมหรือลัทธิทางสังคมใด ๆ ชั่วช้า หากมันทำลายความเป็นมนุษย์ อย่างนั้นแล้วมนุษย์คืออะไรเล่า? คือสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะพยายามข้ามพ้นอย่างนั้นหรือ? หรือคือหัวจิตหัวใจในร่างกายที่ทั้งรักทั้งชัง เหงา ขมขื่น ผิดหวัง ต้องการ ปรารถนา ทำมนุษย์ให้เป็นหุ่นยนต์ เป็นชีวะแห่งงาน เป็นสัตว์ที่ต้องการเพียงข้าวปลาอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่กำบัง หรือการหลับนอนผ่อนพักเท่านั้นได้อย่างไร พระเจ้าไม่ได้สร้างดอกไม้ชนิดเดียวบนโลก ดอกไม้อันงามน่ารักบนผืนพิภพสูง ๆ ต่ำ ๆ สลับซับซ้อนและหลากหลายภูมิอากาศมีนับร้อยนับล้านชนิด โอ้เจ้าชีวิตน้อย ๆ ที่แบบบางน่ารัก ดองดึง เทียน พุด แก้ว กุหลาบเถา กุหลาบช่อ แล้วมนุษย์เล่า จะให้คิดทำในแบบแผนเดียวซ้ำซาก สร้างมาตรฐานการหายใจในร่างที่แม้จะคงอยู่ไม่กี่หมื่นชั่วโมงให้เหมือนกันเปี๊ยบเลยล่ะหรือ? ช่างดูถูกความมั่งคั่งและการสร้างสรรค์อัศจรรย์ของจักรวาลเสียนี่กระไร

 

เด็กคนนั้นรับรู้ โลกนี้มั่งคั่งกว้างใหญ่ รุ่มรวยทั้งบาดแผลและความสุข ติดปีกบินท่องทั่วฟ้า เปิดดวงตาวิเศษ แลทะลุทั่วจักรวาลผ่านตัวหนังสือ หนังสือ! หนังสือ! หนังสือ! หนังสือเพาะเชื้อแห่งการปฏิวัติ หนังสือทำให้เด็กหนุ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียงชั่วข้ามคืน หนังสือปลุกจิตวิญญาณหยั่งรู้ข้ามกาลเวลาฟื้นตื่น ศิลปะและหนังสือนำทางสู่หัวใจ ทวารบาลของวิหารแห่งพระเป็นเจ้า หัวใจต่างหากคือตัวจริงของนักอ่าน วรรณกรรมอ่านด้วยใจ ทุกเรื่องราวไหวสะเทือน เลื่อนไหลแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือด อวัยวะ เนื้อหนัง ไขกระดูกจนชุ่มโชก ต่างจากน้ำ อาหาร หรือโภชะใด หนังสือจะแฝงฝังอยู่กับเราเนิ่นนานยิ่งกว่าเชื้อโรคร้าย เจ็ดปีผ่าน ร่างกายผลัดเซลล์ใหม่ หากไม่ตกตายหรือหลงลืมไป หนังสือที่หัวใจดักจับไว้จะแนบอิงพิงแอบอยู่เช่นนั้น ปักหลักเนิ่นนาน ส่งเสียงสะท้อนจากภายนอกสู่ภายใน กลับไปกลับมาไม่หยุดหย่อน และยังขับเน้นทรงพลังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวและประสบการณ์ของเราต่อชีวิตและทุกความสัมพันธ์บนโลก เรื่องราวของผู้คนในหนังสือกับประสบการณ์และชีวิตของพวกเขา มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย เราเสพโลกไว้ทั้งสองทาง สะท้อนหากันเหมือนส้อมเสียง ก้องกังวานไปไกล เขย่า สร้างตัวตนและจักรวาลในห้วงจินตนา ความรู้สึกของเราเดินทางไปไกลถึงดวงจันทร์ สะท้อนกลับมาสู่ใจ ดวงจันทร์อันอ่อนใสสุกสกาว ไม่ใช่ดาวเคราะห์บริวารตะปุ่มตะป่ำเยือกเย็นไร้ชีวิต มีองค์ประกอบทางเคมีอะไรบ้างล่ะนั่น...

 

ฉันเสพติดหนังสือขนาดหนักมาหลายเดือนแล้ว ไขว่คว้า ค้นหา หยิบยืมมาอ่านอย่างตะกรุมตะกรามหิวกระหาย ถึงเป็นนักอ่านตลอดมา แต่มีบางช่วงบางคราวที่ว่างเว้นจากการเสพ หนำซ้ำเคยเครียดขำกับคำ ‘อำนาจวรรณกรรม’ อันหรูหรา ทว่า วันนี้ ไม่ขบคิดค้นหาเหตุผลอะไรแล้ว

 

ฉะนั้น...อ่านหนังสือเถิดที่รัก หนังสือคือเพื่อนที่ดีที่สุด คือมิตรสนิทผู้ปลอบประโลม แม้พลังของหนังสือดี ๆ จะเชี่ยวกราก ฉุดกระชากลากถูยิ่งกว่าน้ำไพรไหลบ่า แต่เชื่อเถิด หนังสือมากมายหลายพันหมื่นเล่ม วรรณกรรมมีสำนึกดีงามเสมอ มันส่องสะท้อน สะท้าน สะเทือน แต่ไม่เคยชี้นำ แม้อาจชักจูงใจให้หลงเชื่อเคลิ้มคล้อยไปบ้าง หรือกักขังหน่วงเหนี่ยวเราไว้ในหุบห้วงแห่งความรู้สึก แต่ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงกังวล หัวใจของเธอจะค้นหาทิศทางได้เอง จากเรื่องราวนั้น ๆ จากบทกวีก่อนหน้า จากนิยายเรื่องถัดไป เธออาจต้องปวดร้าวบ้าง บางครั้งมากกว่าคนทั่วไป เธออาจคร่ำเครียด ขบคิดสับสนเหมือนคนบ้า เปลี่ยวเปล่าราวกับอยู่ตัวคนเดียวในโลก อาจหัวเราะแปร่งปร่า เย้ยหยันชีวิต ทั้งหมดเป็นเพียงการตั้งคำถามคลาสสิกซึ่งไม่วันจบสิ้นเรื่องของ ‘การมีชีวิต’ และ ‘การเป็นมนุษย์’ มันเป็นคำถามราคาแพงแต่ก็คุ้มค่า ดุ่มเดินดื่มด่ำไปตามหน้าหนังสือ เราอาจเจ็บปวด ถูกก่นด่าโบยตีไม่จบสิ้น ทว่า แส้ของหนังสือยังกรุณากว่าแส้ของชีวิตจริง

 

ฉันเชื่อ ที่สุดแล้ว ... หนังสือ ศิลปะ และวรรณกรรมไม่นำไปสู่สิ่งอื่นใด นอกจากความรักในมนุษยชาติและชีวิต

"นักอ่านทุกคนค้นพบตัวเอง ผลงานของนักเขียนเพียงเป็นเครื่องมือทางทรรศนะชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ผู้อ่านตระหนักถึงสิ่งซึ่งหากปราศจากหนังสือแล้ว เขาอาจไม่มีวันพบได้ในตัวเอง" มาร์แซล พรูสต์8 

 


1
บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน ไต้ซื่อเจี๋ย เขียน โตมร ศุขปรีชา แปล

2 ต้นส้มแสนรัก โจเซ่ วาสคอลซีลอส เขียน มัทนี เกษกมล แปล

3 บันทึกจากใต้ถุนสังคม ดอสโตเยฟสกี้ เขียน ศ.ศุภศิลป์ แปล

4 พี่น้องคารามาซอฟ ดอสโตเยฟสกี้ เขียน สดใส แปล

5 การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก ฮารุกิ มุราคามิ เขียน โตมร ศุขปรีชา แปล

6 หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้ อนาโตล ฟรังซ์ เขียน ไกรวัลย์ สีดาฟอง แปล

7 เธอคืออันดรา หลุยส์ ลอเรนซ์ เขียน กิติมา อมรฑัต แปล

จากคอลัมน์ รอบโลกวรรณกรรม วรรณกรรมรอบโลก ,เฟย์, นิตยสารช่อการะเกด 46

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง