Skip to main content

เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่า

ถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา เข้าเมืองหรือว่าหมู่บ้าน วันนี้จะวิ่งทันหรือจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกนะ'

เธอเดินไปยังเพิงเก็บรถ แต่แทนที่จะจูงมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งออกมา เธอกลับรีรอ จักรยานสีน้ำเงินจอดอยู่ และอากาศยามเช้าก็น่าสบาย ถีบจักรยานไปหมู่บ้านก็น่าจะพอไหว

กะทิกับน้ำตาลวิ่งกรูไปล่วงหน้าแล้ว มันชะลอฝีเท้า พอจักรยานใกล้ถึงตัว ก็วิ่งตัดหน้าไปมา ตีคู่บ้าง เลี้ยวลงสวนข้างทางบ้าง แวะเห่าข่มขู่หมาสวนใกล้ ๆ ‘อย่าได้คิดแหยม โผล่หน้าออกมานะเฟ้ย พวกเรามาแล้ว' นายหญิงกังวลอยู่เหมือนกันว่า วันนี้พวกหมาจะวิ่งกลับบ้านเองเหมือนเคยหรือไม่ แข้งขาที่ไม่ค่อยได้ออกแรงทำให้จักรยานค่อยๆคืบไปช้าๆ สลับกับเสียงหอบหายใจฮื่อฮ่า ในหัวมีแต่ประโยคว่า ‘จะไปรอดไหมน๊า' และแล้ว เมื่อถึงสามแยกหมายอมแพ้ ที่ซึ่งพวกมันต้องหันหลังกลับบ้านทุกครั้ง วันนี้ หมาสองตัว หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กก็ได้วิ่งโลดติดตามไปอย่างยินดี จักรยานหนีมันไม่พ้น พวกมันพากันวิ่งไปฉี่รดพุ่มไม้ เสาไฟฟ้าสองข้างทางอย่างเริงร่า ผ่านสวนสองสามสวนจนมาถึงเนินเชื่อมสู่ทุ่ง นายหญิงเร่งปั่นสุดชีวิต จักรยานลอยลิ่ว หากแต่หมาดอยและลูกผสมพุดเดิ้ลทอยกลับตีคู่ ไม่ยอมทิ้งระยะห่าง...เอาก็เอา วันนี้ไปเที่ยวหมู่บ้านกัน พาหมาไปกาดก้อม ซื้อผักกับหมูนิดหน่อย แล้วค่อยกลับพร้อมกัน พวกมันจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง หมารักบ้านสองตัวนี้ยังไม่เคยออกไปไหนไกล ๆ เลย



 

ถึงกลางทุ่งนั่นเอง พุดเดิ้ลทอยสีขะมุกขะมอมตัวหนึ่งวิ่งตามเจ้าของซึ่งขี่มอเตอร์ไซค์สวนทางมา อันธพาลจากตูบตีนดอยหยุดเห่ากรรโชก ข่มขู่ทันที สองตัวนี้ ถึงอยู่บ้านก็ไม่เคยยอมปล่อยให้หมาตัวไหนกรายใกล้ เหมือนไม่อยากผูกมิตรกับใครทั้งสิ้น อ้ายกะทินั้นเพราะมันขี้หวง ขี้อิจฉา ส่วนอ้ายน้ำตาลมันเป็นหมาถือตัว หวงถิ่น พุดเดิ้ลตัวนั้นจะถูกกัดอยู่รอมร่อแล้ว นายหญิงนึกถึงจำนวนเงินที่ต้องชดเชยให้เจ้าของหมา รีบทิ้งจักรยานเค้เก้ข้างทาง คว้าไม้ไร่ที่หาได้ไล่ตวาด เจ้าของพุดเดิ้ลยิ้ม พูดดีกับสองอันธพาล ‘อย่าทำน้อง ๆ รักกันนะ' แต่อย่างอ้ายพวกนั้น มันไม่ฟังเสียหรอก


หนึ่งด่านผ่านไป เราพบฝรั่งผมทองสี่ห้าคนยืนตื่นเต้นชื่นชมทุ่งข้าวโพดเขียวขลับ พวกเขาหันมองจักรยานกับหมา พอใกล้ถึงหมู่บ้าน กะทิแวะเห่าระรานหมาพันทางตัวเท่ามันเสียงขรม ส่วนน้ำตาลวิ่งนำหน้า หมาเกือบทั้งหมู่บ้านเห่ารับกันอย่างมันเขี้ยว


ข้างนายหญิงรีบร้อนจัดการธุระ ระหว่างซื้อของ แลกเงิน รอตังค์ทอน ก็ต้องถือไม้ไล่หมาหางฟูสีน้ำตาลที่วิ่งงับไก่ในสวนชาวบ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย กะทิเงียบเสียงไปนานแล้ว เมื่อเธอกล่าวลาเจ้าของร้าน บ่ายหน้ากลับ น้ำตาลวิ่งนำและหายลับไป แต่ไร้เงาหมาน้อยสีครีมขาว นายของมันคิดอย่างคนมองโลกในแง่ดีว่า ‘มันคงกลับบ้านไปแล้วล่ะ เราก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว อ้ายจักรยานนี่ก็ขี่ไม่สบายเลย เมื่อยแขน ไหล่ ขาไปหมด'


ถึงบ้าน น้ำตาลหมอบรออยู่ที่เพิง เนื้อตัวเปียกปอน เปื้อนดินสกปรกดูไม่ได้ นายหญิงจูงจักรยานไปจอด ร้องเรียกหากะทิ ไม่มีเสียงตอบ นายผู้ชายซึ่งเป็นค้างคาวชนิดหนึ่ง ทำงานกะกลางคืน หลับกลางวัน พรวดพราดลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วงหมา บ่นพึมก่อนขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปตาม ‘ป่านนี้ คงหลงทาง ถูกหมาใหญ่ไล่ฟัดแล้ว' ‘อ้าว เหรอ นึกว่ามันจะกลับได้เองเสียอีก' นายผู้หญิงซึ่งเคยแต่เลี้ยงหมาบ้าน ๆ กับฝังใจกับหนังหมาแมวเรื่อง Far away Home (จำชื่อไม่ผิดใช่ไหม?) เริ่มรู้สึกตกใจ


ฉันจะทำยังไงถ้าไม่มีเจ้า...กะทิ อ้ายตัวเล็ก ของขวัญวันเกิดลูกสาวที่ติดโบว์สีชมพู นอนหลับมาในย่าม อ้ายตัวจ้อยที่ครางหงิง ๆ นอนหนุนแขนจนหลับทุกคืน อ้ายตัวขนฟูที่ฉันเฝ้ารอ จนท้อใจและยอมรับความจริง แล้วบอกลูกอย่างแสนเซ็งว่า ‘ไม่เป็นไรหรอกนะจ๊ะ ถึงมันไม่ใช่พุดเดิ้ลแท้ และสีก็เปลี่ยนเป็นครีม ไม่ใช่ขาวอย่างที่ลูกอยากได้ แต่มันก็น่ารักนะ มันน่าเอ็นดูยิ่งกว่าหมาตัวไหนในโลก ขนมันไม่หยิกขอดเป็นพุดเดิ้ล แต่ก็ยาวฟูน่ารักไปอีกแบบ ตัวมันก็โตกว่า ดูไม่บอบบาง เป็นตุ๊กตาดีด้วย' ที่สำคัญ มันน่ารัก ฉลาด ขี้อ้อน นัยน์ตาสีดำของมันกลมแป๋วแวววาว และอ่อนเชื่อม ยามค่ำหลังอาบน้ำกินข้าว ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเบาะ กะทิจะเข้ามาหมอบซุก ใช้หัวดุนอุ้งมือ ‘แม่จ๋า ลูบหัวหน่อย คุยกับทิสิ' และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเราจะสัมผัส พูดคุย แสดงความรักใคร่จนกว่าจะพอใจ




นายผู้ชายกลับมาแล้ว ไม่มีวี่แววหมาตัวไหน เขาตะโกนบอกเมื่อเห็นฉันชะเง้อมองทางหน้าต่าง ‘วิ่งตามมาข้างหลัง' ก้อนขาว ๆ กำลังห้อตะบึงมาตามถนนสุดแรงเกิด กะทิมันวิ่งไม่หยุดเลย มันรู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจ หมาดุร้ายในหมู่บ้านพร้อมใจกันวิ่งไล่มัน มันพยายามตามหานายหญิง แต่หมาตัวใหญ่คอยขวางไว้ มันหนีกระเจิดกระเจิง หลงทิศหลงทาง ลอดรั้วชาวบ้าน ผ่านพงหนาม ไม่ว่าจะไปทางไหน ทุกที่มีแต่อุ้งตีนหมาเจ้าถิ่น


กลับจากการผจญภัยสด ๆ ร้อน ๆ กะทิหอบลิ้นห้อยอยู่นานสองนาน กว่าจะลุกไปเลียน้ำกินได้ สักพักก็ตรงไปที่ชามข้าว บ่ายวันนั้น นายหญิงปลอบใจด้วยการอาบน้ำให้ แดดยามบ่ายอุ่นสบายนอกชาน แชมพูขวดใหม่ก็หอมฟุ้ง นายอาบสะอาดถึงสองครั้ง ใช้ผ้าเช็ดตัวถึงสองผืน กับแปรงขน และเก็บหนามกับเกสรหญ้าออกจากตัวมันจนหมดเกลี้ยง


ขอโทษนะกะทิ ฉันจะไม่ปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายอย่างนี้อีกแล้ว ถ้าไม่มีเจ้า โธ่ ไม่อยากนึกเลยว่าจะเป็นยังไง แววตาสุกใสที่จ้องมองมาอย่างจงรัก อ้อมกอดอุ่นนุ่มที่ทดแทนความคิดถึงลูกน้อย เมื่อกอด คุย หรือมองเข้าไปในดวงตาของมัน หัวใจเรากระเพื่อมไหว อบอุ่น บริสุทธิ์ ...เจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่า ผู้คนที่เคยหมั่นไส้ เหมือนเห่อสัตว์เลี้ยง เรียกน้องหมาแมวนั้นรู้สึกเช่นไร



 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เมื่อคุณออกไป ทุกอย่างก็พังทลาย  ยินเสียงชายชรารำพึงในความเงียบ  ...ไปกันเถอะแพลทเทอโร นั่นไม่ใช่ที่สำหรับเรา *
รวิวาร
  มาพร้อมกับดีเปรสชั่น ซึ่งอ่อนแรงผันแปลงจากไต้ฝุ่น..น้ำฟ้า ซึ่งทำคุณบ้า เที่ยวสำรวจตรวจตราต้นไม้ ขุดหลุมลงต้นกล้ารุ่นสุดท้าย ความลุ่มหลงผูกพันต่อสิ่งที่ลงมือ ปลูก สอดส่องดูแล รดน้ำ ถอนหญ้า ใส่ปุ๋ย อาณาจักรหัวใจคุณขยายไปตามมุมสวน ลักษณาการของกิเลสแบบpassion แนบเนื่องและยึดติด คุณเฝ้ามองชีวิตแต่ละช่วง แต่ละขณะ เคลื่อนไปสู่จุดต่าง ๆ ตัวตนซึ่งเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นดินหลักแห่งอุปนิสัย แต่ละช่วงเวลา มันได้ใส่สิ่งใดลงไป คุณนั่นเองใส่รายละเอียดลงไป แม้บางครั้งไม่รู้เนื้อรู้ตัว คุณกลายเป็น กลายเป็น และกลายเป็น...สิ่งใหม่เรื่อย ๆ
รวิวาร
สมมติว่าแม่พูดอยู่กับลูก สมมติว่าลูกเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูด...   เช้าวันนี้ แม่รู้สึกเศร้าๆอยู่บ้าง แม่พลิกดูปฏิทินเมื่อสองสามวันก่อน บิลค่าไฟฟ้าใกล้จะมาแล้ว แม่เปิดกระเป๋าสตางค์ทุกใบในบ้าน เดินไปค้นกระป๋องคุ้กกี้ในห้องพี่เชน นับธนบัตรไม่กี่ใบที่มีอยู่ในกระเป๋าราวกับมันจะงอกเพิ่มขึ้นมา แม่ออกมามือเปล่า แหงนดูฟ้า ฝนยังทำท่าว่าจะตก
รวิวาร
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยผ่าน  สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่า ถูกแล้ว  เราต้องลับดวงตาให้แหลมคมสว่าง  ระมัดระวังอย่าสับสนกับถ้อยคำทั่วไป “ง่าย ๆ สบายๆ ไม่ซีเรียส”  ความโง่เขลามักง่ายมีโฉมหน้าคล้ายกันนี้
รวิวาร
ชีวิตเป็นเรื่องลึกซึ้ง อีกเพียง 2 ฤดูฝนฉันก็จะอายุสี่สิบแล้ว เมื่อวาน หัวใจยินดีที่ตระหนักขึ้นว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่มีความหมาย เมื่อคืนยังตั้งคำถาม ค้นลึกไปในพฤติกรรมของตน...
รวิวาร
ฉันมีภูเขาทั้งลูก จริงๆแล้วมากกว่านั้น จู่ๆฉันก็พบว่า แดดยามเช้าที่สดใสเป็นสีทองทำให้ริมฝีปากเผยอยิ้ม  เมื่อคืนเราพูดคุยกันบนที่นอน สมมติว่าถ้าฉันมั่งมีขึ้นมา ฉันจะมีความสุขมากกว่าตอนนี้ไหม  ฉันอยากจะได้อะไรบ้างหนอ ฉันซักไซ้ไถ่ถาม คอยกวนไม่ให้เขาหลับ นั่งพร่ำเพ้อ จินตนาการเล่นๆ และคอยเขย่าตัวเขาเรื่อยๆ เพื่อตรวจสอบว่าเขายังฟังฉันอยู่  เขาหลับๆตื่นๆแต่มีรอยยิ้มฉาบหน้า  เขาแค่งีบเล่นๆเท่านั้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาทำงานกลางดึก  ฉันพูดออกมาดังๆว่า ถ้าให้ไปอยู่ในสวนสวรรค์ของพระเจ้าแลกกับที่อยู่ตอนนี้จะเอาไหม  จากนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธตัวเองทันใด  ไม่เห็นสนุก…
รวิวาร
 เช้าจรดเย็นของเดือนสิงหา มีเสียงโป๊กเป๊กของลูกลำไยหล่นกระทบก้นถังไม่ขาด สวนนี้สวนนั้นทยอยกันเก็บ ที่กว้างมากก็จ้างคน  บ้างฮึดเหนื่อยเอง บางเจ้าคร้านจะลงทุนในเมื่อราคาทรุดฮวบ ถูกกว่าปีที่แล้วเท่าตัว ตัดสินใจขายเหมามันทั้งสวน
รวิวาร
  ความรักของแม่หวานจับใจดั่งน้ำอ้อยน้ำตาล วันเดือนปีล่วงผ่าน ลูกปรารถนาดื่มกินเสมอ...
รวิวาร
มันแน่อยู่แล้ว ที่คุณรู้สึกอึกอัก เก้อกระดากหากจะกล่าวถึงความจน บางครั้งคุณคิด การเขียนถึงชีวิตตัวเองนั้นช่างเปล่าเปลือย เชื้อเชิญผู้อื่นเปิดหม้อข้าว เข้ามาดูถึงในมุ้งเชียวหรือ มันเหมือนบอกเล่ากับคนอื่น ขณะเดียวกัน พูดคุยกับตัวเอง เมื่อคุณถ่ายเทความคิดผ่านอักษรปีแล้วเดือนเล่า คุณก็คุ้นเคยที่จะทำส่วนตัวให้กลายเป็นสาธารณะ
รวิวาร
 ฤดูนี้เป็นฤดูตามหาดอกไม้ ฉันยอมรับกับตัวเองเมื่อสำรวจผืนดินแล้วพบว่า ที่หัวใจใฝ่หาคือมวลมาลีสวยสด มากยิ่งกว่าพืชผัก ผุดขึ้นก่อนปากท้องคืออาหารตาอาหารใจ เถอะน่า ติดตามหัวใจไป ใช่จะละทิ้งร่างกายเสียเมื่อไหร่ ผักบุ้งปลูกแล้ว รวมทั้งผักชี กุยช่าย แคต้น กะเพราขาว กระเพราแดง ผักชีฝรั่ง มะกรูด มะนาว แมงลัก ถั่วพูที่เพาะไว้ในกระถางแอบเลื้อยไว ๆ เมล็ดน้ำเต้าที่น้องสาวเก็บมาฝากจากสวนพันพรรณของพี่โจน จันใด แตกใบ แต่ตกเป็นอาหารหอยทาก
รวิวาร
 หนูมาเยือนในวสันตฤดู เช้านั้นโลกนุ่มนวล หมอกฝนแผ่ละอองไอชื้น ขาวๆนุ่มๆทั่วภูเขา วันคล้ายวันเกิดป้าผ่านไปเพียง 4 วัน แม่ของหนูก็ส่งข่าวมาบอก ได้ลูกสาวแล้ว ป้าพูดกับลุงว่า วันนี้ช่างเป็นวันดีเสียจริง มีเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งมาเยือนโลก คิดดูสิ เด็กทารกน้อยตัวแดงๆ นอนบริสุทธิ์อยู่บนเบาะ ป้าหลับตา เห็นหนูตัวเปล่งประกาย วิญญาณพรายพร่าง รอบเบาะนอน มีนางฟ้าแย้มยิ้ม เห่กล่อมเพลง เทวดาต้องยินดีแน่ๆที่มีดวงวิญญาณจุติในโลก เพราะว่าสถานที่นี้แสนงดงามและมีความหมายพิเศษ พระพุทธองค์บอกว่า โอกาสในการได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เหมือนเต่าตัวหนึ่งซึ่งนานนับกับกัลป์กว่าจะลอยคอขึ้นมาในมหาสมุทรสักครั้ง…
รวิวาร
  29 พฤษภาฯ 52ตุ่นน้อยลูกรักเช้าวันนี้ ฤดูฝนมาแล้ว อากาศเย็นสบาย ภูเขาของเราซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก ดูสิ แม้แต่ฤดูกาลเปลี่ยนแม่ก็อยากบอกลูก อยากคุยกับลูก ชี้ชวนกันดู ตอนเช้า แม่นั่งฟังเสียง ‘กะโล๊กโป๊ก' ที่เอามาจากมะขามป้อม ลูกจำได้ไหม วันของเล่นจาก "ลม" ไง ปิดเทอม ตอนที่ลูกอยู่ แม่ไม่ได้เอาขึ้นไปแขวน แต่ว่าวันก่อน น้ารจกับน้ากาน และน้องนานามา น้าเขาถามว่านี่อะไรดูเหมือนหน้าไม้ แม่ก็เลยถือโอกาสจัดแจงตามที่ค้างคาใจ แม่ถอดด้ามพัดไม้ไผ่ที่ซื้อมาจากคุณยายแก่ๆ หน้ากรุงเก่า อยุธยามาผูกห้อยแทนไม้ไผ่สานรับลม แล้วขอปะป๊าเอาขึ้นไปแขวนตรงเสาสำหรับเถาดอกสายน้ำผึ้ง ทีนี้มันดูโดดเด่นเห็นชัด เสียงดัง…