Skip to main content

น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...

ทั้งคนแหละต้นไม้ ต้นไม้ของเราที่พอทนได้ต่างยืดอกต้านทานความแล้ง ส่วนพวกที่ฝากฝังไว้ในกระถาง ต้องรองน้ำอาบน้ำใช้ไว้รินรดต่อลมหายใจ ภูมิอากาศรุนแรง เกรี้ยวกราดไร้น้ำใจ เราเหมือนปวกเปียกอ่อนแอลง สายพันธุ์มนุษย์ผู้บอบบาง อักเสบ ไอ และกระวนกระวายด้วยความร้อน

วันก่อน ฉันหลุดปากไปไม่ทันคิด... ชีวิตกำลังแผดเผาข้า แล้งไปหมดเช่นนั้น ติดขัดไปเสียทุกสิ่ง ลึก ๆ ในใจรู้ดีว่าฝนเดือนพฤษภาฯยังรออยู่ ฤดูฝนกำลังจะมา เราจึงยังหวัง การงานยังคงรอคอย งานย่อมหล่อเลี้ยง คนต้องอาศัยปัจจัยสี่ต่อชีวิต อดใจรอให้ทุกอย่างคลี่คลาย ดังที่หมอกควันสีเทาส้มแสบตาซึ่งเคยบดบังขุนเขาใหญ่มลาย ไฟป่ามีนาฯลุกไหม้สูงถึงชั้นหินปูน เผาผลาญพืชพันธุ์ล้ำค่าหายากหนึ่งเดียวในโลก ทว่าพายุฝนที่พัดผ่านก็ปัดเป่าท้องฟ้าใสโปร่ง ภูเขาเขียวขึ้น แมกไม้สว่างไสวสดชื่นกลืนคลายรอยแผลสีน้ำตาลไหม้ของขุนเขา ธรรมชาติเยียวยา ฟื้นตัว

พี่สาวใจอารี คุณแม่เพื่อนลูกพาฉันไปเสาะหาธารน้ำ เธอบอกว่าสายน้ำน้อย ๆ ที่ไหลซอกซอนผ่านไร่นานี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการซักเสื้อผ้าชำระล้างแก่เราได้ สายธารจิ๋วแจ๋วแวววาวไหลเลาะบิดตัวโอนอ่อนไปตามพงหญ้า หมู่ไม้ชายน้ำ มันหายใจออกมาเป็นมวลอากาศที่เมื่อสูดเข้าไป ความชุ่มชื้นกำซาบอก ผิดกับอวลไออากาศแห้งผากที่สากไหม้ระคายคอ

เราจะไปที่นั่นกัน ที่ซึ่งยังจิตใจและร่างกายชุ่มชื่น สถานที่แห่งภายนอกและภายใน หล่อเลี้ยงสายธารของเราไว้ ขอเพียงอดทนทำจิตใจเยือกเย็น ในวาระที่ดวงตะวันลอยร่อนลงมาใกล้ที่สุด อย่าเพิ่งยอมแพ้ มนุษย์จักต้องไม่พ่ายแพ้โดยง่าย ไม่ว่าความร้อนนั้นจะมาจากไหน เล็กน้อย ใหญ่โต หรือแผ่กว้างเพียงใด กอบเก็บความรู้ที่เรามีอยู่ หาหนทางแก้ไข ในกระท่อมหนึ่งหลัง หัวเมืองเล็ก ๆ หรือประเทศชาติวุ่นวายน่าอิดระอา แม้จะดูน่าสิ้นหวัง แต่มันก็ยังไม่ถึงกับพินาศวอดวาย เราเริ่มต้นใหม่ได้ แม้บางเวลานิ่งอั้น สับสนมึนงง แสงสว่างจางไป เรายังมีชีวิตอยู่ สูดลมหายใจ...

change และ chance เรามีโอกาสอยู่แล้วที่จะเปลี่ยน แหละหากเรายอมเปลี่ยนเราก็ยังพอมีโอกาส เราปล่อยให้คนโง่คนโลภชักจูงมากเกินไปหรือ หรือว่ายอมให้พวกเขาปิดปาก? บางทีคนเล็กน้อยของโลกอาจไม่จำเป็นต้องรอ ถึงจะยากเย็นขวางโลกเพียงไร เราจำต้องเปลี่ยนแปลง

วันที่โลกหยุดนิ่ง (ภาพยนตร์- when the day the earth stood still) บอกว่า มนุษย์หมดโอกาสแล้ว เพราะหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดคือ ที่ผ่านมา คุณตั้งหน้าตั้งตาทำลายโลกและเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตในอัตราเร่งที่เร็วเหลือรับ จนกระทั่งธรรมชาติไม่อาจแก้ไข

แต่นั่นเป็นเพียงภาพยนตร์ และดาวแต่ละดวงไม่มีสิทธิก้าวก่ายแทรกแซงกันและกัน โอกาสยังเป็นก้อนคลื่นแป้งอุ่น ๆ อยู่ในมือของเรา

....................................


โอ้ โอกาสเอ๋ย ฉันหวังว่าเธอจะฉ่ำเย็นเหมือนสายน้ำ ชำระล้าง หล่อเลี้ยง เย็นชื่น และทำให้ฉันงอกงามดุจต้นไม้ เจ้าความเป็นไปได้ซึ่งหมุนวนอยู่ในอากาศน่านฟ้า ซึ่งฉันจินตนาการว่าวิเศษดุจผงละอองภูต ที่จะช่วยเยียวยาบาดแผล ความเจ็บปวดสับสน ความอ่อนแอขลาดเขลาและทัศนคติผิด ๆ ที่เรามี ทำให้เราแตกยอดทอดกิ่งก้าน ผลิใบเขียวสดแผ่พลังชีวิต


ฉันอยากเห็นดอกไม้ที่เบ่งบานออกมาจากตัวฉันเอง อยากลิ้มชิมผลหวานที่สุกงอมเปล่งปลั่ง ขณะเดียวกัน แบ่งปันลิ้มชิมดอกผลภายในของเพื่อนมนุษย์.....

 

 

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
เธอ*ควานหาเสียงซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ได้มีอยู่ในตัวเธอ เรียกหามันด้วยกระบวนการ วิถี แนวทางแห่งศาสตร์การแสดง จวบจนกระทั่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับกลาย ไม่ใช่เธออีก เธอควานหาพายุพยาบาท ไฟแค้น โศกนาฏกรรมบีบคั้นหัวใจชนิดที่ทำให้คลั่ง ซึ่งเธออาจไม่ประสบเท่านั้นในชีวิต โยกย้ายมันจากอากาศ ผ่านความเจ็บช้ำของผู้คน ระเบิดมันออกภายในร่าง จนกระทั่งปรากฏผ่านแววตา สีหน้า ท่วงทีกิริยาทุก ๆ ทาง
รวิวาร
ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน... จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ
รวิวาร
 หัวใจของฉันไม่อาจแยกขาดจากร่าง ร่างกายที่กระทำการโดยปราศจากดวงใจขับเคลื่อนไปชั่วครู่ชั่วยาม ระหว่างดำเนินกิจกรรมนั้นไม่รู้สึกตัว ถูกครอบงำเต็มเปี่ยม มุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ปรารถนา หยุดนิ่งทันทีเมื่อถึงที่หมาย "ฉัน" มีอยู่ในมิติกว้างใหญ่ ใช่เพียงแค่กาย-องคาพยพอิ่มหิวหลับนอน อยากคลายหายอยาก ไม่รู้หรอกว่าวิญญาณคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความรู้-รู้สึกลึกล้ำ ส่วนหัวใจนั้นมีอยู่แน่แท้ หัวใจที่ทำให้ความรู้สึกดื่มด่ำ วาดรูป แต่งเพลง เขียนบทกวี มองเห็นความงามของสรรพสิ่ง งามที่ปวดร้าวในโลกแห่งความเป็นจริง งามบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงในธรรมชาติ งามประณีตวิจิตรจากศิลปะ งามปัญญาแห่งธรรม
รวิวาร
น้ำ เราต้องการน้ำกันมากเหลือเกิน ทั้งน้ำดื่ม น้ำอาบ น้ำใช้ น้ำเย็น ๆ ใสสะอาด หอมหวานชื่นใจ น้ำใต้ดินเจือกลิ่นแร่ กรวดทราย หวานหอมแตกต่างกันไปแต่ละที่บนโลก ไม่จืดสนิท หรือแปร่งปร่าเช่นน้ำดื่มจากขวดหรือน้ำประปา ...
รวิวาร
ปีเก่ากำลังตายจาก ปีกาลใหม่คล้อยเคลื่อนมา นำหน้าด้วยขบวนทวยเทพ เทพีสงกรานต์ผู้สาดน้ำชะโลก ล้างแล้งด้วยพายุฤดูร้อน มนุษย์รับช่วงขัดถูบ้านเรือน ซักผ้า ชำระคราบไคลในวันสังขารล่อง...
รวิวาร
ตั้งหลักสมัครสมานกับผืนดิน (2552)มกราฯ : วุ่นรับแขกหลายคณะ ไม่เกิดฉันทะพอที่จะจับจอบกุมภาฯ : อา...โกยหญ้า ขุดดินขึ้นมากอบกำ ในที่สุดก็ผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง เราและผืนดินสำรวจสวนไม้ผล -มะม่วง หลังจากรดน้ำสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยขี้วัวและคลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ไชโย! มะม่วงมหาชนกอายุ 3 ปีที่โรงรถติดลูกจิ๋วหลิวน่ารัก ต้นข้างห้องนอนเชนแตกยอดอ่อน สุขภาพดีขึ้น-ต้นหม่อน (มัลเบอรี) ออกลูกเยอะกว่าปีที่แล้ว ลูกโตขึ้นด้วยถึงแม้จะไม่เท่าต้นแม่ที่ตัดกิ่งมาปักชำ เราใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกับต้นอื่น ๆ ระหว่างรดน้ำก็คุย ขอบคุณ และชื่นชมเขาไปด้วย ปิดเทอมนี้ น้องธารคงได้เอื้อมเด็ดใส่ตะกร้าใบน้อย-มะยม,กะท้อน เพิ่งปลูก…
รวิวาร
สรุปผลแผ่นดินโดยสังเขป (2551) ผลผลิตที่โดดเด่นที่สุด : ลำไยจำนวน : ประมาณ 15 ต้น (เคยนับแต่จำไม่ได้แน่ชัด)
รวิวาร
 ฉันรอเหมือนต้นไม้ต้นนั้น เหมือนสิงห์ดักซุ่ม เหมือนกระต่ายน้อยรีรอระแวดระวังต่อหน้าแปลงผัก เหมือนเหยี่ยวบินวนกราดดวงตาแหลมคมจากฟ้าสูง ความปรารถนามีอยู่ทุกวินาที บางครั้งราวกับความคลั่งไคล้ใหลหลงในอันที่จะเนรมิตสิ่งต่าง ๆ มองต้นไม้ที่ปลูก ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างการเขียนระบายสิ่งอัดอกกับหยิบจอบพรวนดิน อันไหนสั่นไหวแรงกล้ากว่ากัน แต่กับหนังสือนั้น ยกประโยชน์ให้จำเลย ด้วยถือว่ามันเป็นรองการเคลื่อนไหว หายใจ เช้า อ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม ดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำ ฉันอ่านไปครึ่งเล่ม แล้วจะเป็นไร หากจะอ่านอีกครึ่งที่เหลือ ระหว่างรอสายยางให้น้ำ
รวิวาร
น้ำตาล ไม่ใช่น้ำตาลที่เข้าคู่กับกะทิแล้วรวมตัวกับฟักทองหรือกล้วยน้ำว้ากลายเป็นแกงบวดหอมมัน แต่มันคือหมาน้อยตัวหนึ่งซึ่งสามารถเสกฝนได้ หากฝนที่โปรยปรายเป็นสายจากตัวนั้นเป็นห่าหมัด ไม่ใช่สายน้ำเย็นฉ่ำ มันเป็นสุนัขจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายเล็ก ๆ ทอดสู่หุบเขาผาแดง ลูกหมาสีน้ำตาลพองฟูเดินต้วมเตี้ยมอยู่ตรงขอบถนนจวนเจียนจะถูกเฉี่ยวชน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นนายของมันกระโดดผลุงลงจากกระบะหลังซึ่งสมัครพรรคพวกนั่งกันอยู่หลายชีวิต โอบอุ้มมันขึ้น จากนั้นไม่กี่นาทีฝูงมนุษย์ก็พากันกระถดหนีไปกองอยู่มุมเดียว ด้วยเกรงกลัวฝนสีดำแสนคันจากลูกสุนัขน้อย
รวิวาร
เช้านั้นไม่เหมือนเช้าอื่น ๆ แต่เป็นวันที่กะทิ ลูกหมาน้อยต้องจดจำไปชั่วชีวิต นายหญิงของมัน ผู้ซึ่งตะก่อนร่อนชะไรเคยตื่นแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวนี้เมื่อไม่มีภาระดูแลลูกหญิงน้อยเริ่มตื่นสายขึ้น กะทิเองก็เช่นกัน ก็อากาศหนาวออกอย่างนั้น กว่าตะวันจะโผล่พ้นม่านหมอกก็สายโด่ง นอนซบพี่หมี ตุ๊กตาสีน้ำตาลขนฟูเพื่อนเก่าที่เด็ก ๆ ยกให้ อุ่นสบายกว่าถึงจะสาย แต่อากาศยามเช้ายังยะเยือก เย็นสบาย แทนที่นายหญิงจะถือสายยางไปรดน้ำต้นไม้ เธอกลับฉวยย่ามม้งใบน้อย ทำท่าจะออกไปข้างนอก กะทิลุกขึ้น ส่งเสียงเห่าบอกน้ำตาลทันที ‘ปะ เราไปวิ่งไล่ตามมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า ดูซิว่า วันนี้เธอจะไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา…
รวิวาร
หากใครคิดว่าที่นี่มีเพียงนกน้อยเสียงใส สัตว์โลกน่ารักและวิวงาม ๆ นั้น เขาเข้าใจผิดแล้ว จริงอยู่ นกน้อยสารพันขานรับอรุณ ปลุกเราแต่เช้า ดุเหว่าร้องเสียงใสเวลาใกล้รุ่ง บ่าย นกทุ่งส่งสำเนียงเจื้อยแจ้ว ไพเราะจนไม่ต้องง้อดนตรีของมนุษย์ เย็น เมื่อแดดแสดงลีลาเหนือขุนเขา อีกาพร่ำร้อง กาๆ กระปูดร้องปูด ๆ เตือนพลบ บางวันเหยี่ยวร้องบนฟ้าสูงไกล วู๊ ๆ เสียงใสเหมือนเด็กน้อย ขณะนกกินปลาตัวใหญ่สีขาวบินโฉบต่ำ ๆ ลิ่วลงหาปลาในสระ
รวิวาร
ทั้งเสียงไวโอลิน หนังสือและหลายสิ่งที่ชีวิตเก็บเกี่ยวตกค้างอยู่ภายในทำให้รู้สึกปวดร้าว ปวดแบบแปลบ ๆ หนึบ ๆ และร้าวรอนราวกับหัวใจบอบบางเหลือแสน ความเศร้าอันอ่อนหวาน ไม่อาจหักห้ามบังคับ ทุกคราวที่ไวโอลินโหยไห้หวนหาของซีเคร็ตการ์เดนแว่วดังขึ้น ขณะเปิด บัลซัคกับสาวน้อยช่างเย็บผ้าชาวจีน1 หน้าสุดท้าย หนังสือที่เขียนโดยคนสีไวโอลิน คลอด้วยเสียงไวโอลิน หัวใจร่วงร้าวโดยไม่ตั้งใจ ขยับตัวไม่ได้ เบื้อใบ้ ปากปิดสนิท