Skip to main content

ก็เพราะในชีวิตมีความเศร้า หรือชีวิตมีอีกชื่อเรียกว่า ทุกข์เศร้า คนจึงรานร้าว ดิ้นรนแสวงหา และเสียดทานภายในไม่หยุดหย่อน...

จนกว่าจะปลดเปลื้องถึงอิสรภาพได้นั่นละกระมัง คุณน้อยคิดว่าอย่างนั้นไหม? ... สวัสดีปลายพฤษภาค่ะ

สำหรับฉันเอง ‘เศร้า' ในที่นี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ กิเลสหรือแรงขับที่ทำให้เรามุ่งมั่นคิดทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะชั้นหยาบ-ละเอียดล้วนคือเครื่องเศร้าหมองเมื่อใจเราผูกติดกับผลหรืออุปสรรค (เราก็เป็นอย่างนั้น จะให้ปล่อยวางทุกขณะจิตได้อย่างไร) ส่วนความหลุดพ้นหรือนิพพานย่อมเป็นอิสรภาพอันหมดจด ฉันเองอยู่ที่นี่ รอบข้างแวดล้อมด้วยธรรมชาติ งดงามจนไม่ปรารถนาสรวงสวรรค์ ประกอบการงานที่รัก เชื่อมั่นว่ามีคุณค่า บางครั้งในจิตใจก็ยังดิ้นรน แม้ไม่ใช่เรื่องเดียวกับคนหมู่มาก แต่ก็เสียดทานขัดแย้งในตัวอยู่ดี

ฤดูร้อนที่ผ่านคล้ายยาวนาน ฉันเดินทางระยะสั้น ไปนู่นมานี่ เมื่อออกจากฐานที่มั่นของใจ กลับมาตั้งหลัก ต้องบริกรรมใหม่ ใจจึงจะแนบเนื่องในงานที่คั่งค้างอยู่ มีเรื่องราวมากมาย หากไม่กล่าวแจกแจงเป็นรูปธรรม สาระภายในก็คงไม่ต่างกับรายละเอียด ธุระปะปังในชีวิตปุถุชนคนอื่น หรือคุณ


แปลกนะ แกงส้มดอกแคของคุณสะกิดเรียกอย่างแรง ทำให้ฉันอยากเขียนถึง มันก็เหมือนกับกุญแจดอกอื่นนั่นแหละ หลายรูป ต่างวาระ กลิ่นสบู่หอมที่คล้ายกลิ่นธูป สูดดมช่ำปอด อิ่มใจและหวนระลึกถึงบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ดอกไม้เล็ก ๆ บนลายผ้าน่ารัก ทำให้นึกถึงตอนเรายังเด็ก กลิ่นข้าวหลามที่กำลังสุมไฟข้างใต้กับความถวิลหายาย แกงส้มดอกแคที่ปลูกข้างท้องร่อง กับปลาหมอจากน้ำสีซาวข้าวข้างล่าง โอ้ สวรรค์บ้านนาชัด ๆ คุณทำให้ฉันรู้สึกหิวขึ้นมาติดหมัด พานนึกถึงต้นแคที่ปลูกแล้วตายมาสองปี กิเลสใหญ่ใจร้อนรนของฉันเวลานี้คือเรื่องพืชผลนี่แหละ รู้ทั้งรู้ต้องสงบ รอคอย ใส่ปัจจัยเพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ ทุกข์เพราะคิดว่าตนคือผู้กระทำกับนิสัยใจร้อนแก้ไม่หาย ออกแบบ วางแผน มุ่งมั่น เข้ากระทำอย่างตะวันตก ทั้งที่ชีวิตแสนจะเป็นตะวันออก ไม่เคยยอมให้ควบคุม นอกจากสอดคล้องยอมตามไปกับมัน ใจมันอยากปลูกผักกินได้ให้ขึ้นเต็ม เบื่อเต็มทีกับการใช้เงิน ก็คุณลองคิดดูสิ ถ้าไม่ต้องใช้เงิน ชีวิตจะเบาขึ้นสักเพียงใด (ไม่ต้องกินยิ่งสบาย) ยิ่งทุกวันนี้ฉันเสียนิสัย ไม่อาจทำงานโดยมีเงินเป็นตัวตั้งได้


สองสามวันก่อน ฉันไปอ่านบทกวีกับน้อง ๆ ชมรมวรรณศิลป์
1 มา กวีเขียนลายมือบทนั้นน่ะแหละ เป็นการอ่านออกเสียงครั้งแรก โดยมีความรู้สึกลังเลในใจด้วย เพราะคิดว่าหน้าที่ของตนจบแล้วตั้งแต่จารอักษรตัวสุดท้าย ไม่รู้ว่านักเขียนคนอื่นจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า แต่คนแถวนี้เขียนเสร็จก็จบแล้วในความรู้สึก คร้านแม้กระทั่งจะส่งไปให้บ.ก พิจารณา ประมาณว่าพระเจ้าสั่งก็เขียน เขียนเสร็จก็ให้พระเจ้าอ่าน แค่นั้น


ได้พบครูคำรณ
2 ด้วย พร้อมความรู้ความเข้าใจหลังจากไปแบบสงสัย ๆ ทำไมเราต้องมาอ่านบทกวีด้วยนะ? (อันนี้ไม่เกี่ยวกับกวีที่เขาอ่านตามธรรมชาติความรักชอบของเขานะ) ได้รับฟังคำแนะนำอันมีค่าเกี่ยวกับการสื่อสารตัวบทออกมา พร้อมคำตอบว่า ในฐานะคนเขียน แม้ไม่จำเป็นว่าจะต้องอ่านหากไม่รู้สึก ทว่าบทกวีนั้นมีชีวิต มีท่วงทำนอง เหมาะต่อการเปล่งเสียง สามารถนำไปสื่อสารผ่านน้ำเสียง เป็นชีวิตใหม่ เกิดการตีความใหม่ได้ อืม วันใดที่ฉันขี้อายน้อยกว่านี้ และอ่านบทกวีได้ลึกซึ้งเท่ากับห้วงภาวะขณะเขียน แลกเปลี่ยนกับผู้อื่นบ้างก็คงไม่เสียหายอะไร


อยู่ใกล้ปราชญ์นี่วิเศษจริง นอกจากอาจารย์คำรณแล้ว ที่ผ่านมา ฉันยังได้ไปฟังอาจารย์นิธิ
3 พูดถึงความสำคัญของการอ่านด้วย น้อยครั้ง และคงจะน้อยคนที่เราจะพบผู้รู้ซึ่งช่วยให้ความคิดที่เรามีอยู่อย่างกระจัดกระจาย ชัดเจนและเรียงตัวเป็นระเบียบ ใช้การได้ การหายโง่นั้นเป็นความสุข ความอิ่มใจอย่างหนึ่ง กับมิตรเราเพียงแค่แลกเปลี่ยนมุมมอง ทัศนะ ในฐานะผู้ไม่รู้ อิ่มใจที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน แต่กับปราชญ์ เราได้ปัญญา ความกระจ่างกลับบ้าน ได้แรงเทียนเพิ่มขึ้นสำหรับส่องทางในโลก คนเราจะดุ่มเดินในความมืดได้อย่างไรถูกไหม มันเสี่ยงต่อสัตว์ร้าย หลุมบ่อ หุบเหว ความตายและหายนะ


ฉันพูดเรื่อยเปื่อยไปไหมเนี่ย พักหลังมานี้ ห้ามตัวเองไม่ค่อยอยู่ เที่ยวได้แต่เขียนไปตามอำเภอใจ หวังว่าจดหมายฉบับนี้คงไม่น่าเบื่อเกินไปนะ


เช้านี้รู้สึกเศร้าๆ ยังไงไม่รู้ ไม่ได้มีเรื่องราวให้เศร้าหรอก เมื่อถึงวันหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่ จัดการกับตัวเอง วางแนวทางชีวิตไปตามสมควร ก็ไม่ได้มีสิ่งสะเทือนอารมณ์นักหนา แต่เจ้าความเศร้าเล็ก ๆ ลึก ๆ ซึ่งไม่ค่อยรู้ที่มานี้กลับยังคงอยู่ ท่ามันจะเป็นความเศร้าประจำชีวิตที่ว่าไว้ตอนแรก แต่..สมมติเป็นคุณจะเศร้าไหม? ถ้าได้ยินว่า เด็กหนุ่มต่างถิ่นเขม่นหน้าหนุ่มน้อยนักเรียนม.ปลายชาวเชียงดาว ถอยรถเก๋งทับสามครั้งเละคาที่ในวันวิสาขบูชา หรือได้พบมิตรรุ่นเยาว์ มองเข้าไปในดวงตาเพื่อนวัยแสวงหา แลเห็นความเจ็บปวดรุ่มร้อน ซึ่งไม่มีผู้ใดอาจเยียวยา นอกจากกาลเวลา ความเข้าใจ และตัวเขาเอง


ฉันก็เศร้าไปอย่างนั้นแหละ พบพานผู้คน เรื่องเศร้า แลไปในสังคมที่ดูมีอนาคตน่าเศร้า มองตัวเองแล้วเศร้า โลกที่งดงาม หัวใจที่โปร่งเบาอิสระเป็นเรื่องต้องฟันฝ่า


แต่มันก็มีความเบิกบานด้วยเช่นกัน นอกจากธรรมชาติแล้ว ยังมีความอบอุ่นแห่งน้ำใจผู้คน นอกจากได้ใกล้ปราชญ์แล้ว ฉันยังได้พบนักบวชด้วย สหายบรรพชิตดูไม่มีห่วงกังวลสิ่งใด เต็มไปด้วยเมตตาและอารมณ์ขัน ซึ่งกว่าจะเป็นเช่นนั้น ผ่านการตรากตรำทรมานตัวเองนานนับสิบ ๆ ปี


คุณป้าหน้าบ้านหลังเก่าก็เอามะม่วงมาฝากตั้งหนึ่งตะกร้า ป้าแก่แล้วไม่มีลูก แต่ใจดีน่ารัก ลูกหลานคอยอยู่ใกล้ เฝ้าดูแลไม่ห่าง แกยังแนะนำให้ฉันห่อมะม่วงมหาชนกไม่กี่ใบที่บ้าน บอกว่าสุกแล้วแก้มจะแดงสวย


ว่างแล้วก็มาเยี่ยมละกันคุณน้อย บ้านฉันไม่มีอะไรหรอก มีลำไยนิดหน่อย กล้วย อ้อย มะม่วง แต่ภูเขานั้นยิ่งใหญ่มาก เช่นเดียวกับท้องฟ้า หลังกลับจากเมือง ถึงบ้านเท่านั้น เขาแผ่คลื่นความสงบ ความสุข กว้างใหญ่มาหาเราฉับพลัน...


ให้ธรรมชาติเรียก ปลุกธาตุภายในที่ดีงามเบิกบานของเราออกมา เพราะความเศร้าทุกข์แห่งโลกย์นั้นรัดรึงเรามากไปแล้ว ...


ระลึก

รวิวาร

  • 1งาน "บทกวี:จากโลกส่วนตัวสู่โลกสาธารณะ" 16 พ.ค 52 ร้านสามัญชน จ.เชียงใหม่ โดยชมรมวรรณศิลป์ ม.ช

  • 2อาจารย์คำรณ คุณดิลก ครูละครผู้ก่อตั้งพระจันทร์เสี้ยว

  • 3อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ครูประวัติศาสตร์-ปราชญ์สยาม-ศัตรูตัวฉกาจผู้บ่อนเซาะความงมงายแห่งชาติ

บล็อกของ รวิวาร

รวิวาร
ฉันคงเคยทำคุณความดีมาบ้างกระมัง จึงได้รับน้ำใจไมตรีมากมายเพียงนี้ ... เธอมาพร้อมกับมิตรภาพแสนอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงแจ้วๆ กับการกระโดดโลดเริงร่าของเด็ก ๆ เพื่อนทุกคนมาเยี่ยมเราที่ตูบตีนดอยพร้อมด้วยความมั่นคงทางอาหาร จากจิตใจที่ห่วงใยและยอมรับในวิถีที่เราเป็น รอยต่อระหว่างปี มีขนมมากมายในบ้าน เครื่องดื่ม กาแฟ ของฝากของแห้งที่แทบจะไม่มีที่เก็บ เรานำกาแฟสดแสนอร่อยของฝากจากเพื่อนมาชงเลี้ยงเพื่อนทุกคน ทั้งที่มาค้างและผ่านทางแวะเยือน ข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยนั้นนำมาปิ้งย่างแบ่งปันกันกิน หุย... ของที่เธอนำมานั้น มันมากจนฉันรู้สึกว่าน้ำใจของเธอ(…
รวิวาร
เด็ก ๆ คือคนตัวเล็กที่แสนงาม ในบรรดาผู้มาเยือน เด็กน้อย สาม สี่ ห้าหรือหกขวบ คือแขกที่ทำให้ผู้เหย้าอย่างเราสดใส มีความสุข เราไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นลุงป้าตายายที่เฝ้าจดจ่อรอคอยการมาเยือนของลูกหลานเสียแล้ว หนูมายาเพิ่งมาและกลับไป หนูนานาเข้าโรงเรียนแล้ว แต่อีกไม่นานพ่อกับแม่ของเธอก็จะมาเยี่ยมเยือน แล้วเมื่อปีใหม่มาถึง หนุ่มน้อยพีพี หลานน้อยตัวขาวแก้มยุ้ยก็จะมาหา เดาได้เลย เขาต้องพาน้องกุ๊กกิ๊ก ตุ๊กตาแมวน้ำตัวเก่าขะมอมขะแมมมาด้วย น้องกุ๊กกิ๊กที่เปื้อนน้ำลาย และเจ้าของเที่ยวยื่นไปชิดจมูกใคร ๆ พร้อมกับคำยืนยันจากปากแดงย้อยว่า ‘หอมนะ ๆ หอมไหมล่ะ?’  
รวิวาร
ความรักยกเราขึ้น ติดปีกเหนือทุกข์ในปรากฏการณ์...ความรู้สึก เราคือผู้คนแห่งความรู้สึก ความเครียดเต็มสองแผ่นหลังไม่เบาบางด้วยการคิดพิจารณา จิตใจมีกำลังเมื่อ ความรักหลั่งไหลมา ความหวังเรืองรองตามติด เรื่องราวยากยิ่ง เหมือนไร้ทางออกดูเล็กน้อยลง ขอบคุณที่มีความรัก ขอบคุณที่มีคนรัก ขอบคุณที่โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า รัก ฉันขอขอบคุณจากหัวใจสำหรับใครคนหนึ่งซึ่งอยู่เคียงข้างและมอบความรักกว้างใหญ่ให้แก่ฉันเสมอ รักอดทนและรอคอย รัก ขัดเคือง ไม่พอใจ หากยังรีรออยู่ เงี่ยหูฟังคำอธิบาย อดทนทำความเข้าใจ เพราะเชื่อมั่นในเนื้อแท้ บนพื้นผิวของความกราดเกรี้ยว ทะเลาะเบาะแว้ง…
รวิวาร
ความรู้สึกหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ขับเคลื่อนเราอยู่ เหมือนสายโลหิตแห่งความปรารถนา ... เธอมา นั่งอยู่ตรงนี้ เขามาและจากไป คนกลุ่มใหญ่ผ่านมาแล้วผ่านไป จังหวะบรรเลงแตกต่าง นึกถึงสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ มันคืออะไรหนอ หลายคนเขียนหลายสิ่ง... สร้างงาน พวกเขาเรียกมันว่า การทำงาน แต่เธอ เธอไม่รู้เลยว่า วันแต่ละวัน เช้าแต่ละเช้า สิ่งซึ่งไหลเวียนอยู่ อึดอัด กระสับกระส่าย ดิ้นรนและปรารถนา หาหนทางหลั่งไหลนั้นคืออะไร เธอไม่รู้ เธอเฝ้าแต่รอคอย พล็อตต่าง ๆ มีอยู่ สมองไม่เคยหยุดเรียบเรียง วางแผนความคิด แต่แล้ว เจ้าสิ่งนั้น ที่บงการอยู่ข้างในไม่เคยเออออไปกับการกำหนดสั่งการ เธอพยายาม เงี่ยฟัง…
รวิวาร
ฤดูหนาวนำความสุขมากมายเหลือจะกล่าว สายลม ก้อนเมฆ ท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป โลกอบอวลด้วยสีสันและกลิ่นหอมอย่างใหม่ ไม่ทันไร หน้าหนาวเวียนมาอีกครั้ง เสียงหมอกกลั่นเป็นน้ำค้างหยดเปาะแปะลงบนใบไม้ เสียงลมแห้ง ๆ กรูเกรียวผ่านทุ่ง ฉันอยู่ที่นี่จนกระทั่งฤดูกาลเวียนมาครบรอบแล้วหรือนี่ งานเขียนขนาดย่อมสองสามชิ้นทำให้ลืมกาลเวลา เราหยุดกิจกรรมกับผืนดินไปตั้งแต่กลางฤดูฝน หญ้าดวงดาวแห่งอัฟริกา (อัฟริกันสตาร์) หญ้าคอมมิวนิสต์ โตพรวดพราด สูงท่วมหัว เมื่อมองมุมกว้างจากถนน สวนรอบข้างดายหญ้าโล่งเตียน แต่ที่ล้อมรอบบ้านหลังคาเขียวซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวนี้คือ กองทัพต้นหญ้า…
รวิวาร
ดอยหลวงเชียงดาว แนวเทือกทิวหินปูนสูงต่ำเหยียดตัวมาจากหิมาลัย หากผ่านเมืองไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฝาง จู่ๆ จะพบขุนเขาก้อนทื่อผุดขึ้นจากขอบฟ้าตะวันตก แต่หากหยุดแวะเชียงดาว เมืองน้อย ๆ สัญจรไปตามทิศทางแตกต่าง รูปลักษณ์ที่ประจักษ์ต่อสายตาจะเปลี่ยนไป ขุนเขาลูกนั้น บนก้อนที่ดูเป็นมวลเดียวกัน จากทางเลี่ยงเมืองหรือตำบลแม่นะ ดอยหลวงแยกตัวให้เห็นเป็นสามยอด ดังคำเรียก ขาน ‘ดอยสามพี่น้อง’ เลี้ยวซ้ายมาทางตูบตีนดอย บ้านทุ่งละคร ภูเขาเผยโฉมหน้าอีกเสี้ยวหนึ่ง ไม่แยกยอดเด่นชัด แค่พอแลเห็น แล้วหากเดินทางวกย้อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เที่ยวน้ำพุร้อน บ้านยางปู่โต๊ะ ขุนเขาชะโงกง้ำ ก้มหน้ามาใกล้…
รวิวาร
ตลาดแห่งนั้นเงียบ เป็นระเบียบและเย็นฉ่ำ ไม่มีคนขายนั่งประจำอยู่หลังกองสินค้า มีเพียงพนักงานเก็บเงินคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ประตูทางออก เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ กล่อมเกลาบรรยากาศ ข้าวของมากมายเรียงรายอยู่บนชั้นสูง ยืนเข้าแถวราวกับทหาร ระหว่างชั้นแต่ละชั้นเกิดช่องลึกยาว พอเหมาะพอเจาะสำหรับเด็กๆ เล่นซ่อนหา... เรามาจากโลกข้างนอก ออกมาจากพาหนะคู่ชีพบุโรทั่งที่คอยรับใช้มาอย่างซื่อสัตย์ จึงไม่กล้าบ่นที่แอร์ไม่เย็น และฝนสาดเปียกปลายผมเพราะกระจกหน้าต่างไม่อาจปิดสนิท (... ขอบคุณนะที่พาไปทุกที่ ไม่รู้เจ้าจะน้อยใจหรือเปล่าที่บางครั้งฉันก็แอบฝันถึงรถคันใหม่อยู่เหมือนกัน)
รวิวาร
การผ่อนพักอันยาวนาน มืดและเงียบสงบ ในวงล้อมของหมู่ไม้ ได้ยินเสียงสัตว์เล็กๆ และการไหวตัวใต้พื้นดิน... ฉันอยู่ที่นั่น แน่นิ่ง ไม่ไหวติง หยุดมหาสมุทร สายน้ำ สายลมในตัว โลกกำลังต้องการการหลับใหล ความคิดหยุดลงชั่วขณะ เอียนเหลือแล้วกับสิ่งต่างๆ ที่ตนแสดงออก ความคิด โครงการ คำพูด เหน็ดเหนื่อยกับความกระตือรือร้น และการกระทำฉับไวต่อเนื่องไม่ยอมหยุด นอนอยู่บนผืนดิน เงียบสงัดจากความคิด ไหลเลือน ละลาย ชำระ ปล่อยให้สารพัดสิ่งพวยพุ่งทะลักกลับคืนแหล่ง โลกไม่ต้องการอะไรจากฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องพ่นตัวเองออกสู่โลก ออกข้างนอกมากไปแล้วจำต้องหวนกลับคืนสู่ภายใน เข้าจัดการกะเกณฑ์ วางแผนมากไป…
รวิวาร
กาดก้อมเย็น มีเหตุต้องเข้าไปในหมู่บ้าน ฉันสตาร์ทมอเตอร์ไซค์อยู่นาน สลับกับคอยไล่หมา ในที่สุดรถก็วิ่งฉิว สายลมปะทะใบหน้าแสนสดชื่น อากาศยามเย็นเป็นสุข ถนนหักเลี้ยวทอดหาชุมชน เราเป็นคนของหมู่บ้านนี้แหละ บ้านทุ่งลั๊วะคอน (ทางการเรียก ทุ่งละคร) เป็นโดยสำมะโนครัว แต่ไม่ค่อยรู้จักใครเพราะอยู่ห่างออกมา ถนนสายน้อยพาไปพบสะพาน จากนั้นผืนโลกก็ลาดลงเป็นที่ลุ่ม หัวใจปริ่มสุขขึ้นฉับพลัน ผืนนาเขียวขจี กิ่งก้านสาขาของต้นไม้กลางนางามเด่น ขับด้วยแถวทิวต้นข้าว เถียงนาเล็ก ๆ ดุจที่พำนักอันสมถะสงบสุข กอดอกเทียนสีม่วงขาวชมพูพราวบานอยู่ใต้ร่มตะขบริมลำธาร หันมองกลับไป…
รวิวาร
'กาดนัด'วันอังคารเป็นวันที่ใครหลายคนในเมืองนี้รอคอย ฉันเองยังติดนิสัยเขียนรายการข้าวของไว้ล่วงหน้า ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่าใกล้วันนัดหมายประจำสัปดาห์แล้ว เรานั่งกุกกักอยู่ที่โต๊ะทำงานหลังจากเด็กๆ ไปโรงเรียนในตอนเช้า มองไปยังถนนทอดยาว เห็นมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านเป็นระยะ มีถุงใส่ของหลายใบแขวนเป็นพวงที่มือจับและตะกร้า...กาดนัดเชียงดาว ถึงนั่งอยู่บ้าน ฉันก็นึกภาพออกและจำได้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เร็วหน่อย พ่อบ้าน ตื่นเร็ว วันนี้เราจะไปตลาดนัดกัน สัปดาห์นี้ขาดอะไรบ้างเอ่ย พริกแห้งเม็ดเล็ก กะปิ กระเทียม กุ้งแห้งซื้อไว้แล้วจากเจ้าท้ายถนนเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้จะซื้อหอยดองแม่กลองของเขาดีไหมนะ ยำหอยดอง…
รวิวาร
เดือนบางเดือน สัปดาห์บางสัปดาห์ผ่านไปราวเมฆล่องลม เจ็ดแปดวันสั้นๆ หากแต่บรรจุด้วยเรื่องราวและผู้คนแน่นขนัด ขณะบางเดือน เรานั่งอยู่ติดเก้าอี้ จมจ่อมกับภาระหน้าที่แทบไม่ได้ก้าวพ้นเขตรั้ว เรียกมันว่า ‘สัปดาห์แห่งผู้มาเยือน’ มีผู้คนแวะเวียนมาทุกวันโดยมิได้นัดหมาย กะทันหัน ฉับพลันเสียจนกระทั่งไม่มีเวลาถอยหลัง ผงะ หรือนึกหงุดหงิดใจว่า...แขกเหรื่ออะไรนักหนา วันที่หนึ่ง วันที่สอง และสามสี่ ตามมาอีกจนเลยแปด เมื่อจิตใจตระหนักได้ เราพากันหัวเราะ อ้อ นี่ละหนอ ความบังเอิญที่ควบคุมไม่ได้ ชีวิตจัดส่งมา พ้นความคาดเดา นอกเหนือการจัดการ
รวิวาร
มันไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้า การแต่งหน้า เนื้อตัวเท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าไปในสถานที่อย่างร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลอดจนการโอภาปราศรัย.... หิ้วกระเป๋าเข้าที่พัก กล่องสี่เหลี่ยมครอบลงบนพื้นดินชื้นแฉะ มีพรุน้ำอยู่ข้างใต้ กล่องเก่า ๆ ที่ผุเน่าไปทีละน้อยด้วยไอชื้นจากผืนดิน และการคายน้ำของใบไม้ชายป่าที่รุกล้ำเข้ามาเรื่อย ๆ เกิดรอยแยกที่ผนัง เหล่าแมลงสาบพล่านยั้วเยี้ยยามดึกขณะผู้พักพิงหลับใหล งูเงี้ยวเขี้ยวขอ จิ้งจกตุ๊กแกและหนู ซุ่มซ่อนจับจ้องจากรู โพรงบนผนัง ขื่อคาและเพดาน ไม่ว่าจะทำอย่างไร ๆ พื้นโลกก็คือหิน ดิน ทราย น้ำ ฝุ่น โคลน เราเพียงนำวัตถุเรียบแข็งโปะทับ ทาบแผ่นกระเบื้องหลากสีลงบนพื้น…