Skip to main content

เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่า

ถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา เข้าเมืองหรือว่าหมู่บ้าน วันนี้จะวิ่งทันหรือจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกนะ'

เธอเดินไปยังเพิงเก็บรถ แต่แทนที่จะจูงมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งออกมา เธอกลับรีรอ จักรยานสีน้ำเงินจอดอยู่ และอากาศยามเช้าก็น่าสบาย ถีบจักรยานไปหมู่บ้านก็น่าจะพอไหว

กะทิกับน้ำตาลวิ่งกรูไปล่วงหน้าแล้ว มันชะลอฝีเท้า พอจักรยานใกล้ถึงตัว ก็วิ่งตัดหน้าไปมา ตีคู่บ้าง เลี้ยวลงสวนข้างทางบ้าง แวะเห่าข่มขู่หมาสวนใกล้ ๆ ‘อย่าได้คิดแหยม โผล่หน้าออกมานะเฟ้ย พวกเรามาแล้ว' นายหญิงกังวลอยู่เหมือนกันว่า วันนี้พวกหมาจะวิ่งกลับบ้านเองเหมือนเคยหรือไม่ แข้งขาที่ไม่ค่อยได้ออกแรงทำให้จักรยานค่อยๆคืบไปช้าๆ สลับกับเสียงหอบหายใจฮื่อฮ่า ในหัวมีแต่ประโยคว่า ‘จะไปรอดไหมน๊า' และแล้ว เมื่อถึงสามแยกหมายอมแพ้ ที่ซึ่งพวกมันต้องหันหลังกลับบ้านทุกครั้ง วันนี้ หมาสองตัว หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กก็ได้วิ่งโลดติดตามไปอย่างยินดี จักรยานหนีมันไม่พ้น พวกมันพากันวิ่งไปฉี่รดพุ่มไม้ เสาไฟฟ้าสองข้างทางอย่างเริงร่า ผ่านสวนสองสามสวนจนมาถึงเนินเชื่อมสู่ทุ่ง นายหญิงเร่งปั่นสุดชีวิต จักรยานลอยลิ่ว หากแต่หมาดอยและลูกผสมพุดเดิ้ลทอยกลับตีคู่ ไม่ยอมทิ้งระยะห่าง...เอาก็เอา วันนี้ไปเที่ยวหมู่บ้านกัน พาหมาไปกาดก้อม ซื้อผักกับหมูนิดหน่อย แล้วค่อยกลับพร้อมกัน พวกมันจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง หมารักบ้านสองตัวนี้ยังไม่เคยออกไปไหนไกล ๆ เลย



 

ถึงกลางทุ่งนั่นเอง พุดเดิ้ลทอยสีขะมุกขะมอมตัวหนึ่งวิ่งตามเจ้าของซึ่งขี่มอเตอร์ไซค์สวนทางมา อันธพาลจากตูบตีนดอยหยุดเห่ากรรโชก ข่มขู่ทันที สองตัวนี้ ถึงอยู่บ้านก็ไม่เคยยอมปล่อยให้หมาตัวไหนกรายใกล้ เหมือนไม่อยากผูกมิตรกับใครทั้งสิ้น อ้ายกะทินั้นเพราะมันขี้หวง ขี้อิจฉา ส่วนอ้ายน้ำตาลมันเป็นหมาถือตัว หวงถิ่น พุดเดิ้ลตัวนั้นจะถูกกัดอยู่รอมร่อแล้ว นายหญิงนึกถึงจำนวนเงินที่ต้องชดเชยให้เจ้าของหมา รีบทิ้งจักรยานเค้เก้ข้างทาง คว้าไม้ไร่ที่หาได้ไล่ตวาด เจ้าของพุดเดิ้ลยิ้ม พูดดีกับสองอันธพาล ‘อย่าทำน้อง ๆ รักกันนะ' แต่อย่างอ้ายพวกนั้น มันไม่ฟังเสียหรอก


หนึ่งด่านผ่านไป เราพบฝรั่งผมทองสี่ห้าคนยืนตื่นเต้นชื่นชมทุ่งข้าวโพดเขียวขลับ พวกเขาหันมองจักรยานกับหมา พอใกล้ถึงหมู่บ้าน กะทิแวะเห่าระรานหมาพันทางตัวเท่ามันเสียงขรม ส่วนน้ำตาลวิ่งนำหน้า หมาเกือบทั้งหมู่บ้านเห่ารับกันอย่างมันเขี้ยว


ข้างนายหญิงรีบร้อนจัดการธุระ ระหว่างซื้อของ แลกเงิน รอตังค์ทอน ก็ต้องถือไม้ไล่หมาหางฟูสีน้ำตาลที่วิ่งงับไก่ในสวนชาวบ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย กะทิเงียบเสียงไปนานแล้ว เมื่อเธอกล่าวลาเจ้าของร้าน บ่ายหน้ากลับ น้ำตาลวิ่งนำและหายลับไป แต่ไร้เงาหมาน้อยสีครีมขาว นายของมันคิดอย่างคนมองโลกในแง่ดีว่า ‘มันคงกลับบ้านไปแล้วล่ะ เราก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว อ้ายจักรยานนี่ก็ขี่ไม่สบายเลย เมื่อยแขน ไหล่ ขาไปหมด'


ถึงบ้าน น้ำตาลหมอบรออยู่ที่เพิง เนื้อตัวเปียกปอน เปื้อนดินสกปรกดูไม่ได้ นายหญิงจูงจักรยานไปจอด ร้องเรียกหากะทิ ไม่มีเสียงตอบ นายผู้ชายซึ่งเป็นค้างคาวชนิดหนึ่ง ทำงานกะกลางคืน หลับกลางวัน พรวดพราดลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วงหมา บ่นพึมก่อนขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปตาม ‘ป่านนี้ คงหลงทาง ถูกหมาใหญ่ไล่ฟัดแล้ว' ‘อ้าว เหรอ นึกว่ามันจะกลับได้เองเสียอีก' นายผู้หญิงซึ่งเคยแต่เลี้ยงหมาบ้าน ๆ กับฝังใจกับหนังหมาแมวเรื่อง Far away Home (จำชื่อไม่ผิดใช่ไหม?) เริ่มรู้สึกตกใจ


ฉันจะทำยังไงถ้าไม่มีเจ้า...กะทิ อ้ายตัวเล็ก ของขวัญวันเกิดลูกสาวที่ติดโบว์สีชมพู นอนหลับมาในย่าม อ้ายตัวจ้อยที่ครางหงิง ๆ นอนหนุนแขนจนหลับทุกคืน อ้ายตัวขนฟูที่ฉันเฝ้ารอ จนท้อใจและยอมรับความจริง แล้วบอกลูกอย่างแสนเซ็งว่า ‘ไม่เป็นไรหรอกนะจ๊ะ ถึงมันไม่ใช่พุดเดิ้ลแท้ และสีก็เปลี่ยนเป็นครีม ไม่ใช่ขาวอย่างที่ลูกอยากได้ แต่มันก็น่ารักนะ มันน่าเอ็นดูยิ่งกว่าหมาตัวไหนในโลก ขนมันไม่หยิกขอดเป็นพุดเดิ้ล แต่ก็ยาวฟูน่ารักไปอีกแบบ ตัวมันก็โตกว่า ดูไม่บอบบาง เป็นตุ๊กตาดีด้วย' ที่สำคัญ มันน่ารัก ฉลาด ขี้อ้อน นัยน์ตาสีดำของมันกลมแป๋วแวววาว และอ่อนเชื่อม ยามค่ำหลังอาบน้ำกินข้าว ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเบาะ กะทิจะเข้ามาหมอบซุก ใช้หัวดุนอุ้งมือ ‘แม่จ๋า ลูบหัวหน่อย คุยกับทิสิ' และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเราจะสัมผัส พูดคุย แสดงความรักใคร่จนกว่าจะพอใจ




นายผู้ชายกลับมาแล้ว ไม่มีวี่แววหมาตัวไหน เขาตะโกนบอกเมื่อเห็นฉันชะเง้อมองทางหน้าต่าง ‘วิ่งตามมาข้างหลัง' ก้อนขาว ๆ กำลังห้อตะบึงมาตามถนนสุดแรงเกิด กะทิมันวิ่งไม่หยุดเลย มันรู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจ หมาดุร้ายในหมู่บ้านพร้อมใจกันวิ่งไล่มัน มันพยายามตามหานายหญิง แต่หมาตัวใหญ่คอยขวางไว้ มันหนีกระเจิดกระเจิง หลงทิศหลงทาง ลอดรั้วชาวบ้าน ผ่านพงหนาม ไม่ว่าจะไปทางไหน ทุกที่มีแต่อุ้งตีนหมาเจ้าถิ่น


กลับจากการผจญภัยสด ๆ ร้อน ๆ กะทิหอบลิ้นห้อยอยู่นานสองนาน กว่าจะลุกไปเลียน้ำกินได้ สักพักก็ตรงไปที่ชามข้าว บ่ายวันนั้น นายหญิงปลอบใจด้วยการอาบน้ำให้ แดดยามบ่ายอุ่นสบายนอกชาน แชมพูขวดใหม่ก็หอมฟุ้ง นายอาบสะอาดถึงสองครั้ง ใช้ผ้าเช็ดตัวถึงสองผืน กับแปรงขน และเก็บหนามกับเกสรหญ้าออกจากตัวมันจนหมดเกลี้ยง


ขอโทษนะกะทิ ฉันจะไม่ปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายอย่างนี้อีกแล้ว ถ้าไม่มีเจ้า โธ่ ไม่อยากนึกเลยว่าจะเป็นยังไง แววตาสุกใสที่จ้องมองมาอย่างจงรัก อ้อมกอดอุ่นนุ่มที่ทดแทนความคิดถึงลูกน้อย เมื่อกอด คุย หรือมองเข้าไปในดวงตาของมัน หัวใจเรากระเพื่อมไหว อบอุ่น บริสุทธิ์ ...เจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่า ผู้คนที่เคยหมั่นไส้ เหมือนเห่อสัตว์เลี้ยง เรียกน้องหมาแมวนั้นรู้สึกเช่นไร



 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เชื่อในพระองค์จึงมุ่งหวังถึงสิ่งดีพร้อม เชื่อในตัวตนบริสุทธิ์ หัวใจสะอาดสมบูรณ์ ...ทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันตั้งใจอย่างดีที่สุด ทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันทำด้วยหัวใจ ถึงอย่างนั้น ภายหลัง มักรู้สึกเสมอว่า ยังมีดีที่สุดมากกว่านั้นรอคอยอยู่ เมื่อได้เห็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวเอง ขี้เกียจ ขาดวินัย หรือว่าเวลาไม่พอ เพราะมัวแต่ไปทำอย่างอื่น น้องชาย ตัวสูงใหญ่ บางถ้อยเผลอไผล วาดหวังเหรียญเงินและเหรียญทองแดง รางวัลชมเชยนั้นไว้คิดถึงมันยามต้องทำใจปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ เมื่อลงแรงลงใจทำสิ่งใด น่าจะใช้หนทางธรรม อยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยม…
รวิวาร
ถ้อยคำทำให้ฉันเต็มอิ่มสดชื่น ถ้อยคำเหมือนฝนโปรยปราย ฉันเขียนถ้อยคำ ทำให้เกิดฝน เขียนตัวเองออกยืนอ้าแขน รับละอองฝนโปรย ฉันอ้าปากเหมือนเด็กน้อย ฝนหยดจิ๋วแตะลงบนลิ้น ความกระหายมากมายไม่อาจดับสิ้น พายุทำให้กระปรี้กระเปร่ามีพลัง พายุสร้างถ้อยคำในตัวฉัน เมื่อพายุพัด สายลมในกายหมุนวน มันได้ยินเสียงกู่ร้อง มันอยากออกไปหาพวกพ้องของมัน มันขับฉัน ผลักไสเท้าทั้งสองให้ออกไปโลดแล่นในทุ่งกว้าง ให้สายลมกรูเกรียวผ่านร่าง บังคับให้ฉันหมุนตัว เต้นระบำกับเกลียวพายุ หัวใจส่งเสียงคำรามเมื่อสายลมกู่ก้องออกจากป่า ลมร้องเริงร่าที่กิ่งไม้ รัวใบไม้แทนระนาดเงินใบเล็ก ๆ พายุโจมตีหลังคา…
รวิวาร
  ฉันรู้ว่า เธอต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและมั่นคง ผู้หญิงคนนั้น สตรีร่างยักษ์ซึ่งเคยก้มลงมายังเธอ ยิ้มอย่างใจดี แววเอ็นดูท้นอยู่ในดวงตา แล้วต่อมา ร่างของเธอกลับยืดสูง ขยายขึ้น เธอตัวสูงกว่าหญิงคนนั้น การรับรู้ของหล่อนเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่หล่อนต้องคอยกางปีกปกป้อง ทว่า ข้างในเธอกลับยังโหยหาวงแขนนั้น เธออยู่ระหว่างการต้องการการอารักขา และการยืนหยัดด้วยตัวเอง เหมือนรอยต่อระหว่างรัตติกาลและสนธยา มืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หล่อนและคนตัวโตอื่น ๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างไร บางครั้งเข้มงวดเหมือนเด็กเล็ก ๆ บางคราวปล่อยปละละเลยเหมือนเป็นผู้ใหญ่…
รวิวาร
ทุกเช้า ฉันตื่นขึ้นมาดูโลกสวยงาม ถอดกลอนประตูบ้าน ก้าวออกมานอกชาน ต้นไม้ภูเขาเขียวแจ่ม น้ำเงินเย็นตา แซมด้วยเหลืองสว่างตามพุ่มไม้ใบหญ้า บานบุรีสีชมพูม่วงผลิบานไม่หยุดจนกิ่งผอมค้อมคล้อย ส่วนลำไยของเจ้านกน้อยทยอยกันสุก ฉันเป็นคนสวน ทำงานอยู่ในสวนอักษร เช้านี้กลับฝันหวานถึงสวนบนดินที่ยังไม่ได้ลงแรง เราจะปลูกดอกไม้ได้ทันหน้าฝนไหมนะ ใจมันเตลิดเพริดไปแล้ว คิดถึงราชาวดี ซอมพอสีส้ม เหลือง ชมพู ไอรีสสีเหลืองที่ต้องไปขอกล้า รวมทั้งว่านสี่ทิศสีขาว กุหลาบสีชมพูอมขาวซึ่งไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมรีสอร์ต เครือออน ไฟเดือนห้ากับดอกอะไรจำชื่อไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตา ลักษณะ ที่อยู่อาศัยได้ติดใจ…
รวิวาร
ลมหนาวยังไม่มาเยือน แต่อาคันตุกะมากหน้าแวะเวียนผ่านมาหลายคราแล้ว ชานหน้าบ้านกลายเป็นที่ชุมนุมคารวะดื่มด่ำภูเขา หมาแมววิ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น เห่าเสียงเครื่องยนต์ไม่คุ้นหู ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นยั่วน้ำลายในโตก ความรื่นเริงของหมู่มิตรอึกทึกแข่งเสียงนกในทุ่งสงัด แนวเทือกเขาซ้อนเหลื่อมชายแดนค่อย ๆ เผยเรื่องเล่าผ่านริมฝีปากพี่ชาย* ย้อนไปตั้งแต่ครั้งที่เรายังเด็ก ยามโถงรับแขกของทุกบ้านมีดอกฝิ่นแห้งประดับแจกัน การแตกแยกอันนำไปสู่สงครามระหว่างชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน การติดตามไล่ล่าข้ามดอย รบพุ่ง ทิ้งซากร่างและเม็ดกระสุนในเขตเชียงดาว ผืนโลกอัดแน่นด้วยเรื่องราว ตามเส้นทางลัดเลาะบนโขดเขาสีน้ำเงิน…
รวิวาร
ฝนมาเพียงไม่กี่ฝนเท่านั้น กิ่งสักโล้นโกร๋นก็ผลิใบกว้าง สีเขียวถูกเทระบายลงแทนสีแดง วันเว้นวันฟ้าหม่นมัว สีเทาดำปื้นเหมือนหมึกฉาบลงบนเมฆในท้องฟ้าก่อนซัดซ่าลงมาเป็นสายน้ำสีขาว เราจ้างคนมาขุดบ่อลึกลงไปอีกเมื่อปลายเมษาฯ ค่าแรงสำหรับตาน้ำใหม่คิดตามอัตราชนชั้นกลางในหมู่บ้าน (แพงกว่าปกติ) เพียงสัปดาห์ผ่าน ฝนกลับกระหน่ำลงมา บ่อเล็ก ๆ ของเราไม่เคยแห้งอีกเลย จากนั้น ลืมๆ เลือนๆ ไปบ้าง แล้วสวนกว้างก็เขียวขจีด้วยพงหญ้า เหมือนที่ภูเขา เรือกสวน ไร่นาและท้องทุ่ง ในตลาดและเพิงหญ้ารายทาง หน่อไม้แรกของปีขาวผ่อง เห็ดเผาะอ่อนๆ เยี่ยมหน้ามาในกรวยใบตองตึง ตามอย…
รวิวาร
  แซงแซวหางบ่วง คืออาคันตุกะตัวใหม่แห่งท้องทุ่งและคาคบ ตัวยาวเรียวสีออกดำ คาบหญ้าแห้ง บินผ่านต้นมะขามที่เพิ่งแตกใบอ่อน ผ่านกอกล้วยกอไผ่ โฉบสูงขึ้นไปบนคบไม้ ทิ้งรอยเรียวหางแฉกยาวไว้เป็นทางไม้ใหญ่หน้าบ้านเป็นอาณาจักรของหมู่นก ฤดูฝน ฤดูแห่งความสมบูรณ์ของพื้นพิภพ นกมากมายบินมาอาศัย เรารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่อยากเปิดหนังสือ ท่องชื่อนกหรือดวงดาว ฉันอยากรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัว จากพฤติกรรมที่เขาสัมพันธ์กับเรา จะได้จดจำกันด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก ‘เธอ’ ไม่ใช่นกเอี้ยงสาลิกา ซึ่งเลิกมาทะเลาะกันบนหลังคาบ้านฉันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นนกขนาดย่อม…
รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก…
รวิวาร
ฤดูกาลแห่งดอกผล .............ก่อนหน้านี้ความไม่รู้พาเราไปอยู่ไหน  ที่เราเห็นคือกิ่งแห้ง ๆ ใบจุด ๆ สีดำ  ทว่า เวลานี้ หลังจากที่ฤดูฝนพ้นผ่าน หนาวจากจาง  ใบใหม่สีเขียวอ่อนงอกแซมตามกิ่งเก่า  สัปดาห์ เดือนผ่าน กระทั่งเข้ม เขียวขลับ  พร้อมกันกับช่อดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน หอมละมุนขจรขจาย  และกำลังจะกลายเป็นผล ...ต้นลำไยที่เคยทอดอาลัย   โมกสองต้นหน้าระเบียงผลิใบใหม่เขียวขจี รายเรียงตามกิ่งก้านคล้ำเข้ม...พี่ชาย ‘ชนกลุ่มน้อย’ มาถึงบ้านพร้อมด้วยเมล็ดกาแฟคั่วบด และค่าเรื่อง  รอยยิ้มอบอุ่นบอกกล่าวถ้อยคำมากมาย  .............
รวิวาร
เหมือนความต้องการไม่รู้จบ ... ยามเช้า จะดีเสียกว่า หากปราศจากเสียงจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน  ฉันต้องการเพียงสรรพสำเนียงยามเช้า  ที่ผู้เป็นเอกคือเหล่านกน้อย  โดยเฉพาะนักร้องนำดุเหว่าแห่งวงมโหรีไม้ใหญ่   เจ้านกส่งเสียงเซ็งแซ่ เริงร่า มีชีวิตชีวาทุก ๆ เช้า  เริ่มรุ่งอรุณอันสดใหม่  แล้วที่เหลือจากนั้น  ขอเพียงเสียงแผ่ว ๆเคล้าระคนจากชีวิตน้อยใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามคบไม้ พงหญ้า   ท้องฟ้าจะได้ค่อย ๆ ซ่านแสงสี  ดวงตะวันจะได้เผยโฉมออกมาโดยปราศจากคนรบกวนเมื่อแรกเห็น  เราดีใจว่าที่นี่ไม่เปลี่ยวร้างเกินไป  ถนนเงียบสงบลาดผ่าน …
รวิวาร
สีแดงมาจากไหน  ล่องหนอยู่ในน่านฟ้าหรือ?...  เริ่มละเลงลงบนใบหูกวาง ชมพูแซมแทรกด้วยแดง  ระบายจุดสีคล้ำตามใบ ก่อนเคลือบด้วยน้ำตาล  ฤดูกาลคืบคลานมาช้า ๆ  อากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงขีดสุดกลางเดือนเมษาฯเหยี่ยวดำคู่ผัวเมียแห่งเชิงผาหายไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ดุเหว่าร่อนร้องทั้งยามเช้าและเวลาเย็น ...กาเว๊า ๆ   เหยี่ยวทุ่งสีขาวเทาเยี่ยมหน้า  โฉบร่อนตามแนวถนน  บนกิ่งไม้และเหนือทุ่ง   ผืนดินเริ่มแห้ง  ต้นหญ้าสลดเฉาดุจเดียวกับพืชผล  มะเขือเทศข้างร่องน้ำผลิลูกเล็ก ๆ สีอ่อน ไม่ทันไรก็สุกแดง แห้งเหี่ยวหมดทั้งต้น  …
รวิวาร
นับแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เรารู้จัก  ฉันรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์  คนบางคนเหมือนสิ่งไม่คาดฝัน  อยู่ตรงหน้า พบเห็นเจนตา  ทว่า เมื่อคลี่เผยตัวตนออกมากลับงดงามยิ่ง................................................................พี่ดีใจที่ได้รู้จักและสนิทสนมกับน้อง  แม้ว่าสายตาหลายคู่ที่มองผ่านอาจเห็นเพียงหญิงสาวกะโปโลเริงร่า   ทว่า พี่ได้พบหลายสิ่งหลายอย่างไม่ธรรมดาในตัวน้อง